เชื่อว่าหลายคนมักจะได้ยินกันว่าเป็นโรคเก๊าท์ ห้ามกินไก่ จริงหรือมั่ว วันนี้ doo-den จะมาชวนทุกคนค้นหาคำตอบกันค่ะ 

โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร 

โรคเก๊าท์ (Gout) เกิดจากข้อต่อหรือเนื้อเยื่อรอบข้อมีการอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยมีสาเหตุมาจากมีกรดยูริก (Uric acid) ในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จนกรดยูริกกลายเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างมาก ซึ่งปกติร่างกายจะขับกรดยูริกออกผ่านทางไต เพราะกรดยูริกถือว่าเป็นของเสียสำหรับร่างกาย และการที่ร่างกายมีกรดยูริกสูงเกินไปเกิดได้จากหลายปัจจัย จนก่อให้เกิดภาวะโรคเก๊าท์ อาหาร พันธุกรรม หรือความผิดปกติในอวัยวะของร่างกาย เช่น ไต เป็นต้น 

โรคเก๊าท์มีอาการอย่างไร 

โดยโรคเก๊าท์อาการเบื้องต้นที่สามารถสังเกตได้ คือ มีอาการอักเสบบริเวณข้อต่อแบบเฉียบพลันบ่อย ๆ หรือมีอาการตึง บวม แดง และรู้สึกแสบร้อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักจะเกิดอาการที่ข้อต่อกระดูกฝ่าเท้า หรือ โคนนิ้วหัวแม่เท้า และแม้แต่หลังหูก็สามารถเป็นได้เช่นกัน อาการของโรคเก๊าท์ที่พบได้บ่อย คือ ปวดแสบปวดร้อน เจ็บปวดรุนแรง ผิวหนังรอบ ๆ ข้อบวมแดงและแวววาวมากขึ้น โดยความรุนแรงของอาการจะอยู่ในช่วง 4 – 12 ชั่วโมงแรก ซึ่งจะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก และอาการเหล่านี้อาจยาวนานต่อเนื่อง 1 – 3 วัน หรือ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ 

โรคเก๊าท์ห้ามกินอะไร 

อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารจำพวกที่มีสารพิวรีนมากกว่า 150 มิลลิกรัม เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารพิวรีน จะมีการสลายให้กลายเป็นกรดยูริก จนเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการเก๊าท์กำเริบนั่นเอง แล้วอาหารอะไรบ้างที่คนเป็นเก๊าท์คนเลี่ยง … 

  • ไต 
  • ตับ 
  • ไส้ตัน
  • เนื้อเป็ด 
  • เนื้อไก่
  • ไข่ปลา
  • ปลาทู
  • ปลาซาร์ดีน 
  • หอยเชลล์
  • กะปิจากปลาไส้ตัน
  • น้ำปลา
  • น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น
  • น้ำต้มเนื้อ 
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

อาหารอะไรที่คนเป็นเก๊าท์กินได้ 

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ สามารถรับประทานได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 0 – 50 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่ามีปริมาณน้อยมาก โดยสามารถทานอาหารเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น ข้าว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี ไข่ นม กะทิ เนย น้ำมันหมู ผักและผลไม้ทุกชนิด ข้าวโพด เกาลัด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมไปถึงขนมหวานและเบเกอรี่ต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ทอยหยอด ขนมปัง เค้ก คุกกี้ หรือแม้แต่เครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ หรือ โกโก้ เป็นต้น 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 50 – 150 กรัม เพราะถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่สูงมาก ลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่ออาการเก๊าท์กำเริบ สามารถทานได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น เนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อวัว ปู กุ้ง ส่วนเครื่องในสัตว์ อย่าง กระเพาะ และ ผ้าขี้ริ้ว สามารถทานได้ และพืชผักจำพวก หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ดอกกะหล่ำ เห็ด ชะอม และ ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเนื้อไก่จะเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง แต่เนื้อไก่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดการเป็นเก๊าท์ เพียงแต่เนื้อไก่มีสารพิวรีนสูง ผู้ที่เป็นเก๊าท์จึงควรระมัดระวังในการทานไก่ โดยควรทานไก่ในปริมาณที่จำกัด แต่ถ้าไม่แน่ใจก็อาจหลีกเลี่ยงไม่ทานเลย เปลี่ยนไปทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำแทน จะช่วยลดโอกาสความเสี่ยงที่ก่อให้อาการเก๊าท์กำเริบได้ค่ะ 

บีทรูท คือ พืชชนิดหนึ่งที่นิยมทานในส่วนของรากที่อยู่ใต้ดิน และส่วนที่เป็นของหัวบีทรูท กินดิบ นำไปดอง ปรุงอาหาร เครื่องดื่ม หรือนำไปเพิ่มสีสันให้กับอาหาร และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงการนำบีทรูทใช้เป็นยารักษาโรค ด้วยบีทรูทอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินบี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมงกานีส โฟเลต และไฟเบอร์สูง 

 

วันนี้แอดมินจะมาชวนทุกคนรู้ถึงสรรพคุณของบีทรูท มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทานบีทรูท โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง 

ลักษณะของบีทรูท 

หัว : หัวใต้ดิน ทรงกลมป้อม อวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง 

ใบ : ใบเดี่ยวรูปหัวใจ เรียงสลับ มีก้านยาว 

ดอก : ดอกลักษณะเดี่ยว เป็นช่อขนาดเล็กสีเขียวอ่อน 

ผล : ผลมีขนาดเล็ก 

บีทรูทมีสารสีแดง Betanin (บีทานิน) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ทำให้สรรพคุณบีทรูทช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ต่อต้านการเกิดมะเร็ง ลดการเติบโตของเนื้องอก ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมดีขึ้น อีกทั้งบีทรูทมี Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ซึ่งเป็นสารสีม่วง มีค่า pH 7-8 สภาพเป็นเบส โดยสารสีแดง pH มากกว่า 11 มีสภาพความเป็นกรด ในขณะที่สีน้ำเงินที่เป็นสารแอนโทไซยานิน ค่า pH น้อยกว่า 3 ทำให้บีทรูทมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและลดอาการอัมพาต 

ประโยชน์ของบีทรูท 

สรรพคุณของบีทรูทด้านภูมิคุ้มกัน 

  • เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ
  • ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย 
  • เสริมสร้างกำลังและความแข็งแรงให้กับร่างกาย 
  • ลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย 
  • ล้างสารพิษในร่างกาย 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบเลือด

  • ลดการอุดตันในหลอดเลือด
  • ลดความดันเลือด
  • บำรุงหลอดเลือด
  • เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตเลือด
  • ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  • แก้อาการเลือดประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ลดการสะสมไขมัน

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบำรุงหัวใจ 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านโรคมะเร็ง 

  • ต่อต้านการเกิดมะเร็ง
  • ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง 
  • ลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย 

  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ขับปัสสาวะ 
  • เป็นยาระบายอ่อน ๆ 
  • บำรุงไตและถุงน้ำดี

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบรรเทาอาการ

  • แก้อาการไอ เจ็บคอ ขับเสมหะ 
  • ลดอาการบวม

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านความงาม 

  • รักษาระบบน้ำเหลืองเสีย
  • รักษาสิวหนอง สิวอักเสบ

 

สรรพคุณทางยาของบีทรูท 

ดื่มน้ำบีทรูทคั้นในช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. ก่อนรับประทานอาหาร ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ 

 

ดื่มน้ำบีทรูทในช่วงเวลา 21.00 – 22.00 น. ดื่มน้ำบีทรูทก่อนนอน ช่วย detox ร่างกาย ล้างสารพิษ บำรุงไต ถุงน้ำดี แก้เจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ ลดอาการบวม 

 

ประโยชน์ของบีทรูทด้านอื่น ๆ 

บีทรูทสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้หลากหลายเมนู เช่น เส้นพาสต้าบีทรูท สลัดน้ำบีทรูท สาคูไส้บีทรูท ขมมเค้ก พุดดิ้งนมสดบีทรูท ไอศกรีม หรือจะนำไปหมักทำเป็นไวน์ สมูทตี้ ซึ่งบีทรูทปั่นกับอะไรก็อร่อย และนำไปดองทำเป็นน้ำส้มสายชู หรือนำไปแกะสลัก ใช้ตกแต่งอาหาร และทำเป็นสีผสมอาหารจากธรรมชาติได้อีกด้วย 

การทำน้ำบีทรูทง่าย ๆ ที่นอกเหนือจากการนำไปปั่นสมูทตี้ 

  • ปอกเปลือกบีทรูทแล้วนำไปล้างให้สะอาด 
  • หั่นบีทรูทเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่เครื่องปั่นแยกกาก หรือปั่นปกติแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ 
  • นำน้ำบีทรูทที่กรองใส่หม้อตั้งไฟ 
  • เติมน้ำตาลทราย ½ ถ้วย 
  • เติมเกลือ ⅓ ช้อนชา 
  • ชิมได้รสตามชอบ 
  • ปิดไฟเมื่อน้ำบีทรูทพอเริ่มเดือดเล็กน้อยหรือแค่พออุ่น
  • ดื่มตอนยังอุ่น ๆ หรือตั้งให้เย็นแล้วดื่ม หรือเติมน้ำแข็งตามชอบ 

ใคร ๆ ก็รู้ว่าประโยชน์ของไข่ไก่ อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ทำเมนูไหนก็อร่อย แถมราคาถูก หลายคนที่มักจะซื้อไข่ยกแผง แต่เมื่อจะปรุงอาหารทีไรก็นึกได้แต่เมนูเบสิค วันนี้เราจะมาชวนเปลี่ยนเมนูไข่แบบเดิม ๆ ให้เป็นเมนูไข่สุดว้าว ทำง่าย ทานได้บ่อย ไม่มีเบื่อ และเพิ่มเติมคือความอร่อย ฟิน แถมทำขายก็ไอเดียเก๋ เริสแน่นอน 

  1. ไข่กระทะทรงเครื่อง

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • หมูสับ 60 กรัม 
  • ไส้กรอก 40 กรัม 
  • หมูยอ 30 กรัม 
  • กุนเชียงทอด 30 กรัม
  • ข้าวโพด 15 กรัม 
  • ถั่วลันเตา 15 กรัม 
  • แครอท 15 กรัม 
  • ต้นหอม 2 กรัม
  • น้ำมันพืช 30 มิลลิลิตร 
  • เครื่องปรุงรส ( เช่น ซอสถั่วเหลือง , อุไมซอส)

 

วิธีทำ 

  • ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย 
  • นำหมูสับลงไปรวน และปรุงรสด้วยซอสที่เตรียมไว้
  • ตักหมูขึ้นพัก
  • หั่นไส้กรอก หมูยอ และกุนเชียงจัดใส่จานเตรียมสำหรับเสิร์ฟ
  • ตั้งกระทะใส่น้ำมัน 
  • ตอกไข่ไก่ลงไปในกระทะ ทอดจนไข่สุกแล้วปิดไฟ
  • ลวกแครอท ถั่วลันเตา และข้าวโพดให้พอสุก
  • ตักผักลวกขึ้นจัดลงบนกระทะที่เล็กที่เตรียมไว้ ดามด้วยหมูสับ ไส้กรอก และกุนเชียง 
  • โรยด้วยต้นหอม
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ตุ๋นญี่ปุ่นไข่ปลาแซลมอน 

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง 
  • แซลมอนหั่นเต๋า 30 กรัม
  • กุ้งขาวลวก 
  • ไข่ปลาแซลมอนเล็กน้อย 
  • เห็ดหอม 
  • เม็ดแปะก๊วย
  • ขึ้นฉ่าย 
  • เครื่องปรุง (ซอส หรือน้ำซุปดาชิเข้มข้น คิดโคแมน) 
  • น้ำสะอาด 100 มิลลิลิตร 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ใส่ชาม ตึไข่ให้เข้ากัน 
  • เติมเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงผสมกับไข่ให้เข้ากัน
  • กรองไข่ผ่านกระชอนเพื่อให้ไข่มีเนื้อเนียน 
  • เตรียมหม้อนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือด ด้วยไฟอ่อน 
  • นำแซลมอนใส่ถ้วยไข่ตุ๋น จากนั้นเทไข่ตามลงไป แล้วปิดปากถ้วยด้วยฟอยล์ 
  • นึ่งประมาณ 10 – 15 นาที จนไข่สุก
  • นำแปะก๊วย กุ้งขาวลวก ไข่ปลาแซลมอน และขึ้นฉ่ายตกแต่งหน้าไข่ตุ๋นให้สวยงาม 
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ดองโชยุ 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 5 – 6 ฟอง 
  • มันหมูแข็ง 2 ถ้วย 
  • น้ำกระเทียมดอง 45 กรัม 
  • กระเทียมซอย 2 กลีบ 
  • พริกจินดา 3 – 4 เม็ด 
  • มิริน 15 กรัม 
  • ซอสถั่วเหลือง โชยุ 150 กรัม 
  • ข้าวสวย 2 ถ้วย 
  • กระเทียมเจียว และ ต้นหอมซอย (สำหรับเสิร์ฟ) 

 

วิธีทำ 

  • ผสม โชยุ น้ำกระเทียมดอง และ มิริน เข้าด้วยกัน 
  • ตามด้วยพริกและกระเทียมซอย 
  • แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว แล้วนำเฉพาะไข่แดงใส่ลงไปดอง 
  • นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 6 ชั่วโมง 
  • เจียวกากหมูจนกรอบ แล้วสะเด็ดน้ำมันพักไว้ 
  • ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย 
  • นำไข่ขาวที่แยกไว้เพียงเล็กน้อยใส่ลงไปยีในกระทะให้พอสุก 
  • ใส่ข้าวลงไปผัด
  • แบ่งกากหมูส่วนหนึ่งลงไปผัดกับข้าว 
  • ตักข้าวเสิร์ฟพร้อมกับไข่ดอง กากหมู กระเทียมเจียว และต้นหอมซอยที่เตรียมไว้ 

  1. ไข่ม้วนญี่ปุ่น 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 2 – 3 ฟอง 
  • ทูน่าในน้ำเกลือ 50 กรัม 
  • ไข่ปลา 1 ช้อนโต๊ะ 
  • กะหล่ำปลีซอย 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ใบชิโสะ 3 – 4 ใบ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา 
  • มายองเนส 1 ½ ช้อนโต๊ะ 
  • คิคโคแมน ชิโร ดาชิ 2 ช้อนโต๊ะ (หรือซอสถั่วเหลืองที่มี) 
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ไก่ใส่ชาม 
  • เติมน้ำตาลทราย ชิโรดาชิ และน้ำสะอาดแล้วตีให้เข้ากัน และกรองด้วยกระชอน
  • ตั้งกระทะที่จะทำไข่ม้วน 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะให้บาง ๆ 
  • เมื่อกระทะเริ่มอุ่น ให้ใส่ไข่ที่กรองไว้แล้วลงไปให้พอเคลือบกระทะ
  • รอจนไข่เริ่มสุก ม้วนไข่เข้าหาตัว แล้วดันออกไป 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะอีกรอบ แล้วใส่ไข่ลงในกระทะ ทำซ้ำ ๆ จนไข่หมด 
  • วางไข้ม้วนลงบนเสื่อห่อซูชิ 
  • ม้วนจัดทรงแล้วตั้งพักไว้ 
  • ทำหน้าทูน่า ด้วยการกรองน้ำทูน่าออก 
  • เติมมายองเนสลงไปคลุกเคล้ากับทูน่าให้เข้ากัน 
  • นำใบชิโสะจัดรองลงบนจานเสิร์ฟ
  • หั่นไข่ม้วนเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วจัดลงบนจาน
  • วางกะหล่ำปลีซอยลงไปเล็กน้อย ตามด้วยทูน่า 
  • ตกแต่งด้วยไข่ปลา
  • พร้อมเสิร์ฟ 

 

ฤดูฝนแบบนี้ เป็นฤดูของเห็ดหลายชนิด ทั้งเห็ดเพาะและเห็ดป่า ทำให้ชาวบ้านนิยมเข้าป่าไปเก็บเห็ดเพื่อนำมาประกอบอาหาร หรือนำไปขายในตลาดท้องถิ่น แต่ก็มักมีเห็ดพิษปะปนมากับเห็ดเหล่านั้นด้วย ทำให้หลายคนเกิดอาหารเป็นพิษจากการเผลอกินเห็ดพิษเข้าไป Details

การพัฒนาตนเองหรือปรับปรุงบางสิ่งบางอย่าง จากสิ่งที่คุ้นเคยให้กลายเป็นคนใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับบางคน แต่ก็อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับบางคนเช่นกัน Details

ใครที่ชื่นชอบทานอาหารอินเดีย หรืออยากลองทานอาหารอินเดียดูบ้าง อาจรู้มาบ้างแล้วว่า อาหารอินเดียนิยมใช้เครื่องเทศเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร และมีเมนูแกงคล้ายกับของไทย แต่แกงไทยของเราจะกินคู่กับข้าวเป็นหลัก ในขณะที่ชาวอินเดียนิยมกินแกงกับแผ่นแป้งที่ทำจากธัญพืชต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ Details

เมื่อเริ่มก้าวสู่วัยทอง หรือช่วงอายุ 40-50 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศลดลง โดยในผู้ชายระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะลดลง และฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงลดลงเช่นกัน ส่งผลให้เกิดอาการวัยทอง คือ มีอาการร้อนวูบวาบ นอนหลับยาก เหงื่อออกในเวลากลางคืน อารมณ์แปรปรวน หลงลืมง่าย หน้ามืดหรือวูบบ่อยขึ้น

นอกจากนี้อาจมีภาวะโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคกระดูกพรุน หรือ โรคอ้วน ลงพุง ดังนั้น การรู้จักเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับช่วงวัย จะช่วยเสริมสร้างให้มีสุขภาพดี ลดปัญหาที่เกิดจากอาการวัยทอง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

อาหารอะไรบ้างดีต่อคนวัยทอง

ถั่วเหลือง 

ถั่วเหลืองมี “ไอโซฟลาโวน” เป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีส่วนโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยลดอาการวูลวาบ อันเนื่องมาจากการภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงในวัยหมดประจำเดือน โดยสามารถเลือกทานถั่วเหลืองได้หลายรูปแบบ เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่งเหลืองอื่น ๆ 

เมล็ดฟักทอง 

เมล็ดฟักทองมีสารไฟโตเอสโตรเจน ช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้มีความสมดุล นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองมีกรดไขมันดี ช่วยลดอาการแห้งตึงของผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว บำรุงผิวพรรณ ‘

งาดำ 

งาดำ คือ ธัญพืชที่มีไฟโตรเอสโตรเจนสูง อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด บำรุงผิวพรรณและเส้นผม บรรเทาอาการปวดข้อต่ออักเสบ และยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ดี 

ข้าวสาลีและธัญพืช 

ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสี มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และยังอุดมไปด้วยไอโซฟลาโวน มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงวัยทอง ช่วยปรับอารมณ์ให้คงที่ ไม่แปรปรวนง่าย 

น้ำมะพร้าว 

น้ำมะพร้าว มีเอสโตรเจนสูง ช่วยทดแทนการสูญเสียฮอร์โมนของวัยทองในเพศหญิงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวช่วยบำรุงกระดูก ชะลอริ้วรอย บำรุงผิวพรรณ ให้ผิวแลดูสดใส ไม่แห้งเหี่ยว 

นมและโยเกิร์ตไขมันต่ำ 

นม หรือ โยเกิร์ตไขมันต่ำ มีแคลเซียม ช่วยป้องกันมวลกระดูกบางจากภาวะฮอร์โมนเพศลดลง นอกจากนี้ โยเกิร์ตยังมีโพไบโอติก ช่วยเสริมสร้างจุลินทรีย์ดี ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบลำไส้ให้เป็นปกติ เพราะวัยทองหลายคนมักจะมีปัญหาระบบขับถ่าย ท้องผูก ถ่ายยาก 

กล้วย 

กล้วย มีสารทริปโตแฟน ที่เมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารเซโรโทนิน ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนที่ลดลงส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย มีความกังวล ทำให้มักจะนอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ จนอาจนำพาไปสู่โรคซึมเศร้า แนะนำให้ทานกล้วยหอม หรือกล้วยน้ำว้าเป็นประจำ 

ผักตระกูลกะหล่ำ 

ผักตระกูลกะหล่ำ มีไฟโตเอสโตรเจนสูง ช่วยลดความไม่สบายตัวจากอาการวัยทองได้ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี 

ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเอสโตรเจน 

ผลไม้ก็มีสารที่คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อะโวคาโด ส้ม แถมยังมีกากใยอาหารสูง ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายได้ดี 

นอกจากนี้ การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมเบา ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ หรืออาจเพิ่มด้วยอาหารเสริมที่เหมาะสมกับวัย เพื่อให้ได้รับสารอาหารทดแทนในส่วนที่สูญเสียไป ก็จะช่วยให้มีสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี พร้อมรับมือกับอาการวัยทองได้อย่างสบาย ๆ  

 

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง สุภาษิตไทยที่ไม่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ เข้าใจกันดี เพราะจะมีไม่กี่คนหรอกที่เป็นลูกรักพระเจ้า ใบหน้าครบเครื่อง ไม่ต้องแต่งเติมอะไรก็ตื่นมาสวยเลย แต่ยังมีผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยที่ตรงกันข้าม ต้องอาศัยกลบคอนซีลเลอร์ ทารองพื้น กรีดอายไลเนอร์ ปัดแก้ม เติมลิป หรือ เขียนคิ้วสักหน่อย ถึงจะเสกสรรให้ใบหน้ามีชีวิตชีวา ไม่ดูเหมือนคนป่วย หรือเป็นซอมบี้ขาดสารอาหาร 

 

แต่… ผู้หญิงทุกคนใช่ว่าจะ Expert มือโปรฯ ในการแต่งหน้าเสียเมื่อไร เพราะปัญหาร้อยแปดที่มีต่างกันไป ไหนจะสภาพผิว หน้ามันเยิ้ม แต่งหน้าไม่ติด แต่งแล้วเป็นคราบ เป็นขุยหรือแตกร่อง  หน้าไม่เรียบ เมคอัพหลุดล่อน ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ใช้เวลาแต่งหน้าเป็นชั่วโมง แต่ make up หลุดง่ายเพียงไม่กี่นาทีต่อมา ใครจะไม่เซ็งใช่ไหมล่ะ ต้องคอยซับ คอยเติม บางทีก็ไม่สะดวกคอยแต่งบ่อย ๆ แล้วรู้ไหมทำไมถึงแต่งหน้าไม่ค่อยติด หรือแต่งหน้าแล้วต้องเติมบ่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปหาสาเหตุกันดีกว่าค่ะ

 

พักผ่อนไม่พอ นอนน้อยเกินไป 

การนอนน้อยเกินไป โดยเฉพาะการนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพผิวของเราด้วย เพราะผิวไม่ได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและอ่อนแอลง ดังนั้นเมื่อแต่งหน้า เครื่องสำอางไม่เกาะผิวจึงเซ็ตตัวยาก เป็นสาเหตุทำให้เมคอัพหลุดได้ง่าย ดังนั้น การพักผ่อนให้เพียงพอกับร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ หากอยากมีสุขภาพผิวดี แต่งหน้าสวย เมคอัพอยู่ทั้งวัน และไม่ต้องเติมหน้าบ่อย ๆ ควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมง ได้ทั้งผิวแข็งแรงและสุขภาพดี 

ผิวหน้าแห้ง ผิวขาดการบำรุง 

ปัญหาแต่งหน้าไม่ค่อยติดส่วนใหญ่มักพบในคนที่มีสภาพผิวแห้ง ผิวหน้าลอก ผิวขาดความชุ่มชื้น หน้าเป็นขุย อันเนื่องมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันน้อยเกินไป ทำให้ใบหน้าขาดความชุ่มชื้น หรืออาจเกิดจากผิวขาดการบำรุง ทำให้ผิวแห้งกร้าน แต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางเกาะติดผิวยาก ทำให้เมคอัพไม่คงทน หลุดได้หลุดดี วิธีแก้ไขปัญหาผิวหน้าแห้งแต่งหน้าไม่ติด ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่หันมาใส่ใจในการบำรุงผิว รักษาความชุ่มชื้นให้กับใบหน้าด้วยการใช้สกินแคร์ มอยส์เจอรไรเซอร์ การมาส์กหน้าก่อนนอนหรือก่อนแต่งหน้า และดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 7 – 8 แก้ว / วัน เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น แต่งหน้าติดได้ตลอดวัน 

บำรุงผิวมากเกินไป 

แน่นอนว่าการบำรุงผิวสามารถช่วยให้ผิวแต่งหน้าติดทน แต่ถ้าโบกครีมมากเกินพิกัด ใช้ครีมบำรุงมากเกินพอดี โปะแต่ละทีนึกว่าโบกปูนก่ออิฐ นอกจากจะไม่ได้ผลดีแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เพราะปริมาณครีมที่ทาใบหน้าเยอะเกินไป จะไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังสู่ผิวชั้นในได้ ทำให้ผิวไม่ได้รับการบำรุงจากครีมเต็มที่ กลายเป็นการทาครีมแบบไม่ได้คุณภาพ แถมยังทำให้เนื้อครีมที่โบก ๆ ลงไปนั้น ไปสะสมตามรูขุมขน ก่อให้เกิดความมันบนใบหน้า และเมื่อแต่งหน้า เครื่องสำอางก็จะไปรวมกันจนกลายเป็นคราบ และไปอุดตันตามรูขุมขนจนเกิดสิวตามมาในที่สุด ดังนั้เ ควรใช้ครีมบำรุงในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรใช้ครีมประมาณ 1 ข้อนิ้วในแต่ละจุดบนใบหน้า หรืออ่านและใช้ในปริมาณตามข้อบ่งใช้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ และควรรอให้เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวเสียก่อนจึงค่อยแต่งหน้า 

สุขภาพดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่างด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ พฤติกรรมการกินของเราเอง หลายคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย อันเนื่องมาจากวิถีการใช้ชีวิตและอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อ หากไม่อยากสุขภาพแย่ เจ็บป่วยจนต้องกลายเป็นลูกค้าประจำถาวรของโรงพยาบาล ต้องปรับและปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หากทำได้ตามที่เรานำมาฝากในบทความนี้ ควบคู่ไปกับออกกำลังกาย รับรองว่าชีวิตเปลี่ยน มีสุขภาพดียิ่งกว่าเดิม 

  1. ควบคุมน้ำตาล 

เพราะของอร่อยในเมืองไทยมีเยอะจนตาลาย เห็นอะไรก็น่ากินไปหมดเลยใช่ไหมคะ แต่อาหารสุดอร่อย เมนูยอดฮิตบ้านเราส่วนใหญ่หนักไปทางน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ แถมปริมาณก็มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการหลายเท่า จนจำนวนผู้ป่วยโรคต่าง ๆ เพราะบริโภคหวานเป็นประจำเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน โรคอ้วน หากอยากมีสุขภาพดี ควรควบคุมตามหลักโภชนาการ โดยบริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น และยังเพิ่มคุณภาพในการนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายลดลงในช่วงกลางคืน ทำให้ไม่ตื่นกลางดึก สามารถหลับต่อเนื่องได้จนถึงเช้า ช่วยให้ร่างกายมีการฟื้นฟูได้เต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ และระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย 

  1. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และไขมันทรานส์ 

การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และอาหารที่มีไขมันทรานส์ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลอดเลือด เพราะไขมันส่วนเกินจะไปอุดตันหลอดเลือด ทำให้มีไขมันในเลือดสูง ก่อให้เกิดอาการหลอดเลือดตีบ เส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ ควรเปลี่ยนมาทานไขมันดีแทน เช่น อะโวคาโด้ ถั่วเปลือกแข็ง ประมาณ 30 กรัม / วัน ช่วยให้กรดไขมันดีไปลดไขมันในเลือด ไม่ให้มีไขมันในปริมาณที่มากเกินไป จนอาจป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ได้ 

  1. ทานผักและผลไม้ 

การทานผักผลไม้หลากหลายในปริมาณ 400 กรัม / วัน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงระดับเซลล์ โดยควรเน้นผักผลไม้ที่มีเส้นใยสูง หรือมีไฟเบอร์ไม่ต่ำกว่า 30 กรัม จะช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้น้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน องุ่น มะม่วงสุก และ ขนุน เป็นต้น 

  1. เลือกทานเนื้อสัตว์ไขมันน้อยและย่อยง่าย 

เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อยและย่อยง่าย มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง ไก่ ปลา โดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า 3 ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาจะละเม็ด หรือ เลือกทานอาหารโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนถั่วเหลือง ช่วยลดไขมันเลวในเลือดได้เป็นอย่างดี มีส่วนในการช่วยปรับฮอร์โมน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบย่อยอาหาร และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายสมดุลมากขึ้น 

 

หลายคนอาจเคยเจออาการเหล่านี้ เดินอยู่ดี ๆ รู้สึกมีอาการวูบ คล้ายจะเป็นลม หรือนั่ง ๆ อยู่ ลุกขึ้นยืน รู้สึกหน้ามืด หรือหมดสติ ซี่งสาเหตุของอาการเหล่านี้มีหลายปัจจัย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่รู้ไหมว่า อาการวูบ อันตรายกว่าที่คิด และอาจหมายถึงชีวิตที่หมดลมหายใจได้เช่นกัน  วันนี้เราจะมาชวนทุกคนตระหนักถึงอันตรายของอาการวูบ ทำความเข้าใจว่าอาการวูบเกิดจากอะไรได้บ้าง และเราจะสามารถป้องกันอาการวูบได้อย่างไร 

อาการวูบคืออะไร 

อาการวูบ คือ อาการหน้ามืด รู้สึกจะเป็นลม หมดสติ (syncope) เป็นภาวะการหมดสติชั่วคราว โดยมักจะเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และสามารถหายเองได้อย่างรวดเร็ว แต่อันตรายจากอาการวูบที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว อาจทำให้มีอาการหมดสติ ไม่รู้สึกตัว เสียการทรงตัว ล้มลงศีรษะกระแทกพื้น จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ 

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการวูบ เกิดจากอะไรได้บ้าง 

  • พักผ่อนไม่เพียงพอ 
  • เปลี่ยนท่าทางหรือการเคลื่อนไหวกระทันหัน 
  • ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมากเกินไป 
  • มีภาวะเจ็บปวดมาก ๆ 
  • หิวจัด ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • อายุมากขึ้น ผู้สูงอายุ มีโอกาสเกิดอาการวูบได้ง่าย 
  • มีสิ่งผิดปกติที่หูชั้นในที่เกี่ยวกับระบบประสาทการทรงตัว
  • มีโรคประจำตัว เช่น ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด
  • มีภาวะผิดปกติทางสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ มีเลือดออกในสมอง สมองขาดเลือด
  • มีความผิดปกติทางสภาพจิตใจ เช่น ความเครียด ตกใจ ประหม่า หวาดกลัว 
  • ร่างกายขาดน้ำ เช่น ท้องเสียรุนแรง เสียเหงื่อมากเกินไป เป็นต้น 
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาความดันโลหิตสูง 

อาการวูบแบบไหนควรรีบส่งแพทย์โดยด่วน 

  • มีอาการวูบแล้วปวดศีรษะ วิงเวียน เห็นภาพซ้อน ปวดหลัง หรือมีอาการชักร่วมด้วย 
  • มีอาการวูบแล้วหมดสติเป็นเวลานาน 
  • มีอาการวูบแล้วมีใบหน้าเบี้ยว 
  • มีอาการวูบและมีเลือดออก
  • มีอาการวูบแล้วอาเจียน และมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย 
  • มีอาการวูบและมีการหายใจเร็ว ใจสั่น เหนื่อยหอบ และเจ็บหน้าอก 
  • ผู้ที่มีอาการวูบมีโรคประจำตัวอยู่ด้วย เช่น โรคความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง 

 

วิธีป้องกันอาการวูบ

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ 
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 8-10 แก้ว 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้มีคุณภาพ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง 
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที 
  • ตรวจร่างกายประจำปี 
  • หากมีอาการวูบ ให้ปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด 

 

ศึกษาและทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการวูบ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นเสีย เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการวูบจนอาจทำให้หมดสติ และอาจรุนแรงถึงชีวิตได้ การใส่ใจและป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดขึ้น ย่อมดีกว่าการรักษาหลังจากเกิดอาการขึ้นแล้ว ที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอาการเล็กน้อยหรือรุนแรงแค่ไหน ดังนั้น ป้องกันตัวเองด้วยการใส่ใจดูแลสุขภาพไว้ก่อนดีกว่าค่ะ