ลิ้น คือ มัดกล้ามเนื้อที่โครงร่างขนาดใหญ่ อยู่บริเวณฐานของช่องปาก มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำนวนมากเพื่อช่วยในการทำงานและเคลื่อนไหว ปกคลุมด้วยชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissue) หนาแน่น มีเยื่อเมือกสีชมพู มิวโคซา (Mucosa) ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้น  มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเคลื่อนไหวได้ดีและหลายทิศทาง นอกจากนี้ ลิ้นหน้าที่คือรับรสต่าง ๆ รวมไปถึงการออกเสียงในการพูดอีกด้วย 

แต่รู้ไหมว่า เราสามารถเช็คสุขภาพเบื้องต้นจาก ลิ้น (Tongue) ได้เช่นกัน ซึ่งเราได้นำข้อมูลจาก รศ.นพ. ณปฎล ตั้งจาตุรนต์รัศมี ภาควิชาโสต คอ นาสิกวิทยา ประจำโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มาฝาก ลองหยิบกระจกขึ้นมาส่องลิ้นเราดูสิว่า จะมีลักษณะหรือตรงกับข้อต่อไปนี้บ้างหรือเปล่า จะได้รีบไปตรวจสุขภาพและพบแพทย์กันเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

ผิวลิ้นเรียบมัน ลิ้นมีสีชมพูหรือแดง 

การที่ผิวลิ้นเรียบมัน และมีสีชมพู หรือสีแดงนั้น เกิดจากตุ่มรับรสของลิ้นมีการฝ่อลงไป ซึ่งอาจเพราะติดเชื้อที่ลิ้น หรือขาดวิตามินซีบางชนิด ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และรักษาได้อย่างเหมาะสม 

 

ลิ้นเป็นฝ้าสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลเข้มค่อนไปดำ

คราบสีน้ำตาลหรืออาจคราบดำบนลิ้น อาจเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ การไม่ดูแลความสะอาด หรือไม่ใส่ใจในสุขภาพช่องปากเท่าที่ควร ควรเลิกสูบบุหรี่ และหมั่นทำความสะอาดช่องปากสม่ำเสมอ 

 

ลิ้นเป็นฝ้าขาวจากเชื้อราหรือแบคทีเรีย 

หากพบว่าลิ้นมีฝ้าขาว ๆ อาจมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย หรือไม่มีก็ได้ ลิ้นเป็นขนสีขาวซึ่งอาจเกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย หรือเชื้อราที่รวมกับเซลล์ที่ตายแล้วบนตุ่มเล็ก ๆ ที่เนื้อลิ้น ไม่ได้มีอาการร้ายแรงอะไร โดยลิ้นขาวรักษาได้ด้วยการใช้ยาต้านเชื้อรา ที่มีทั้งชนิดยาทานและยาทา มักใช้เวลารักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาการลิ้นขาวจากเชื้อราก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น หรือลิ้นเป็นฝ้าขาวจากผลข้างเคียงของการใช้ยาปฏิชีวนะ โรคประจำตัวบางโรค เช่น โรคภูมิคุ้มกัน โรคเบาหวาน แต่ถ้าหากอาการฝ้าบนลิ้นดังกล่าวเป็นมากกว่า 2 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณเตือนอันตราย ควรรีบไปพบแพทย์

ลิ้นมีรอยแตก เป็นร่อง หรือลักษณะคล้ายกับแผนที่ (Geographic Tongue) 

หากผิวลิ้นเป็นร่อง มีรอยแตก คล้ายกับแผนที่ และไม่มีอาการเจ็บหรือแสบร่วมด้วย ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ไม่ใช่อาการรุนแรงต่อร่างกาย และอาจหายได้เอง แต่ก็ต้องคอยหมั่นสังเกตสิ่งผิดปกติที่อาจมีตามมาได้เช่นกัน 

 

ลิ้นมีรอยขาว หรือ ลิ้นมีรอยแดง 

หากลิ้นขาวจากการสะสมเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา สามารถขจัดออกได้ด้วยการใช้แปรงขัด ดื่มน้ำมาก ๆ และหายไปในไม่กี่วัน แต่ถ้าทำอย่างไรอาการลิ้นขาวก็ไม่หายไป อาจเสี่ยงต่อโรคร้าย เช่น โรคมะเร็ง ได้ ควรรีบไปพบแพทย์ 

 

ลิ้นเป็นแผล 

ลิ้นที่มีแผลอาจจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่ถ้าหากรักษาแล้วไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ อาจมีความเสี่ยงว่าจะเป็นมะเร็งที่ลิ้นได้ ควรรีบไปพบแพทย์จะดีที่สุด 

รู้สึกแสบร้อนที่ลิ้น 

ส่วนใหญ่มักจะพบอาการแสบร้อนที่ลิ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาจเกิดจากการขาดวิตามินบางชนิด ไม่ได้อันตรายร้ายแรงอะไร แต่ถ้าหากอาการดังกล่าวรบกวนคุณภาพชีวิต หรือส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ เช่น ทานอาหารบางชนิดไม่ได้ ทานอาหารไม่อร่อยทำให้ไม่เจริญอาหาร หรือ รู้สึกเจ็บปวด หงุดหงิดรำคาญง่ายขึ้น เป็นต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและรักษาอย่างถูกวิธี

ส่องกระจกดูลิ้นแล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ มีเข้าข่ายหรือน่าสงสัยบ้างหรือเปล่าเอ่ย เพราะเรื่องสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ จึงควรหมั่นสังเกตเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะมีอาการรุนแรง จะได้ไม่สายเกินแก้ สุขภายแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน 

 

เชื่อว่าทั่วประเทศไทยในขณะนี้ต่างโศกเศร้าและเสียขวัญกับเหตุการณ์กราดยิงในศูนย์เด็กเล็ก ที่หนองบัวลำภู ไม่เพียงแต่คนในประเทศไทยเท่านั้นที่รู้สะเทือนใจกับโศกนาฏกรรมที่ต้องสูญเสียอนาคตของชาติกว่า 30 ชีวิตในครั้งนี้ ชาวต่างชาติหลายประเทศต่างก็ร่วมไว้อาลัยและมีสำนักข่าวของสื่อต่าง ๆ ได้มีการเผยแพร่ไปทั่วโลกเช่นกัน  

จากเหตุการณ์กราดยิงจนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 ศพ และผู้บาดเจ็บอีกหลายราย ซึ่งเหยื่อที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กที่อยู่ในช่วงวัยอนุบาล โดยมี ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อายุ 34 ปี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป.) สภ.นาวัง หนองบัวลำภู ที่ถูกไล่ออกจากราชการในคดียาเสพติด เป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา 

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 โดยมี ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อายุ 34 ปี ผบ.หมู่ (ป.) สภ.นาวัง หนองบัวลำภู ที่ถูกไล่ออกจากราชการในคดียาเสพติด เป็นผู้ก่อเหตุบุกเข้าไปกราดยิงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง หนองบัวลำภู จนทำให้ผู้เสียชีวิตกว่า 33 ราย และผู้บาดเจ็บอีกหลายคน ซึ่งเหยื่อที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กที่อยู่ในช่วงวัยอนุบาล นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครองได้รับบาดเจ็บ และครูที่กำลังตั้งครรภ์ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเนื่องจากหลบหนีไม่ทัน ก่อนที่ฆาตกรจะขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีขาว ทะเบียน กธ 6499 หลบหนี และยังมีการไล่ยิงผู้คนตามเส้นทางที่ขับรถผ่าน ก่อนจะกลับไปเผารถที่ใช้ในการก่อเหตุ และยิงลูก-เมีย ตามด้วยการยิงตัวเองตายหนีความผิด ทั้งที่ ส.ต.อ.ปัญญา จะต้องขึ้นศาลในวันที่ 7 ตุลาคม (วันนี้) ในคดียาเสพติด ที่เป็นเหตุให้ต้องถูกออกจากราชการนั่นเอง 

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกเหมือนเหตุการณ์วนลูปกลับมาในรูปแบบเดิมอีกครั้ง หากใครจำข่าวใหญ่เมื่อ 2 ปีทีแล้วได้ ที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี สังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้เกิดคลุ้มคลั่งบุกปล้นปืนสงคราม นำไปใช้กราดยิงคนในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 30 ศพ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินข่าวในลักษณะนี้เกิดขึ้นที่ต่างประเทศเสียมากกว่า  

ความรุนแรงในสังคมไทย 

เครียด

รู้สึกไหมว่าคนไทยมีความเครียดมากขึ้น มีการใช้ความรุนแรงมากขึ้น?

ความรุนแรง หมายถึง พฤติกรรมหรือการกระทำใด ๆ ก็ตามที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทั้งทางร่างกาย วาจา จิตใจ หรือทางเพศ นำมาซึ่งอันตรายหรือความทุกข์ทรมานต่อผู้ถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือจิตใจ 

หากลองพิจารณา ผล ที่เกิด มี เหตุ มาจากอะไร? 

สาเหตุของการใช้ความรุนแรงมีด้วยกันหลายปัจจัย ดังนี้ 

  1. ลักษณะส่วนตัวของผู้ใช้ความรุนแรง 
  • นิสัยที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก 
  • การเลียนแบบผู้ปกครอง คนในครอบครัว ที่มีการใช้ความรุนแรงเป็นประจำ 
  • เลียนแบบจากภาพยนต์ โทรทัศน์ สื่อ หนังสือ ที่มีเนื้อหาการใช้ความรุนแรง 
  • ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนในทางที่ถูกต้อง 
  • เติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การใช้ความรุนแรง
  • ไม่ได้รับความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัวหรือคนรอบข้าง
  • เจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด ที่มีผลต่อการควบคุมตนเอง เช่น โรคจิต โรคประสาท เป็นต้น 
  1. ทัศนคติ ค่านิยม และความหลงผิดของผู้กระทำความรุนแรง ที่นำมาสนับสนุนให้กระทำ เพราะเชื่อว่าตนทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกคนอื่น และไม่ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา 
  1. สังคมและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย เช่น 
  • สภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย 
  • สื่อต่าง ๆ 
  • ได้รับแรงกดดันจากสังคม

แนวโน้มการใช้ความรุนแรงที่ดูเหมือนจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะในรูปของเด็กถูกทำร้ายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การล่วงเกินทางเพศ เด็กถูกทอดทิ้ง การก่ออาชญากรรม การใช้ความรุนแรงระหว่างสามี-ภรรยา ทั้งด้านร่างกาย คำพูด และจิตใจ จนเป็นเหตุให้เกิดการหย่าร้าง การทำร้ายผู้สูงอายุ และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่เราได้ยินข่าวมากขึ้นทุกวัน จนต้องกลับมาย้อนถามกันเองว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ที่ถูกขนานนามว่า สยามเมืองยิ้ม ประเทศแห่งเมืองพุทธ 

การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสังคม 

ก่อนจะไปถึงการแก้ไขที่ปลายเหตุ เราควรป้องกันก่อนจะเกิด เหตุ เพื่อไม่ให้มี ผล ตามมา โดยเริ่มจากสถาบันครอบครัวเป็นอันดับแรก โรงเรียน และชุมชน เพื่อเป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรม 

  • พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรเป็นตัวอย่างของการไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรงแก้ปัญหา เพราะครอบครัวคือจุดเริ่มต้นของการซึบซับตัวอย่างในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน การกระทำของคนในครอบครัวจะเป็นแบบอย่างที่ถูกดูดเข้าไปในเมมโมรี่และนิสัยของเด็ก ที่ต่อให้ถูกสอนด้วยคำพูดที่ดีมีเหตุผล แต่ถ้ายังคงเห็นการกระทำที่รุนแรง คำสอนเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล เช่น เด็กที่มีพ่อเป็นคนใจร้อน และมักจะทำร้ายร่างกายภรรยาหรือคนรอบข้างเป็นประจำ แต่สอนให้ลูกเป็นคนใจเย็น คิดว่าระหว่างคำพูดกับการกระทำของพ่อ เด็กเลือกที่จะเชื่อและทำตามแบบใด? เพราะเด็กจะเรียนรู้จรกสิ่งที่เห็นมากกว่าคำพูดที่ได้ยิน เป็นปกติของเด็กทุกคน จนกว่าจะเติบโตขึ้นและอาจมีความคิดที่ถูกต้องกว่า
  • ให้เด็กได้สัมผัสธรรมชาติตั้งแต่เล็ก เพื่อให้เขาได้รับรู้ถึงการมีสิ่งอื่นอีกมากมายในโลกนี้ เป็นการเชื่อมโยงให้เด็กได้เรียนรู้ว่าไม่ได้มีเพียงตัวเขาให้ยึดถือเอาฝ่ายเดียว และเขาจะสามารถเรียนรู้ในการจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น   
  • ไม่ควรให้เด็กอยู่แต่กับอุปกรณ์สื่อสาร เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสื่อต่าง ๆ มักจะมีความรุนแรงมที่แฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ ที่เด็กยังไม่สามารถแยกแยะเองได้ จึงต้องมีผู้ปกครองคอยอยู่ข้าง ๆ ระหว่างใช้งานเครื่องมือสื่อสารเหล่านั้น เพื่อคอยให้คำแนะนำและสอดแทรกเหตุผล หรือควบคุมในการรับสื่อที่เหมาะสม และถ้าจะให้ดีที่สุดคือ หากิจกรรมที่สร้างสรรค์ ได้เรียนรู้และเสริมสร้างประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสมกับวัย 
  • ผู้ปกครองควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก ให้เด็กได้รู้สึกว่าเขาสามารถคุยและปรึกษากับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง พวกเขาจะได้ไม่ต้องเก็บไว้เพียงลำพัง จนเกิดความเครียดและไม่สามารถหาทางออกได้ จนอาจกลายเป็นปัญหาที่ลุกลามและสร้างความเสียหายหรืออันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น
  • สอนให้เด็กรู้จักและทำความเข้าใจของอารมณ์ต่าง ๆ และรู้วิธีในการรับมือกับอารมณ์เหล่านั้น ทั้งที่เกิดกับตนเองหรือเกิดกับผู้อื่น เมื่อเด็กเริ่มอารมณ์ไม่ดีหรือโกรธ ผู้ใหญ่ควรบอกให้เด็กรู้ว่าเราเข้าใจการโกรธของเขา อย่าเพิ่งดุด่าหรือทำโทษ เช่น “แม่รู้วาหนูโกรธที่น้องเอาตุ๊กตาของหนูไปเล่น” จะทำให้เด็กรู้สึกว่ามีคนเข้าใจเขา ช่วยให้เขารับรู้และเข้าใจในอารมณ์ของตนเอง และจะเป็นจุดที่ทำให้เขารู้จักเห็นใจผู้อื่นในเวลาต่อมา 
  • ผู้ใหญ่ควรค่อย ๆ สอนการจัดการอารมณ์ทางลบกับเด็กในเวลาที่เหมาะสม อย่าเพิ่งไปพร่ำบ่นหรือสอนในเวลาที่เด็กมีอารมณ์ เด็กจะไม่ฟัง แต่ให้สังเกตอารมณ์ของเขา แล้วปล่อยให้เขาหายโกรธหรือหายเศร้าก่อน แล้วค่อยเข้าไปชวนพูดคุย ไถ่ถามความรู้สึก ให้เขาเล่าถึงความรู้สึกของตนเอง จากนั้นค่อยพูดคุยถึงการจัดการกับอารมณ์ของเขา หากกรณีที่เด็กแสดงอารมณ์รุนแรง ปาหรือทำลายสิ่งของพัง อย่าไปดุด่า แต่สอนให้เขารู้จักการรับผิดชอบ เช่น หักค่าขนมเพื่อชดใช้กับของที่เขาทำพัง และแนะนำให้เขาหาวิธีที่สร้างสรรค์เมื่อรู้สึกโกรธหรือหงุดหงิดในครั้งต่อไป โดยเด็กบางคนเมื่อโกรธแล้วจะไปเตะฟุตบอลกับเพื่อน ไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ อารมณ์โกรธพวกเขาจะลดลง เมื่อพวกเขาจัดการกับอารมณ์ได้ดี ก็ให้ชื่นชมและให้กำลังใจ 

การมีอารมณ์และความรู้สึกทางลบนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนมีได้กันทั้งนั้น เพราะไม่มีใครที่ไม่เคยรู้สึกผิดหวัง โกรธ เศร้า หรือเสียใจ แต่วิธีการรับมือและจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นต่างหากที่สำคัญ 

ทำไมปัญหาการใช้ความรุนแรงจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ 

การใช้ความรุนแรงในประเทศไทย

  • ความไม่ใส่ใจปัญหาความรุนแรง ตั้งแต่ปัญหาการใช้กำลังในครอบครัว ที่คนภายนอกคิดว่าไม่ควรเข้าไปยุ่ง และไม่มีใครเข้าไปให้การช่วยเหลือ
  • ธรรมเนียมความเชื่อที่มักจะมองว่าการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ 
  • มีทัศนคติ ความเชื่อ และความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของบุคคล 
  • ไม่ได้รับความใส่ใจและแก้ไขอย่างจริงจังจากผู้มีอำนาจในระดับประเทศ
  • ช่องโหว่ของกฏหมาย และการพลิกแพลงของผู้ถืออำนาจทางกฏหมาย 
  • การไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ทั้งที่มีนโยบายระดับประเทศรองรับ 

หรือจะกล่าวสรุปได้ว่า อุปสรรคของการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในประเทศไทย คือ “คน” ทำให้ กฏหมาย ไม่ศักดิ์สิทธิ์ มันจึงเป็นได้แค่ ตัวหมึกที่เป็นอักษรบนกระดาษ เท่านั้นเอง 

 

ผลจากการประชุมหารือของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ (คกก.) เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2565 ที่ผ่านมา ได้พิจารณาเห็นชอบปรับระดับ “โรคโควิด-19” จาก “โรคติดต่อร้ายแรง” ให้เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” และมีผลบังคับในวันที่ 1 ต.ค. 2565 ที่จะถึงนี้ แล้วรู้หรือไม่ว่า ระหว่าง 2 ระดับนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจทั้งในแง่ของกฏหมายและการป้องกัน เพื่อจะได้เตรียมรับมือและปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์

Details

เรื่องของโครงสร้างเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการสร้างบ้านและอาคาร นับตั้งแต่หลังคา ผนัง ตัวบ้าน ตลอดจนถึงการปูกระเบื้องพื้นบ้าน และยังมีสิ่งเล็ก ๆ อีกอย่างหนึ่งที่เจ้าของบ้านไม่ควรมองข้าม คือ การยาแนว ที่ช่างจะต้องใช้เมื่อทำการปูกระเบื้อง เพราะนอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของพื้นบ้านและยังเป็นการป้องกันปัญหาจุดรั่วซึมที่เจอได้บ่อยในหน้าฝนอีกด้วย 

แต่ยังมีหลายคนที่อาจไม่รู้ว่ายาแนวคืออะไร ยาแนวมีกี่ประเภท ใช้ยาแนวแบบไหนถึงจะเหมาะกับพื้นกระเบื้องที่บ้าน 

อะไรคือยาแนว? 

ยาแนวหรือกาวยาแนว คือวัสดุลักษณะกาว ที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำหน้าที่เชื่อมรอยต่อของกระเบื้องแต่ละแผ่นเข้าด้วยกัน ให้ดูเรียบร้อย สวยงาม สะอาดตา โดยการใช้ยาแนวนั้นจะใช้ควบคู่ไปกับปูนกาว หรือ กาวซีเมนต์สำหรับปูกระเบื้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น 

ยาแนวมีกี่แบบ?

ยาแนวที่ใช้ปิดรอยต่อระหว่างวัสดุต่าง ๆ ในแบบ Sealant นั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 

  1. อะคริลิค ยาแนวที่ทำมาจากวัสดุไฮโดรคาร์บอน ที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย มีความยืดหยุ่น 5% แต่เมื่อแข็งตัวแล้วจะไม่ละลายน้ำ สามารถปิดรอยแล้วทาสีทับได้เลย ราคาถูก แต่ข้อเสียคือ รับแรงได้น้อย เพราะยืดหยุ่นได้เพียง 5% อีกทั้งยังมีน้ำเป็นตัวทำละลาย จึงไม่เหมาะกับการนำไปใช้งานในพื้นที่ต้องเปียกน้ำตลอดเวลา เช่น ห้องน้ำ ห้องซักล้าง เป็นต้น
  2. โพลียูริเทน หรือที่มักจะเรียกว่า พียู ยาแนวประเภทนี้จะมีความยืดหยุ่นถึง 35% มีความแข็งแรง ทนทาน แห้งแล้วจะไม่หดตัว ทนแสงยูวี ลงแล้วทาสีทับได้ สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร โดยใช้ยาแนวรอยต่อได้ทั้งเมทัลชีท เหล็ก กระจก อะลูมิเนียม โพลีคาร์บอเนต
  3. ซิลิโคน สารประกอบอนินทรีย์ มีความยืดหยุ่น 25% มีแรงยึดเกาะสูง ทนรังสียูวีได้ดี ใช้งานได้หลากหลาย ซิลิโคนแบบมีกรดจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว แห้งเร็ว แต่ใช้ยาแนวโลหะไม่ได้ ต้องเลือกใช้ซิลิโคนแบบไม่มีกรด ที่มีความยืดหยุ่นกว่า แถมไม่มีกลิ่นรบกวน แต่ข้อเสียคือแห้งช้า ทาสีทับไม่ได้ และมีราคาแพงกว่ายาแนวประเภทอื่น 
  4. ไฮบริด หรือ โมดิฟายซิลิโคน เป็นการผสมผสานระหว่างซิลิโคนกับพียูเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้หลากหลายขึ้น เพราะนำข้อดีของวัสดุยาแนวทั้ง 2 ชนิดมาไว้ในวัสดุเดียว นั่นคือ การยืดหยุ่นสูง ป้องกันรังสียู ยึดเกาะดี ใช้กับพื้นที่เปียกน้ำได้ และใช้กับวัสดุได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น พีวีซี ไม้ ปูน คอนกรีต ไฟเบอร์ซีเมนต์ โพลีสไตรีน หินธรรมชาติ โลหะ และ สเตนเลส อีกทั้งยังไม่มีกรดและสารอันตราย เช่น ไอโซไซยาเนต ที่อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยากับโลหะและวัสดุต่าง ๆ จึงปลอดภัยกับผู้ใช้งาน ข้อดีที่มีมากขึ้น ทำให้ราคายาแนวประเภทนี้สูงกว่าชนิดอื่น ๆ 

เลือกยาแนวแบบไหนให้เหมาะกับการใช้งาน 

  1. ยาแนวธรรมดา คือ ยาแนวที่ใช้งานทั่วไป เป็นยาแนวราคาไม่แพง แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อราดำได้ จึงไม่เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้น แต่เหมาะกับการใช้งานพื้นภายในตัวอาคารทั่วไปมากกว่า 
  2. ยาแนวกันเชื้อรา คือ กาวยาแนวที่ป้องกันเชื้อราดำได้ เพราะมีการใส่สารยับยั้งการเกิดเชื้อรา จึงเป็นยาแนวที่นิยมใช้มากที่สุด สามารถใช้กับพื้นที่มีความเปียกชื้นได้ เช่น ห้องน้ำ พื้นที่ภายนอกอาคาร เป็นต้น 
  3. ยาแนวอีพ็อกซี่ คือ กาวยาแนวที่ดีที่สุด ทนต่อสารเคมี เหมาะในการใช้งานกับพื้นที่ต้องการความทนทาน และความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น พื้นโรงงาน สระว่ายน้ำ แต่ด้วยเป็นกาวที่ค่อนข้างมีส่วนผสมที่หลากหลาย มีราคาแพง การนำมาใช้งานจึงต้องเป็นคนที่มีความชำนาญหรือมีประสบการณ์
  4. ยาแนวกระเบื้องร่องเล็ก คือ กาวยาแนวที่มีความเหลวมากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยในการไหลตัวเข้าไปตามร่องกระเบื้อง แต่แห้งตัวเร็วเป็นพิเศษ จึงไม่ควรผสมรอไว้ และเมื่อยาแนวแห้งตัวแล้วไม่ควรใส่น้ำเข้าไปผสมอีก เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของยาแนวลดลง เหมาะกับการใช้งานปูกระเบื้องที่ต้องปูชิดกัน เช่น กระเบื้องแกรนิโต้ 
  5. ยาแนวสระว่ายน้ำ เป็นกาวยาแนวใช้ปูกระเบื้องสระว่ายน้ำ ซาวน่า สปา เพราะเป็นยาแนวที่ทนต่อคลอรีน และรองรับแรงอัดได้ดี 

 

หากเลือกใช้ยาแนวไม่ถูกกับประเภทของงานและชนิดของกระเบื้อง อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายได้ เช่น อาจทำให้กระเบื้องหลุดร่อน หรือกระเบื้องหดตัวเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้น้ำรั่ว น้ำซึม หรือสุดท้ายยาแนวก็ร่อนออก ทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าอุปกรณ์และค่าจ้างในการซ่อมแซมพื้นกระเบื้อง 

อีกปัญหาหนึ่งของบ้านที่มักพบได้บ่อยในหน้าฝน คือ ปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึม และส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นกับพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหานั้นในจุด ๆ เดิม การที่รู้ก่อน จะได้รับมือและป้องกันได้ทัน ก่อนปัญหาจะลุกลามจนสร้างความเสียหายให้กับบ้านมากกว่าที่คิด ซึ่งจุดใหญ่ ๆ ที่มักจะเกิดปัญหาเหล่านั้นได้แก่พื้นที่ต่อไปนี้ 

Details

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดเผยว่ามีการปรับแก้และบังคับใช้กฎหมายจราจรใหม่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2565 เป็นต้นไป โดยจะมีการเพิ่มอัตราโทษทั้งจำทั้งปรับ โดยเฉพาะกรณีเมาแล้วขับและการกระทำผิดซ้ำซาก

อัตราโทษใหม่ กฎหมายจราจร 2565

  • โทษข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000-100,000 บาท และศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ พร้อมการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี หรือตลอดชีวิต
  • ขับรถเร็วเกินกำหนด, ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง, ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (โทษเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
  • ขับรถย้อนศร, ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท, ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
  • เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น อัตราโทษเดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท เพิ่มเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับการนั่งแค็บสามารถนั่งได้ไม่เกิน 3 คนและกระบะท้ายสามารถนั่งได้ไม่เกิน 6 คนและผู้ขับขี่ต้องขับไม่เกินความเร็วที่กำหนดโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ส่วนที่นั่งนิรภัยหรือเบาะนั่งในรถยนต์สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกรมการขนส่งทางบก สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนน ได้ร่วมประชุมเพื่อกำหนดมาตรฐานที่นั่งนิรภัย และวิธีการป้องกันอันตราย ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดทำข้อกำหนดให้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ 4 ธันวาคมนี้ และจะบังคับใช้เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำประกาศให้ทราบในราชกิจจานุเบกษา

เครดิตข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กระแสกลับมาอีกครั้ง หลังจากเริ่มซา ๆ จนนึกว่าจะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว กับคดี  Forex 3D ที่เคยมีกระแสตั้งแต่ปี 2562 เมื่อ ธปท. หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเตือนประชาชนให้ระวังการถูกล่อลวงซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือการ Trade  ค่าเงิน โดยอ้างจะได้เงินปันผลและค่าตอบแทนสูง ที่มีการโฆษณาผ่านเว็บไซต์ และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ 

Details

ใกล้ถึงวันแม่แล้ว คนส่วนใหญ่จะนึกในฐานะลูก ว่าจะทำอะไรเพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณน้ำนมแม่ แต่ในขณะเดียวกัน วันนี้ก็เป็นอีกวันสำคัญของผู้ที่อยู่ใน ฐานะพ่อ-แม่ ที่มีลูกเช่นกัน เพราะบทบาทนี้เป็นปฐมบทที่จะปลุกปั้นเด็กคนหนึ่ง ให้เติบโตเป็นลูกที่ดี เป็นคนดีในสังคม และจะเป็นพ่อแม่ที่ดี ที่สืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น ในอนาคตต่อไป Details

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไฟฟ้า เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นของการดำรงชีวิตทุกคน และมีการใช้ไฟฟ้าทุกแห่ง ทุกอาคาร บ้านเรือน แม้ว่าไฟฟ้าจะมีประโยชน์มากมาย แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้าน แม้แต่ระบบไฟฟ้าก็เช่นกัน ที่พร้อมจะให้โทษมหันต์ และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินให้วอดวายได้ในพริบตา หากขาดความระมัดระวังในการใช้งาน หรือไม่มีการควบคุมระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัย และแม้แต่การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน  

เรามักจะได้ยินข่าวไฟไหม้อาคาร บ้านเรือน ห้างสรรพสินค้า สถานที่ในแหล่งชุมชนในหลายๆแห่งที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร กระแสไฟฟ้ารั่ว หม้อแปลงระเบิด เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานหรือชำรุดและเก่า ยิ่งช่วงนี้อัคคีภัยเกิดถี่มากขึ้น และพื้นที่เกิดเหตุส่วนใหญ่มักเป็นแหล่งชุมชนแออัด หรือมีคนอาศัยอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะย่านการค้าขาย และตึกอาคารพาณิชย์ในกรุงเทพที่มักจะจำหน่ายวัสดุติดไฟได้ง่าย เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้จึงลุกลามอย่างรวดเร็ว 

ด้วยรูปแบบการอาศัยของวิถีชีวิตคนเมือง ที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารตึกสูง และคอนโดมิเนียมจำนวนมาก เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ การใช้รถกระเช้าลำเลียงหัวฉีดน้ำดับเพลิงเข้าที่เกิดเหตุจะใช้เวลานานนาน เนื่องจากการทำงานของกระเช้าต้องใช้พื้นที่มาก แต่คอนโดมิเนียมและตึกสูงส่วนใหญ่จะมีพื้นที่โดยรอบแคบและจำกัด ทำให้กระเช้าเข้าถึงตัวอาคารได้ยาก ก่อให้เกิดความเสียหายมากมาย กว่าที่เจ้าหน้าที่จะทำการควบคุมสถานการณ์ได้  อีกทั้งเหตุเพลิงไหม้ที่มักจะมีผู้เสียชีวิต มักจะเกิดช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่หลับแล้ว โดยผ่านหลังเที่ยงคืนไปแล้ว จึงไม่ได้มีการระวังตัว ทำให้มีการสำลักควันจนเสียชีวิต 

ดังนั้นการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน อาคารสถานที่ต่างๆ รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงาน สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันเหตุอันตรายที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่การป้องกันการเกิดเพลิงไหม้เท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องผู้อาศัย หรือผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่ จากอุบัติเหตุต่างๆที่เกิดจากกระแสไฟ เช่น ไฟช็อต ไฟดูด ไฟรั่ว เป็นต้น ดังนั้นหากใครที่ต้องการจะติดตั้งระบบไฟฟ้า ควรจะต้องคำนึงหลักการต่อไปนี้เสมอ 

หลักการติดตั้งระบบไฟฟ้าให้ปลอดภัย 

1. ใช้อุปกรณ์ตัดวงจรอัตโนมัติ

อุปกรณ์ตัดวงจรอัตโนมัติ อย่าง Circuit Breaker คืออุปกรณ์สำคัญในการป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ที่จะช่วยปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อาศัยอยู่ในอาคาร หรือจากการใช้งานไฟฟ้าได้มากขึ้น เพราะเมื่อไรที่มีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือมีการใช้กระแสไฟฟ้าเกิน กระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือกระแสไฟฟ้าไหลลงดิน โดยผ่านตัวนำหรือสื่ออื่นๆ และแม้แต่ผ่านร่างกาย อุปกรณ์นี้จะทำการตัดวงจรกระแสไฟฟ้าทันที ทำให้ไม่เกิดอันตรายกับผู้ใช้งาน 

2. ติดตั้งสายดิน

สายดิน เป็นอุปกรณ์ที่มักจะทำงานคู่กับอุปกรณ์ตัดไฟ โดยสายดินนั้นจะติดตั้งอยู่ที่ตัวเมนไฟ ทำหน้าที่ในการช่วยระบายกระแสไฟฟ้าที่ไหลนอกจากวงจรลงสู่พื้นดิน ทำให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือสัมผัสอุปกรณ์ดังกล่าวไม่โดนไฟดูดจนได้รับอันตราย 

3. ติดตั้งตู้คอนโทรล และแยกเบรกเกอร์ของใครของมัน

การติดตั้งระบบไฟฟ้าที่รวมทุกอย่างภายในสวิตซ์เดียวกันหมด เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟสูง เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ เตาอบขนาดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ควรจะแยกสวิตซ์เป็นส่วนๆไป โดยมีตู้คอนโทรลไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งตู้คอนโทรลไฟฟ้า คือ ตู้ที่เป็นจุดศูนย์รวมในการควบคุมระบบไฟฟ้าทั้งหมดภายในอาคาร เพื่อควบคุมระบบการทำงานของไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งกรณีที่อยู่อาศัยรูปแบบบ้าน ห้องชุด อพาร์ทเมนท์มักจะใช้ตู้คอนโทรลระบบไฟฟ้าชนิด Consumer Unit ซึ่งนิยมใช้กับไฟ 1 เฟสเท่า หรือ Load Center สำหรับอาคารขนาดกลางไปจนถึงโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ตู้คอนโทรลไฟฟ้า 3 เฟส จะมีส่วนของสายไฟหลักจากมิเตอร์ไฟฟ้าต่อกับตู้ Breaker อีกที เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอย่างสูงสุด นอกจากนี้อุปกรณ์ยังช่วยป้องกันความเสียหายแก่เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จากฟ้าผ่าในระดับหนึ่งอีกด้วย 

4. เดินสายไฟภายในท่อร้อยสายไฟเสมอ

การติดตั้งระบบไฟฟ้า ควรเดินสายไฟในท่อร้อยสายไฟ ซึ่งอาจเป็นท่อแข็ง หรือเป็นท่ออ่อนก็ได้ โดยเฉพาะการเดินสายไฟในที่ลับตาเช่น ใต้ผนัง ใต้ฝ้า ฯลฯ จะต้องร้อยท่อเสมอ เพื่อป้องกันการชำรุดและความเสียหายที่อาจเกิดจากสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น ฝุ่น น้ำ การกัดแทะของสัตว์และแมลงต่างๆ จนอาจก่อให้เกิดอันตรายจากอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าเสื่อมสภาพ หากเป็นสวิตซ์ด้านนอกบ้านควรติดตั้งชนิดมีฝาปิดกันน้ำเพื่อความปลอดภัย 

5. เลือกขนาดสายไฟให้เหมาะกับการใช้งาน

ขนาดสายไฟในแต่ละสถานที่อาคาร จะต้องเลือกให้เหมาะและเพียงพอต่อการใช้งาน หากเลือกสายไฟขนาดเล็กวางระบบในอาคารที่มีการใช้ปริมาณไฟฟ้าสูง เช่นในอาคารขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือ คลังไฟฟ้าโรงงาน จะทำให้สายไฟมีความร้อนสูง เนื่องจากกระแสไฟสูงเกินกว่าขนาดรองรับของสายไฟ ฉนวนกันไฟฟ้าจะเกิดการละลายได้ จนก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรนั่นเอง 

 6. เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ามีคุณภาพ มีมาตรฐาน และปลอดภัยสูงในการติดตั้ง

การติดตั้งระบบไฟฟ้าให้มีความปลอดภัย ก็ต้องคำนึงถึงมาตรฐานของอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วย ดังนั้นก่อนจะทำการติดตั้งระบบไฟฟ้า หรือจะเปลี่ยนอุปกร์ไฟฟ้าชนิดใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ปลั๊กไฟ สายไฟ คอนซูมเมอร์ ตู้สวิทช์บอร์ด เมนเบรกเกอร์ หรือเบรกเกอร์ย่อย จะต้องเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพเสมอ แบรนด์ของสินค้ามีแหล่งผลิต ศูนย์จำหน่ายหรือบริษัทขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ เป็นที่รู้จักในวงการและท้องตลาด ยิ่งมีกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ก็ยิ่งมีเครดิตที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ช่วยให้มั่นใจถึงคุณภาพและความปลอดภัยของอุปกรณ์ไฟฟ้า ตลอดระยะอายุการใช้งาน

7. ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่เสมอ และเลือกช่างติดตั้งที่ไว้ใจได้ 

บ่อยครั้ง ที่อัคคีภัยและอุบัติเหตุจากไฟฟ้า เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเก่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าที่กำหนด รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าเกิดการชำรุด และเสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้นควรมีการตรวจเช็คอยู่เสมอ และทำการเปลี่ยนใหม่ทันทีหากพบส่วนใดมีการชำรุด โดยส่วนใหญ่แล้วสายไฟจะมีอายุการใช้งานประมาณ 6 – 8 ปี หรือถ้ามีความผิดปกติ เช่น กรอบอุปกรณ์แตก สายไฟเปลี่ยนสี หรือสายหุ้มข้างนอกขาดวิ่นจนเห็นขดลวดข้างใน ก็รีบทำการเปลี่ยนทันที อย่าเสียดายแม้จะยังไม่หมดอายุการใช้งานก็ตาม และควรให้ผู้เชี่ยวชาญหรือช่างไฟฟ้าโดยตรงและที่ไว้ใจได้เป็นผู้เปลี่ยนและซ่อมแซมจะดีที่สุด 

มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ดี ประกอบกับการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูง จะช่วยป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้าและการเกิดอัคคีภัยได้ และไม่ควรลืมที่จะหมั่นตรวจตราอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ได้ทัน และสำหรับใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์ไฟฟ้าคุณภาพดี เพื่อนำไปติดตั้งภายในบ้าน หรือผู้รับเหมาก่อสร้างและช่างติดตั้งระบบไฟให้อาคารต่างๆ ที่ต้องการอุปกรณ์ไฟฟ้าคุณภาพเยี่ยม รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สามารถรองรับระบบปริมาณการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ติดต่อที่ SQD Group ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าของบริษัทชั้นนำระดับโลก ที่ครบครันอุปกรณ์ไฟฟ้าในที่เดียว และเปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน ให้คุณมั่นใจว่าจะได้สินค้าคุณภาพและบริการที่เยี่ยมยอด 

“แมว” ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์รักความสะอาด รักสวยรักงาม เลียขนตกแต่งขนทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้น แมว ก็มีต่อม ๆ หนึ่ง ที่ปล่อยกลิ่นเหม็น จนบางทีทาสอย่างเราๆ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าบอสใหญ่อย่างน้องแมวของเรา จะเหม็นได้ขนาดนี้ (OMG!) 

ต่อมเหม็นแมวคืออะไร 

เพราะต่อมที่ปล่อยกลิ่นเหม็นที่ว่านี้ ก็คือ “ต่อมก้น” (Anal gland)  หรือทาสแมวทาสหมาหลายคนเรียก ต่อมเหม็น นั่นเอง โดยต่อมนี้จะอยู่บริเวณข้างรูก้นน้องแมวน้องหมา ซึ่งต่อมก้นของน้องแมวจะมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว 2 ต่อมข้างๆ รูก้น โดยต่อมก้นจะทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่ง ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของน้องหมาน้องแมวตัวนั้น และเมื่อน้องแมวอึ จะมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ ต่อมก้นจะปล่อยของเหลวออกมาและติดไปกับอึของน้องแมว ทำให้อึของน้องแมวมีกลิ่นเฉพาะตัว เป็นการแสดงอาณาเขต หรือการทำแลนด์มาร์คอีกแบบหนึ่ง เพื่อสื่อสารต่อแมวตัวอื่นๆ ว่านี่ อึฉัน แถวนี้ฉันคุม! 

 

ต่อมก้นนอกจากจะทำหน้าที่ปล่อยกลิ่น แสดงความเป็นเจ้าของอึแล้ว เวลาที่น้องแมวตื่นเต้น ตกใจ กลัว หรือรู้สึกไม่ปลอดภัย ต่อมก้นก็จะปล่อยกลิ่นที่ว่านี้ออกมา คล้าย ๆ กับตัวสกั๊งค์เลยล่ะ และนอกจากจะมีการปล่อยกลิ่นติดไปกับอึ เพื่อแสดงอาณาเขตแล้ว กลิ่นยังคงติดอยู่ที่ขน รอบๆบริเวณก้นด้วย แต่กลิ่นจะจางหายไปเอง เมื่อผ่านพ้นไปในเวลา 2-3 ชั่วโมง 

จำเป็นต้องบีบต่อมก้นน้องแมวไหม

ต่อมเหม็นแมวคืออีกอวัยวะที่สำคัญของน้องแมว เพราะหากต่อมเกิดการอักเสบ ที่อาจเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น การอุดตันของท่อ การติดเชื้อ อายุ เพศ อาหาร หรือแม้แต่แต่การเกิดเนื้องอก และมะเร็ง ก็อาจเกี่ยวโยงกับต่อมก้นนี้ได้ สำหรับการดูแลต่อมเหม็นน้องแมวที่มีสุขภาพปกติ ไม่ได้มีปัญหาหรืออาการอักเสบใดๆ ไม่จำเป็นต้องบีบต่อมก้น แต่เพียงแค่นำสำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดก้นน้องแมวบ่อยๆ นอกจากจะช่วยทำความสะอาดให้น้องแล้ว ยังเป็นเหมือนการนวดให้สบายด้วย แต่ถ้ากรณีน้องแมวมีปัญหา ไม่สามารถขับต่อมข้างก้นออกมาได้เอง ทาสอย่างเรา ๆ ก็จำเป็นต้องคอยบีบต่อมเหม็นแมว เพราะหากปล่อยทิ้งให้มีการสะสมนานๆ อาจทำให้น้องแมวเสี่ยงเป็นต่อมข้างก้นอักเสบได้ ซึ่งส่วนใหญ่น้องแมวที่เลี้ยงระบบปิดมักจะเจอปัญหานี้ได้บ่อยกว่าที่เลี้ยงระบบเปิด 

ต่อมเหม็นแมวบวม อักเสบ

หากน้องแมวปล่อยกลิ่นเหม็นมากกว่าปกติ หรือ น้องแมวมีน้ำเหม็นๆออกมาตลอดเวลา หรือมีลักษณะเป็นน้ำหนองปนเลือด ไถก้นกับพื้น มีอาการท้องผูก ซึม มีไข้ อาจมีไตแข็งข้างต่อมก้น บวมแดง และถ้ามีการอุดตันเป็นเวลานาน อาจทำให้ต่อข้างก้นแตกปะทุออกมาทางผิวหนังข้างก้น ซึ่งอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะต่อมเหม็นแมวอักเสบ ที่ไม่ควรปล่อยปละละเลย 

 

ต่อมเหม็นอักเสบ รักษาด้วยการบีบจริงหรือ

การรักษาต่อมเหม็นอักเสบในน้องแมวจะขึ้นอยู่กับอาการ หากอาการไม่รุนแรง อาจช่วยด้วยการบีบเอาของเหลว เลือด และ หนองที่อยู่ในภายในต่อมข้างก้นออก และให้ยาลดอักเสบที่ตามสัตว์แพทย์สั่งจัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ส่วนกรณีที่ต่อมก้นอักเสบจนฝีแตกออกมาตรงบริเวณผิวภายนอก สัตว์แพทย์จะให้ยาลดอักเสบ และยาปฏิชีวนะ และจะต้องล้างทำความสะอาดแผลทุกวัน จนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ แต่ถ้าหากการรักษาไม่สามารถหายได้ด้วยการให้ยา สัตว์แพทย์อาจจะต้องทำการผ่าตัด เพื่อนำต่อมข้างก้นออก 

ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยง อย่างน้องหมาน้องแมว ได้แนะนำวิธีบีบต่อมเหม็นแมว ต่อมเหม็นสุนัข สามารถทำได้เองง่ายๆ 

  • ยกหางน้องแมว น้องหมาขึ้นให้พ้นรัศมีที่จะบังสายตา หรือกีดขวางขณะที่เราทำการบีบ
  • ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งค่อยๆกดลง บริเวณด้านข้างของรูก้นน้องแมวเบาๆ กดขึ้น-ลง เบาๆ เพื่อให้น้ำหนอง หรือสิ่งที่คั่งค้างภายในท่อออกมา 
  • ใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้านิ่มๆ ชุบน้ำบิดหมาด เช็ดทำความสะอาด 
  • หากทำตอนอาบน้ำจะดีมาก เพราะจะได้ใช้น้ำล้างทำความสะอาดได้เกลี้ยงกว่า

 

การช่วยบีบต่อมเหม็นแมว ต่อมเหม็นหมา จะช่วยลดกลิ่นคาว และช่วยให้สิ่งที่คั่งค้างในท่อได้ระบายออก ลดการอุดตัน ควรทำด้วยแรงเบามือที่สุด เพื่อไม่ให้น้องแมวตื่นตกใจกลัวและรู้สึกเจ็บ จนฝังใจและเครียดทุกครั้งที่ต้องโดนบีบต่อมก้น ทำให้สภาพจิตใจน้องเสียและอาจป่วยได้ ดังนั้นอาจใช้เพียงสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ด สลับกับการบีบต่อมก้นเป็นบางครั้งก็เพียงพอ สำหรับในน้องแมวที่มีสุขภาพปกติ แต่ถ้าเป็นกรณีที่น้องแมวป่วย มีอาการของต่อมก้นอักเสบ ต้องรีบพาไปพบสัตว์แพทย์และดูแลรักษาอย่างถูกต้องตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้น้องแมวไม่มีอาการแทรกซ้อน และมีสุขภาพดี อยู่เป็นบอสใหญ่ของเราไปนานๆ ไม่รีบชิงหนีกลับไปดาวแมว