ฤดูฝนแบบนี้ เป็นฤดูของเห็ดหลายชนิด ทั้งเห็ดเพาะและเห็ดป่า ทำให้ชาวบ้านนิยมเข้าป่าไปเก็บเห็ดเพื่อนำมาประกอบอาหาร หรือนำไปขายในตลาดท้องถิ่น แต่ก็มักมีเห็ดพิษปะปนมากับเห็ดเหล่านั้นด้วย ทำให้หลายคนเกิดอาหารเป็นพิษจากการเผลอกินเห็ดพิษเข้าไป Details

การพัฒนาตนเองหรือปรับปรุงบางสิ่งบางอย่าง จากสิ่งที่คุ้นเคยให้กลายเป็นคนใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับบางคน แต่ก็อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับบางคนเช่นกัน Details

ใครที่ชื่นชอบทานอาหารอินเดีย หรืออยากลองทานอาหารอินเดียดูบ้าง อาจรู้มาบ้างแล้วว่า อาหารอินเดียนิยมใช้เครื่องเทศเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร และมีเมนูแกงคล้ายกับของไทย แต่แกงไทยของเราจะกินคู่กับข้าวเป็นหลัก ในขณะที่ชาวอินเดียนิยมกินแกงกับแผ่นแป้งที่ทำจากธัญพืชต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ Details

เมื่อเริ่มก้าวสู่วัยทอง หรือช่วงอายุ 40-50 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศลดลง โดยในผู้ชายระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะลดลง และฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงลดลงเช่นกัน ส่งผลให้เกิดอาการวัยทอง คือ มีอาการร้อนวูบวาบ นอนหลับยาก เหงื่อออกในเวลากลางคืน อารมณ์แปรปรวน หลงลืมง่าย หน้ามืดหรือวูบบ่อยขึ้น

นอกจากนี้อาจมีภาวะโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคกระดูกพรุน หรือ โรคอ้วน ลงพุง ดังนั้น การรู้จักเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับช่วงวัย จะช่วยเสริมสร้างให้มีสุขภาพดี ลดปัญหาที่เกิดจากอาการวัยทอง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

อาหารอะไรบ้างดีต่อคนวัยทอง

ถั่วเหลือง 

ถั่วเหลืองมี “ไอโซฟลาโวน” เป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีส่วนโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยลดอาการวูลวาบ อันเนื่องมาจากการภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงในวัยหมดประจำเดือน โดยสามารถเลือกทานถั่วเหลืองได้หลายรูปแบบ เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่งเหลืองอื่น ๆ 

เมล็ดฟักทอง 

เมล็ดฟักทองมีสารไฟโตเอสโตรเจน ช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้มีความสมดุล นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองมีกรดไขมันดี ช่วยลดอาการแห้งตึงของผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว บำรุงผิวพรรณ ‘

งาดำ 

งาดำ คือ ธัญพืชที่มีไฟโตรเอสโตรเจนสูง อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด บำรุงผิวพรรณและเส้นผม บรรเทาอาการปวดข้อต่ออักเสบ และยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ดี 

ข้าวสาลีและธัญพืช 

ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสี มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และยังอุดมไปด้วยไอโซฟลาโวน มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงวัยทอง ช่วยปรับอารมณ์ให้คงที่ ไม่แปรปรวนง่าย 

น้ำมะพร้าว 

น้ำมะพร้าว มีเอสโตรเจนสูง ช่วยทดแทนการสูญเสียฮอร์โมนของวัยทองในเพศหญิงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวช่วยบำรุงกระดูก ชะลอริ้วรอย บำรุงผิวพรรณ ให้ผิวแลดูสดใส ไม่แห้งเหี่ยว 

นมและโยเกิร์ตไขมันต่ำ 

นม หรือ โยเกิร์ตไขมันต่ำ มีแคลเซียม ช่วยป้องกันมวลกระดูกบางจากภาวะฮอร์โมนเพศลดลง นอกจากนี้ โยเกิร์ตยังมีโพไบโอติก ช่วยเสริมสร้างจุลินทรีย์ดี ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบลำไส้ให้เป็นปกติ เพราะวัยทองหลายคนมักจะมีปัญหาระบบขับถ่าย ท้องผูก ถ่ายยาก 

กล้วย 

กล้วย มีสารทริปโตแฟน ที่เมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารเซโรโทนิน ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนที่ลดลงส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย มีความกังวล ทำให้มักจะนอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ จนอาจนำพาไปสู่โรคซึมเศร้า แนะนำให้ทานกล้วยหอม หรือกล้วยน้ำว้าเป็นประจำ 

ผักตระกูลกะหล่ำ 

ผักตระกูลกะหล่ำ มีไฟโตเอสโตรเจนสูง ช่วยลดความไม่สบายตัวจากอาการวัยทองได้ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี 

ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเอสโตรเจน 

ผลไม้ก็มีสารที่คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อะโวคาโด ส้ม แถมยังมีกากใยอาหารสูง ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายได้ดี 

นอกจากนี้ การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมเบา ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ หรืออาจเพิ่มด้วยอาหารเสริมที่เหมาะสมกับวัย เพื่อให้ได้รับสารอาหารทดแทนในส่วนที่สูญเสียไป ก็จะช่วยให้มีสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี พร้อมรับมือกับอาการวัยทองได้อย่างสบาย ๆ  

 

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง สุภาษิตไทยที่ไม่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ เข้าใจกันดี เพราะจะมีไม่กี่คนหรอกที่เป็นลูกรักพระเจ้า ใบหน้าครบเครื่อง ไม่ต้องแต่งเติมอะไรก็ตื่นมาสวยเลย แต่ยังมีผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยที่ตรงกันข้าม ต้องอาศัยกลบคอนซีลเลอร์ ทารองพื้น กรีดอายไลเนอร์ ปัดแก้ม เติมลิป หรือ เขียนคิ้วสักหน่อย ถึงจะเสกสรรให้ใบหน้ามีชีวิตชีวา ไม่ดูเหมือนคนป่วย หรือเป็นซอมบี้ขาดสารอาหาร 

 

แต่… ผู้หญิงทุกคนใช่ว่าจะ Expert มือโปรฯ ในการแต่งหน้าเสียเมื่อไร เพราะปัญหาร้อยแปดที่มีต่างกันไป ไหนจะสภาพผิว หน้ามันเยิ้ม แต่งหน้าไม่ติด แต่งแล้วเป็นคราบ เป็นขุยหรือแตกร่อง  หน้าไม่เรียบ เมคอัพหลุดล่อน ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ใช้เวลาแต่งหน้าเป็นชั่วโมง แต่ make up หลุดง่ายเพียงไม่กี่นาทีต่อมา ใครจะไม่เซ็งใช่ไหมล่ะ ต้องคอยซับ คอยเติม บางทีก็ไม่สะดวกคอยแต่งบ่อย ๆ แล้วรู้ไหมทำไมถึงแต่งหน้าไม่ค่อยติด หรือแต่งหน้าแล้วต้องเติมบ่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปหาสาเหตุกันดีกว่าค่ะ

 

พักผ่อนไม่พอ นอนน้อยเกินไป 

การนอนน้อยเกินไป โดยเฉพาะการนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพผิวของเราด้วย เพราะผิวไม่ได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและอ่อนแอลง ดังนั้นเมื่อแต่งหน้า เครื่องสำอางไม่เกาะผิวจึงเซ็ตตัวยาก เป็นสาเหตุทำให้เมคอัพหลุดได้ง่าย ดังนั้น การพักผ่อนให้เพียงพอกับร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ หากอยากมีสุขภาพผิวดี แต่งหน้าสวย เมคอัพอยู่ทั้งวัน และไม่ต้องเติมหน้าบ่อย ๆ ควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมง ได้ทั้งผิวแข็งแรงและสุขภาพดี 

ผิวหน้าแห้ง ผิวขาดการบำรุง 

ปัญหาแต่งหน้าไม่ค่อยติดส่วนใหญ่มักพบในคนที่มีสภาพผิวแห้ง ผิวหน้าลอก ผิวขาดความชุ่มชื้น หน้าเป็นขุย อันเนื่องมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันน้อยเกินไป ทำให้ใบหน้าขาดความชุ่มชื้น หรืออาจเกิดจากผิวขาดการบำรุง ทำให้ผิวแห้งกร้าน แต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางเกาะติดผิวยาก ทำให้เมคอัพไม่คงทน หลุดได้หลุดดี วิธีแก้ไขปัญหาผิวหน้าแห้งแต่งหน้าไม่ติด ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่หันมาใส่ใจในการบำรุงผิว รักษาความชุ่มชื้นให้กับใบหน้าด้วยการใช้สกินแคร์ มอยส์เจอรไรเซอร์ การมาส์กหน้าก่อนนอนหรือก่อนแต่งหน้า และดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 7 – 8 แก้ว / วัน เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น แต่งหน้าติดได้ตลอดวัน 

บำรุงผิวมากเกินไป 

แน่นอนว่าการบำรุงผิวสามารถช่วยให้ผิวแต่งหน้าติดทน แต่ถ้าโบกครีมมากเกินพิกัด ใช้ครีมบำรุงมากเกินพอดี โปะแต่ละทีนึกว่าโบกปูนก่ออิฐ นอกจากจะไม่ได้ผลดีแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เพราะปริมาณครีมที่ทาใบหน้าเยอะเกินไป จะไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังสู่ผิวชั้นในได้ ทำให้ผิวไม่ได้รับการบำรุงจากครีมเต็มที่ กลายเป็นการทาครีมแบบไม่ได้คุณภาพ แถมยังทำให้เนื้อครีมที่โบก ๆ ลงไปนั้น ไปสะสมตามรูขุมขน ก่อให้เกิดความมันบนใบหน้า และเมื่อแต่งหน้า เครื่องสำอางก็จะไปรวมกันจนกลายเป็นคราบ และไปอุดตันตามรูขุมขนจนเกิดสิวตามมาในที่สุด ดังนั้เ ควรใช้ครีมบำรุงในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรใช้ครีมประมาณ 1 ข้อนิ้วในแต่ละจุดบนใบหน้า หรืออ่านและใช้ในปริมาณตามข้อบ่งใช้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ และควรรอให้เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวเสียก่อนจึงค่อยแต่งหน้า 

สุขภาพดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่างด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ พฤติกรรมการกินของเราเอง หลายคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย อันเนื่องมาจากวิถีการใช้ชีวิตและอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อ หากไม่อยากสุขภาพแย่ เจ็บป่วยจนต้องกลายเป็นลูกค้าประจำถาวรของโรงพยาบาล ต้องปรับและปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หากทำได้ตามที่เรานำมาฝากในบทความนี้ ควบคู่ไปกับออกกำลังกาย รับรองว่าชีวิตเปลี่ยน มีสุขภาพดียิ่งกว่าเดิม 

  1. ควบคุมน้ำตาล 

เพราะของอร่อยในเมืองไทยมีเยอะจนตาลาย เห็นอะไรก็น่ากินไปหมดเลยใช่ไหมคะ แต่อาหารสุดอร่อย เมนูยอดฮิตบ้านเราส่วนใหญ่หนักไปทางน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ แถมปริมาณก็มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการหลายเท่า จนจำนวนผู้ป่วยโรคต่าง ๆ เพราะบริโภคหวานเป็นประจำเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน โรคอ้วน หากอยากมีสุขภาพดี ควรควบคุมตามหลักโภชนาการ โดยบริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น และยังเพิ่มคุณภาพในการนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายลดลงในช่วงกลางคืน ทำให้ไม่ตื่นกลางดึก สามารถหลับต่อเนื่องได้จนถึงเช้า ช่วยให้ร่างกายมีการฟื้นฟูได้เต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ และระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย 

  1. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และไขมันทรานส์ 

การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และอาหารที่มีไขมันทรานส์ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลอดเลือด เพราะไขมันส่วนเกินจะไปอุดตันหลอดเลือด ทำให้มีไขมันในเลือดสูง ก่อให้เกิดอาการหลอดเลือดตีบ เส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ ควรเปลี่ยนมาทานไขมันดีแทน เช่น อะโวคาโด้ ถั่วเปลือกแข็ง ประมาณ 30 กรัม / วัน ช่วยให้กรดไขมันดีไปลดไขมันในเลือด ไม่ให้มีไขมันในปริมาณที่มากเกินไป จนอาจป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ได้ 

  1. ทานผักและผลไม้ 

การทานผักผลไม้หลากหลายในปริมาณ 400 กรัม / วัน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงระดับเซลล์ โดยควรเน้นผักผลไม้ที่มีเส้นใยสูง หรือมีไฟเบอร์ไม่ต่ำกว่า 30 กรัม จะช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้น้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน องุ่น มะม่วงสุก และ ขนุน เป็นต้น 

  1. เลือกทานเนื้อสัตว์ไขมันน้อยและย่อยง่าย 

เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อยและย่อยง่าย มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง ไก่ ปลา โดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า 3 ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาจะละเม็ด หรือ เลือกทานอาหารโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนถั่วเหลือง ช่วยลดไขมันเลวในเลือดได้เป็นอย่างดี มีส่วนในการช่วยปรับฮอร์โมน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบย่อยอาหาร และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายสมดุลมากขึ้น 

 

หลายคนอาจเคยเจออาการเหล่านี้ เดินอยู่ดี ๆ รู้สึกมีอาการวูบ คล้ายจะเป็นลม หรือนั่ง ๆ อยู่ ลุกขึ้นยืน รู้สึกหน้ามืด หรือหมดสติ ซี่งสาเหตุของอาการเหล่านี้มีหลายปัจจัย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่รู้ไหมว่า อาการวูบ อันตรายกว่าที่คิด และอาจหมายถึงชีวิตที่หมดลมหายใจได้เช่นกัน  วันนี้เราจะมาชวนทุกคนตระหนักถึงอันตรายของอาการวูบ ทำความเข้าใจว่าอาการวูบเกิดจากอะไรได้บ้าง และเราจะสามารถป้องกันอาการวูบได้อย่างไร 

อาการวูบคืออะไร 

อาการวูบ คือ อาการหน้ามืด รู้สึกจะเป็นลม หมดสติ (syncope) เป็นภาวะการหมดสติชั่วคราว โดยมักจะเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และสามารถหายเองได้อย่างรวดเร็ว แต่อันตรายจากอาการวูบที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว อาจทำให้มีอาการหมดสติ ไม่รู้สึกตัว เสียการทรงตัว ล้มลงศีรษะกระแทกพื้น จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ 

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการวูบ เกิดจากอะไรได้บ้าง 

  • พักผ่อนไม่เพียงพอ 
  • เปลี่ยนท่าทางหรือการเคลื่อนไหวกระทันหัน 
  • ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมากเกินไป 
  • มีภาวะเจ็บปวดมาก ๆ 
  • หิวจัด ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • อายุมากขึ้น ผู้สูงอายุ มีโอกาสเกิดอาการวูบได้ง่าย 
  • มีสิ่งผิดปกติที่หูชั้นในที่เกี่ยวกับระบบประสาทการทรงตัว
  • มีโรคประจำตัว เช่น ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด
  • มีภาวะผิดปกติทางสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ มีเลือดออกในสมอง สมองขาดเลือด
  • มีความผิดปกติทางสภาพจิตใจ เช่น ความเครียด ตกใจ ประหม่า หวาดกลัว 
  • ร่างกายขาดน้ำ เช่น ท้องเสียรุนแรง เสียเหงื่อมากเกินไป เป็นต้น 
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาความดันโลหิตสูง 

อาการวูบแบบไหนควรรีบส่งแพทย์โดยด่วน 

  • มีอาการวูบแล้วปวดศีรษะ วิงเวียน เห็นภาพซ้อน ปวดหลัง หรือมีอาการชักร่วมด้วย 
  • มีอาการวูบแล้วหมดสติเป็นเวลานาน 
  • มีอาการวูบแล้วมีใบหน้าเบี้ยว 
  • มีอาการวูบและมีเลือดออก
  • มีอาการวูบแล้วอาเจียน และมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย 
  • มีอาการวูบและมีการหายใจเร็ว ใจสั่น เหนื่อยหอบ และเจ็บหน้าอก 
  • ผู้ที่มีอาการวูบมีโรคประจำตัวอยู่ด้วย เช่น โรคความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง 

 

วิธีป้องกันอาการวูบ

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ 
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 8-10 แก้ว 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้มีคุณภาพ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง 
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที 
  • ตรวจร่างกายประจำปี 
  • หากมีอาการวูบ ให้ปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด 

 

ศึกษาและทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการวูบ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นเสีย เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการวูบจนอาจทำให้หมดสติ และอาจรุนแรงถึงชีวิตได้ การใส่ใจและป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดขึ้น ย่อมดีกว่าการรักษาหลังจากเกิดอาการขึ้นแล้ว ที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอาการเล็กน้อยหรือรุนแรงแค่ไหน ดังนั้น ป้องกันตัวเองด้วยการใส่ใจดูแลสุขภาพไว้ก่อนดีกว่าค่ะ 

ได้ยินเสียงคนบ่น “ทำไมชีวิตไม่มีความสุขเลย”  “ทำไมหาความสุขยากจัง”  “ยุคนี้คนไม่มีความสุขกันเลย” และ บลา ๆ ๆ วันนี้เราเลยขออนุญาตนำแนวทางความคิดของคนมีความสุขว่าเขาเป็นกันแบบไหน ทำยังไงถึงมีความสุขได้ง่าย ๆ กับสิ่งรอบตัว โดยเราได้นำหัวข้อของคนมีความสุขจากบทความของคุณนิรตติ์ เห็นว่าหัวมันตรงกับเนื้อหาที่เราเคยได้ศึกษามาบ้าง จึงขอยกมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน เพื่อจะได้รู้ว่า เออ เราก็มีความสุขได้ไม่ยากนะ ถ้าทำให้ได้ 5 ข้อ ดังต่อไปนี้ 

 

  1. Let it go ปล่อยมันไป 

เพราะอะไรที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ การที่จะไปจมปลักกับอดีต ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาด ทุกข์กับมันจนไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ หรือการหลงติดอยู่กับความสุข ความสำเร็จที่ผ่านไปแล้วก็เช่นกัน ทุกสิ่งมันจบไปแล้ว สิ่งที่ต้องโฟกัสคือปัจจุบัน เราสามารถนำสิ่งที่ผ่านมาในอดีตมาใช้เป็นบทเรียน นำมาปรับปรุงแก้ไข หรือเป็นแนวทางในการดำเนินกับชีวิต ณ ปัจจุบัน เพื่อเป็นสะพานแห่งความสำเร็จต่อไปในอนาคต และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อมองย้อนกลับมา เพราะทุกวินาทีที่เรานั่งจมอยู่กับอดีต เราได้หายใจทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ โดยไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเลยสักนิด แล้วจะหาความสุขได้อย่างไร 

 

  1. Get a move on ก้าวต่อไป 

คนที่มีความสุข นอกจากจะไม่มัวแต่จมอยู่กับอดีต แต่เขาจะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่จบไปแล้ว หรือสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้วมาเป็นอุปสรรค และเหนี่ยวรั้งสเต็ปต่อไปในชีวิตของเขา ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเจอกับความผิดหวัง ความเจ็บปวด หรือสูญเสียอีกสักกี่ครั้ง เขาก็จะให้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ในชีวิต โดยไม่เสียเวลาคร่ำครวญ ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น เพราะตราบใดลมหายใจยังมี นั่นหมายถึงก้าวต่อไปที่ต้องมีเช่นกัน การมุ่งไปข้างหน้าจึงเป็นสิ่งที่คนมีความสุขพึงกระทำ โดยจะไม่ยอมเสียเวลากับอดีต 

 

  1. Follow your heart ทำตามหัวใจ 

ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินไปหากได้ลงมือทำ แต่จะประสบผลสำเร็จแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น คนมีความสุขจะทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ทำในสิ่งที่อยากทำ ไปในที่ต้องการจะไป เพราะคนมีความสุขเข้าใจได้ง่า สิ่งที่จะกักขังเราไม่ให้มีอิสระได้ คือ เงื่อนไขและขีดจำกัดที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง และแม้ว่าทุกสิ่งจะไม่ง่าย แต่การตัดสินใจของเรา คือ จุดเริ่มต้นของการเดินทาง 

 

  1. Think positive คิดบวก 

ชีวิตของคนเราย่อมมีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น ทั้งทำให้เรามีความสุข ทุกข์ใจ ดีใจ หรือเสียใจ ด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่คนมีความสุขเขานิยมทำกัน คือ การเชื่อมโยงทุกสิ่งกับความคิดที่เป็น positive คิดบวกอยู่เสมอ หาเหตุและผลของสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้และมองหาข้อดีของมัน แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์แย่ ๆ ในชีวิต เช่น ไปเที่ยวแล้วหลงทาง แม้จะเสียเวลาและผิดแผนเดิม แต่ถ้าคิดบวกจะเห็นถึงข้อดี ทำให้รู้จักสถานที่ใหม่ ๆ เห็นอะไรใหม่ ๆ เพิ่มประสบการณ์ หรือโชคร้ายไฟไหม้บ้าน แต่สมาชิกในครอบครัวรอดชีวิตทุกคน แม้ว่าข้าวของเสียหาย แต่ของนอกกายยังสามารถหาใหม่ได้ หากไม่ยึดติดกับวัตถุมากเกินไป แต่ชีวิตคนที่รักทุกคนปลอดภัย อันนี้สำคัญกว่า คนที่คิดบวกจะไม่จมอยู่แต่กับความทุกข์มากจนเกินไป แต่จะมองหาสาเหตุ หาทางป้องกันและแก้ไข เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอีกในอนาคต ทำให้คนคิดบวกสามารถมีความสุขได้ง่ายกว่าคนคิดลบที่มัวแต่จมอยู่กับความโศกเศร้า หรือมัวแต่โกรธแค้น จนไม่สามารถมองเห็นความสวยงามของชีวิต 

 

  1. Carelessness ไม่ใส่ใจ 

ชีวิตของคนเราไม่ได้ยืนยาวมากนัก คนมีความสุขจึงให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข โดยไม่แคร์อะไรที่ไม่จำเป็น ไม่สนว่าใครจะคิดว่าตนเป็นอย่างไร ตราบใดที่ไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อน การกระทำของตนไม่ได้ไปกระทบกับชีวิตใคร ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ เพราะชีวิตเป็นของเรา และชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะมัวแต่จมอยู่กับการใส่ใจคนอื่นจนทำร้ายความสุขของตนเอง คนมีความสุขจึงใช้ชีวิตให้เป็นของขวัญ ไม่ใช่ใช้ชีวิตลงโทษตัวเอง ด้วยการใส่ใจคนอื่นมากกว่าใส่ใจตนเอง 

 

 5 ข้อนี้ คือ สิ่งที่คนมีความสุขเขาทำกัน แล้วคุณล่ะ พร้อมจะกลายเป็นคนมีความสุขหรือยัง ?

สำหรับสาว ๆ นาฬิกา เป็นมากกว่าไอเทมแค่เพียงบอกเวลา เพราะนาฬิกายังเป็นเครื่องประดับ เสริมให้ลุคในแต่ละวันมีความสมบูรณ์มากขึ้น ดีไซน์ของนาฬิกาช่วยตอบโจทย์ต่อการใช้งาน และบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเราได้ดี แต่เคยไหมคะที่มักจะลังเลไม่รู้จะเลือกซื้อนาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบไหนดี เรือนนั้นก็สวย เรือนนี้ก็งาม รักพี่เสียดายน้อง หรือแบบไหนเหมาะกับเราที่สุด วันนี้เรามีวิธีการเลือกนาฬิกาข้อมือผู้หญิงจากอะไรได้ตรงใจ ใช้ตรงงานที่สุดมาฝากค่ะ 

เลือกจากรูปแบบนาฬิกาข้อมือ

โดยปกติเมื่อจะเลือกนาฬิกาข้อมือสักเรือน เราจะดูรูปดีไซน์ ตัวเรือนและรูปแบบของหน้าปัดนาฬิกา ถูกใจใช่เลยแค่ไหน ก่อนจะไปดูฟังก์ชั่นต่าง ๆ เพื่อประกอบในการตัดสินใจอีกครั้ง ซึ่งนาฬิกาข้อมือผู้หญิงมีให้เลือก ดังนี้ 

 

  1. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบแอนะล็อก (Analog) เป็นนาฬิกาทรงคลาสิก มีเข็มสั้นและเข็มยาวเพื่อบอกเวลา โดยมีการนับเวลาตามการหมุนของเข็มนาฬิกา 12 ชั่วโมง โดยหน้าปัดนาฬิกาจะมีทั้งแบบตัวเลขโรมัน เลขอารบิก และการใช้ขีดแทนตัวเลข หรือ อาจไม่มีตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใด ๆ แทนตัวเลขเลย เป็นนาฬิกาข้อมือผู้หญิงที่ถือว่าได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพราะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับผู้ที่สวมใส่ ดูเรียบหรู และน่าเชื่อถือ แถมบางยี่ห้อยังเป็นของเก็บสะสมที่ใครหลายคนซื้อเก็บไว้เป็นการลงทุนเพื่อขายทำกำไรในอนาคตได้อีกด้วย
  2. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบดิจิทัล (Digital) หน้าจอแสดงผลเป็นตัวเลข โดยมีทั้งแบบหน้าจอ LCD และแบบ LED ก็จะต่างกันที่คุณภาพและราคา สามารถตั้งค่าให้แสดงเวลา 12 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง ก็ได้ และอาจมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่มีการเพิ่มเข้ามา เช่น การตั้งนาฬิกาปลุก การจับเวลา หรือ การบอกอุณหภูมิ เป็นต้น นาฬิกาแบบดิจิทัลช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ผู้สวมใส่เป็นคนทันสมัย ทะมัดทะแมง ปราดเปรียว มักได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น หรือผู้ที่รักในการผจญภัย

เลือกจากวัสดุที่ใช้ทำสายนาฬิกาข้อมือผู้หญิง

สำหรับที่ใครยังตัดสินใจเลือกนาฬิกาจากรูปแบบไม่ได้ ลองมาเลือกจากวัสดุที่ใช้ทำสายนาฬิกาข้อมือดูบ้าง แบบไหนเหมาะกับสไตล์เราที่สุด โดยหลัก ๆ นาฬิกาข้อมือผู้หญิงมีสายอยู่ 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ 

 

  1. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบสายยาง กันน้ำ กันเหงื่อได้ดี ทำความสะอาดง่าย เหมาะกับผู้ที่ชอบออกกำลังกาย ทำกิจกรรมโลดโผน แบรนด์นาฬิกาแบบสายยางที่ได้รับความนิยม เช่น Swatch แบรนด์นาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์ มีดีไซน์สวย สดใส ใช้งานได้ทุกวัน หรือจะเป็นนาฬิกาผู้หญิง Casio นาฬิกาผู้หญิงเท่ ๆ ลุคสปอร์ตเกิร์ลที่ยังคงได้รับนิยมทุกยุคทุกสมัย
  2. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบสายหนัง มีความคลาสสิก เสริมบุคลิกภาพ ช่วยให้ผู้สวมใส่ดูภูมิฐาน โดยวัสดุที่นำมาใช้ทำสายมักจะเป็นหนังสัตว์ และมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น หนังจระเข้ หนังแกะ หนังปลากกระเบน หรือ หนังนกกระจอกเทศ เป็นต้น ซึ่งข้อดีของสายหนังแบบนี้คือความทนทานในการใช้งาน แต่ข้อเสียของสายนาฬิกาที่เป็นหนังคือ ปัญหากลิ่นเหม็นอับเมื่อสายนาฬิกาโดนน้ำ หรือโดนเหงื่อแล้วสะสม นอกจากนี้ ยังมีสายหนังเทียม หนัง PU  หรือ หนัง Vegan Leather วัสดุที่นำมาใช้ในการทำสายนาฬิกา เพื่อลดต้นทุน แต่มีคุณภาพดีไม่แพ้หนังสัตว์แท้ ซึ่งข้อดีของหนังเทียม ช่วยให้ดูแลง่าย ทนทาน ราคาถูกกว่า และไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์ต่าง ๆ
  3. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบสายโลหะ แมทช์การแต่งตัวง่าย ใส่ได้ทุกโอกาส แต่แลดูสุภาพในทุกสถานการณ์ ทำให้เป็นชนิดสายนาฬิกาที่ได้รับความนิยมสูง ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีความทนทานต่อการใช้งาน โดยสายโลหะส่วนใหญ่จะใช้วัสดุอย่างเดียวกันกับตัวเรือน เช่น ทองคำขาว ทอง หรือ สแตนเลส

เลือกจากขนาดนาฬิกาข้อมือผู้หญิง 

ขนาดของนาฬิกาข้อมือผู้หญิงไม่จำเป็นต้องฟิกซ์มากมาย หรือคำนึงจากขนาดข้อมือของตนเองมากเกินไป เนื่องจากปัจจุบัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบที่จะใส่นาฬิกาข้อมือแบบ Oversize หรือสาว ๆ ที่มีข้อมือใหญ่ก็อาจชื่นชอบนาฬิกาขนาดเล็ก ๆ ดูมินิ ๆ ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล ไม่ผิดใด ๆ แต่สำหรับใครที่ชอบใส่นาฬิกาขนาดพอดี ๆ แต่มีข้อมือเล็ก แนะนำให้เลี่ยงนาฬิกาหน้าปัดขนาดใหญ่ และ นาฬิกาทรงสี่เหลี่ยม เพราะจะยิ่งทำให้ข้อมือดูเล็กลงไปอีก อาจทำให้ดูเทอะทะ หรือเคลื่อนไหวข้อมือไม่สะดวก หากเป็นผู้หญิงที่มีข้อมือเล็ก พยายามเลือกนาฬิกาหน้าปัดทรงกลม ขนาดพอดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เพื่อให้หน้าปัดนาฬิกาได้อยู่บริเวณกึ่งกลางข้อมือ และสามารถเห็นนาฬิกาได้ แบบนี้จะดูเหมาะสมและสวยงามดีทีเดียว แต่ใครที่มีข้อมือใหญ่ก็สามารถใส่นาฬิกาได้ทุกแบบ ทุกประเภท แต่ถ้าต้องการเสริมลุคเรียบหรู ดูแพง ให้เลือกนาฬิกาผู้หญิงไฮโซแบบหน้าปัดทรงเหลี่ยม ก็เก๋กู๊ดเลยล่ะค่ะ 

สภาพผิวของเราแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาสภาพผิวส่วนใหญ่มีด้วยกัน 3 แบบ คือ ผิวมัน ผิวแห้ง และ ผิวมีอายุ และปัญหาของสภาพผิวแต่ละแบบก็แตกต่างกันไป เช่น สิว ริ้วรอย น้ำมันมากเกินไป แต่งหน้าไม่ติด เป็นต้น วันนี้เราจะมาแนะและแชร์การกินอาหารอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละแบบกันค่ะ 

ผิวแห้ง 

ผิวแห้งระคายเคือง แพ้ แดง และบวมง่าย ยิ่งอากาศเปลี่ยนแปลง หรือมีความรุนแรงของอากาศ เช่น อากาศร้อนจัด อากาศแห้ง หรือ อยู่ในห้องแอร์นานเกินไป ทำให้ผิวขาดน้ำและถูกดึงสารอาหารออกจากผิว ดังนั้น ผู้ที่มีสภาพผิวแห้งจึงควรทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น 

 

  • น้ำมะพร้าว มีอิเล็กโทรไลต์ธรรมชาติ กรดลอริก คาปริลิก และไขมันอิ่มตัว ช่วยต่อต้านการอักเสบ เสริมสร้างชั้นผิว กักเก็บความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิวที่แห้งและมีการระคายเคือง 
  • เมล็ดฟักทอง อะโวคาโด ถั่ว ธัญพืชต่าง ๆ เช่น วอลนัท พีแคน แฟลกซ์ อัลมอนด์ เจีย และ งา มีไขมันดี และสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างและปรับความสมดุลให้กับร่างกาย รวมไปถึงผิวที่แห้งให้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น 
  • ปลา และ ไข่ต้ม มีกำมะถัน และ ลูทีน เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และ ปลาแมคเคอเรล ให้โปรตีน คอลลาเจน และ เคราตินแก่ผิว ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวได้ดีขึ้น 
  • สมูทตี้ผักสด เช่น ผักโขม ผักคะน้า เบอร์รี่ มะเขือเทศ กูสเบอร๋รี่ และ ทับทิม มีวิตามินซีสูง ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวที่แห้งกลายเป็นผิวอิ่มน้ำ แลดูสุขภาพผิวดีขึ้น 

ผิวมัน 

เริ่มจากผิวมัน เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันออกมามาก ทำให้ผิวมีปัญหาเรื่องการเกิดสิวได้ง่าย การทานอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ อาหารและเครื่องดื่มแนะนำสำหรับผิวมัน ได้แก่ 

 

  • อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนประกอบของน้ำสูง เช่น แตงโม แตงกวา มีไคโลปีน ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด 
  • ส้ม เกรปฟุต สตรอเบอร์รี่ และ กีวี ผลไม้อันอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ช่วยดีท็อกซ์ตับและชะล้างความมันของผิว ทำให้ผิวไม่มีน้ำมันส่วนเกินมากเกินไป 
  • บรอกโคลีและผักใบเขียว ช่วยเพิ่มการย่อยอาหาร เพราะหากระบบการย่อยอาหารไม่ดี ของเสียที่ไม่ได้กำจัด จะสะสมอยู่ในร่างกาย และเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดสิว
  • ดื่มน้ำมะนาว สะระแหน่ และ แตงกวา ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว แลดูเปล่งปลั่ง ปราศจากน้ำมัน 
  • อะโวคาโด วอลนัท และ ปลาแซลมอน เป็นแหล่งของไขมันดี และโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ และ ป้องกันการเกิดสิว  

ผิวมีอายุ

เมื่อวัยเริ่มมีอายุมากขึ้น อวัยวะและส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพ และเริ่มสลายไปตามอายุและเวลา ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอย และหย่อนคล้อย ควรทานอาหารต่อไปนี้ 

  • ทับทิม มี urolithin A และ punicalagin ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ฟื้นฟูและรักษาคอลลาเจน
  • ถั่วเหลือง และ ปลาทะเล มีโครเอนไซน์ Q10 ช่วยลดริ้วรอย ชะลอความเสื่อมของผิว 
  • มันเทศ มีเบต้าแคโรทีน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่หย่อนคล้อย 
  • มะละกอ บรอคโคลี ผักโขม มีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของผิว ให้ผิวแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น เช่น แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินอี วิตามินเค และ ลูทีน 

หากเราทานอาหารให้ตรงกับสภาพผิว จะช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น แลดูอิ่มเอิบ อ่อนเยาว์ แต่งหน้าง่ายขึ้น สร้างความมั่นใจและส่งเสริมบุคลิกภาพได้ด้วยเช่นกัน