ประเทศไทยมียุงเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน ยิ่งบริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำหรือมีน้ำขังยิ่งมียุงชุม เรามักจะรู้กันว่ายุงพาหะนำโรคต่างๆมาสู่สัตว์และมนุษย์ แล้วยุงเป็นพาหะนำโรคอะไรบ้างล่ะ? ก่อนที่จะไปถึงเรื่องของโรคที่มากับยุง เรามาทำความรู้จัก “ยุง” กันสักหน่อยดีกว่า

ยุงคือแมลงขนาดเล็กที่จัดอยู่ในไฟลัม Arthropoda มี 2 ปีก และ 6 ขา โดยยุงตัวเมียจะอาศัยดูดกินเลือดสัตว์อื่นเป็นอาหาร และมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2-6 สัปดาห์ ในขณะที่ยุงตัวผู้จะกินน้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร และมีอายุเพียงประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับอากาศและแสงสว่างที่เหมาะสมด้วย ยุงนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ สามารถพบได้ทั่วโลก แต่จะพบมากในเขตร้อนและอบอุ่น เช่น ประเทศไทย สิงคโปร์ อินเดีย แอฟริกา เป็นต้น 

แม้ว่ายุงตัวเมียเท่านั้นที่ดูดกินเลือดเพื่อนำเอาโปรตีนและแร่ธาตุในเลือดไปใช้ในการเจริญเติบโตของไข่ในรังไข่ แต่ยุงตัวใหญ่หรือยุงตัวเมียชนิด Toxorhychites mosquitoes จะกินแต่น้ำหวาน ซึ่งการกินเลือดของยุงแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างออกไป บางชนิดก็กินเลือดสัตว์อื่นๆและสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ม้า สุนัข แต่ก็มียุงบางชนิดที่กินเลือดคนเท่านั้น โดยการล่าเหยื่อของยุง จะใช้การรับรู้จากสารเคมีในตัวเหยื่อ การมองเห็นภาพ และการรับรู้จากอุณหภูมิในร่างกาย หรือความร้อนในตัวเหยื่อนั่นเอง 

 

โรคที่เกิดจากยุงมีอะไรบ้าง 

1.โรคไข้เลือดออก 

เกิดจากเชื้อไวรัสที่มียุงลายพาหะนำโรค โดยยุงลายนี้เป็นยุงที่ออกดูดเลือดตอนกลางวัน มีลักษณะสีขาวสลับดำ แหล่งเพาะพันธุ์อย่างดีคือแหล่งน้ำขังและน้ำนิ่ง และยิ่งชุกชุมมากในฤดูฝน เมื่อยุงลายไปกัดผู้ป่วยที่มี่เชื้อของโรคนี้ หรือผู้ป่วยไข้เลือดออก เชื้อไวรัสในเลือดจะไปสะสมในน้ำลายของยุง และเมื่อยุงลายไปกัดคนอื่นต่อ จึงทำให้แพร่เชื้อให้กับคนต่อไป จนเป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค

อาการของโรคไข้เลือดออก :  หลังจากที่ถูกยุงกัดประมาณ 5-8 วัน ช่วงแรกจะเป็นช่วงระยะไข้ ประมาณ 4-7 วัน โดยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือปวดกระดูก อาจไม่มีน้ำมูกหรืออาการไอ แต่อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีผื่นแดงๆตามร่างกาย เลือดออกง่าย เบื่ออาหาร ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ปลายมือปลายเท้าเย็น จากนั้นอาการไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วงนี้อาจมีภาวะแทรกซ้อน จากการที่พลาสมาหรือสารน้ำในเลือดมีการรั่วออกจากเส้นเลือด ส่งผลให้ผู้ป่วยช็อก ชัก แน่นหน้าอก ปวดท้อง หรือมีเลือดออกในอวัยวะภายในได้ แต่ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ก็จะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ปัสสาวะมากขึ้น ผู้ป่วยเริ่มอยากรับประทานอาหาร 

การปฏิบัติตัวเมื่อป่วย หรือต้องดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก 

  • หมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ ควบคู่กับการทานยาลดไข้ หรือพาราเซตามอล (ตามคำแนะนำของแพทย์ หรือไม่เกินวันละ 8 เม็ด เพราะถ้าทานมากเกินไป จะส่งผลให้ตับอักเสบได้) เพื่อเป็นการลดไข้ 
  • ควรดื่มน้ำเกลือแร่ช่วงที่มีไข้สูง เพราะหากดื่มแต่น้ำเปล่า อาจทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดเสียสมดุลได้ 
  • ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง อาจมีผลเสียมากขึ้น เช่น อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือยาอาจทำให้ตับอักเสบ
  • หากมีการใกล้ชิดหรือเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก แล้วเกิดมีไข้สูง ให้รีบพบแพทย์ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นไข้เลือดออก 
  • หลีกเลี่ยงการกระทบกระแทก หรือการกระทำที่เสี่ยงต่อการให้เกิดเลือดออก แม้แต่การเคี้ยวอาหารแข็งๆ เพราะยังมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ ทำให้เลือดออกได้ง่าย 

การป้องกันการติดเชื้อ 

  • พยายามไม่ให้ยุงกัด หรือหาวิธีป้องกันยุง เช่น กางมุ้ง ติดมุ้งลวดกันยุง ใช้ยาทากันยุง 
  • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เทน้ำขังในบ้านและรอบๆบริเวณรัศมี 50 เมตร ทิ้งให้หมด เพื่อกำจัดยุงลาย หาฝาปิดภาชนะให้มิดชิด เพื่อป้องกันยุงลายวางไข่ได้ 

2.โรคมาลาเรีย 

โรคมาลาเรีย เป็นโรคที่เกิดจากยุงก้นปล่อง ยุงชนิด Anopheles dirus และ minimus เป็นพาหะเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียม ที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ มีไข้สูงและหนาวสั่น หรือที่เรียกว่า ไข้จับสั่น และยุงก้นปล่องนี้เป็นยุงกลางคืน พบชุกชุมมากช่วงหน้าฝน แต่ถ้าเป็นยุงชนิด dirus จะพบในป่าทึบเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ยุงก้นปล่องแทบทุกชนิดจะออกดูดเลือดในช่วงกลางคืน ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงดึก หากเด็กได้รับเชื้อนี้ จะมีอการหนักกว่าผู้ใหญ่ แม้ว่าปัจจุบันจะมียาฆ่าเชื้อพลาสโมเดียม แต่ก็มีการดื้อยาค่อนข้างมาก และยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรมาเลเรีย 

อาการของโรคมาเลเรีย : เมื่อถูกยุงก้นปล่องกัด เชื้อพลาสโมเดียมแต่ละสายพันธุ์จะใช้เวลาฟักตัวไม่เท่ากัน แต่ก็มีความใกล้เคียงกันประมาณ 7-14 วัน หรืออาจมากกว่า 2 สัปดาห์ หากเป็นสายพันธ์ุ malaria โดยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย หน้าซีด ปากซีด ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งอาการไข้นี้แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ 

  • ระยะที่ 1 ระยะหนาว อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ผิวหนังเย็นซีด มีอาการหนาวสั่นขนลุก อาจหนาวเข้ากระดูก แบบที่ห่มผ้าก็ไม่หายหนาว ระยะที่1 จะมีอาการประมาณ 10-20 นาที แล้วจึงเข้าสู่ระยะต่อไป 
  • ระยะที่ 2 ระยะร้อน ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงถึง 38-40 องศาเซลเซียส คลื่นไส้อาเจียน ชีพจรเต้นแรง ผิวหนังร้อนแดง โดยระยะนี้จะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าระยะอื่นๆ อาจประมาณ 2 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น จากนั้นก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 
  • ระยะที่3 ระยะเหงื่อออก อุณหภูมิในร่างกายจะลดลงอย่างรวดเร็ว มีเหงื่อออกทั่วร่างกาย โดยอาจใช้เวลาร่วมชั่วโมง แล้วไข้ก็จะลดลงเรื่อยๆ 

การปฏิบัติตัวเมื่อป่วย หรือต้องดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก  

  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะเชื้อมาลาเรียมีโอกาสสูงที่จะดื้อยา 
  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการขาดน้ำ 
  • พยายามอย่าให้ถูกยุงกัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคมาลาเรีย 

การป้องกันการติดเชื้อ

  • หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่มียุงชุกชุม เช่น ป่าทึบ หรือแหล่งที่มีการระบาดของโรคมาลาเรีย 
  • หากมีความจำเป็นต้องเดินทาง พยายามใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิด ไม่ใส่เสื้อผ้าสีเข้ม ทายาหรือสเปรย์ไล่ยุง และถ้าต้องค้างแรมก็นอนกางมุ้ง หรือมีมุ้งลวดกันยุง และอาจติดการบูรไล่ยุงไว้ในบริเวณที่พัก

การมีภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้ขณะมีไข้ หรือหลังจากไข้ลดลงแล้ว โดยผู้ป่วยโรคมาลาเรียที่มีภาวะแทรกซ้อน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการชัก อัมพฤกษ์ อัมพาต และพิการทางสมองหรือร่างกาย และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด ดังนั้นต้องพยายามอย่าให้ยุงกัด หรือหากมีอาการไข้สูง หนาวสั่น หลังจากเดินทางไปยังสถานที่สุ่มเสี่ยง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

3.ไข้สมองอักเสบ / ไข้สมองอักเสบ เจ อี 

เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Japannese encephalitis virus (JEV) ซึ่งพบผู้ป่วยโรคนี้รายแรกในประเทศญี่ปุ่น จึงเป้นที่มาของชื่อไวรัส โดยโรคนี้มียุงเป็นพาหะนําโรคคือ ยุงรำคาญ เป็นยุงตัวเล็กสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม เป็นยุงกลางคืน มักจะพบได้มากทางภาคเหนือ แหล่งน้ำขังทั้งน้ำใสและน้ำสกปรก หรือที่มีการทำการเกษตร และปศุสัตว์ โดยยุงรำคาญไปกัดหมูที่เป็นโรค และมาแพร่เชื้อต่อให้กับคนและสัตว์อื่นๆ ผู้ติดเชื้อไข้สมองอักเสบมีทุกช่วงอายุ แต่จะพบได้มากในวัยเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 14 ปี และเด็กเล็กก่อนวัยเรียน เมื่อติดเชื้อไข้สมองอักเสบนี้ มีโอกาสที่สมองพิการหรือเสียชีวิตได้สูงถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว 

อาการของโรคไข้สมองอักเสบ : เชื้อไข้สมองอักเสบจะทำการฟักตัวประมาณ 5-10 วัน หลังจากที่ถูกยุงรำคาญกัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่ก็มีบ้างขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกัน โดยจะมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนมีไข้สูง ซึ่งจะมีอาการเหล่านี้ประมาณ 2-7 วัน หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาท เช่น เซื่องซืม ต้นคอแข็ง เพ้อ ชัก หมดสติ และอาจอัมพาต ในระยะนี้จะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ด้วย หลังจากนั้นไข้จะลดลง และอาการทางระบบประสาทจะดีขึ้น แต่อาจมีผู้ป่วยบางราย มีภาวะแทรกซ้อนหลงเหลืออยู่ ไม่ได้หายเป็นปกติ 100% เช่น สมองบางส่วนถูกทำลาย มักจะมีอาการชักกำเริบบ่อยๆ พิการ หรือร่างกายใช้งานได้ไม่ปกติ  ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีไขัสูงร่วมกับทางระบบประสาท ต้นคอแข็ง เพ้อ หรือชัก ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที 

การป้องกันการติดเชื้อ 

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัด ใช้สเปรย์ไล่ยุง ทายากันยุง นอนกางมุ้ง 
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ทำลายลูกน้ำยุงรอบๆบริเวณบ้าน และบริเวณรอบๆที่มีปศุสัตว์ รวมไปการฉีดวัคซีนให้สุกรและสัตว์ในฟาร์ม 
  • รับวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ โดยเฉพาะเด็กๆที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีครึ่งขึ้นไป และรับวัคซีนให้ครบตามสาธารณสุขกำหนด 

จะเห็นได้ว่ายุงตัวเล็กๆ แต่ความอันตรายที่ติดมากับเจ้าสัตว์ตัวเล็กๆนี้ มันมากเกินตัวกว่าหลายเท่า จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นทางที่ดีคือต้องระวังและหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนยุงกัด หรือถ้าเกิดรู้สึกไม่สบายและมีอาการที่เข้าข่ายของโรคเหล่านี้ ให้รีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อรักษาได้ทันและป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด 

 

แรงบันดาลใจของคนคิดบวกมาจากอะไรและมีอะไรบ้างนะ บทความนี้เราจะมาชวนคุณสำรวจตัวเอง ว่าเป็นฝั่ง positive person หรือ negative person กันน๊าา และมาดูถึงข้อดีในการสร้างแรงบันดาลใจ ด้วยการเป็นคนคิดบวก (Positive thinking) กันเถอะ

 

Positive thinking คือ กระบวนการทางความคิดของบุคคล ซึ่งเป็นไปในแนวคิดเชิงบวก มองสิ่งต่างๆอย่างเข้าใจ และยอมรับความเป็นจริงได้ ทั้งในด้านลบและด้านบวก โดยการทำความเข้าใจ

สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นคนมีพลังบวกหรือเป็น Positive person ดูได้จากสิ่งที่พวกเขาทำกันดังนี้

  • Problem 

“ปัญหา”สำหรับคน positive คือบทเรียนที่มีค่า ก่อให้เกิดการเรียนรู้ เปรียบเสมือนเป็นบททดสอบที่ทำให้เราได้ฝึกวิธีการเผชิญปัญหา และการแก้ไข เมื่อผ่านพ้นปัญหาไปได้ บทเรียนเหล่านี้จะเป็นแนวทางสำหรับไว้ใช้ หรือนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาอื่นๆต่อไป ยิ่งถ้าเป็นปัญหาที่คล้ายกันหรือรูปแบบเดิม จะยิ่งทำให้เรารู้และมีวิธีการรับมือกับปัญหาได้อย่างรวดเร็ว พูดกันง่ายๆก็คือ เป็นการลับสมองและฝึกฝีมือ ยิ่งเจอปัญหาหรืออุปสรรคเท่าไร เมื่อผ่านพ้นไปได้ จะยิ่งเติบโตและมีความคิดอ่านที่รอบคอบ หรือมีแนวคิดที่ฉับไว และมีมุมมองอย่างผู้ใหญ่ที่รู้ทันเกมส์ หรือต่อให้เป็นปัญหาใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยเจอในชีวิต และยากกว่าเดิมหลายเท่า แต่คนคิดบวกจะไม่ให้ปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นมาเป็นกำแพงกั้นจนเหมือนชีวิตจบสิ้นทุกอย่าง แต่เลือกที่จะหาทางแก้ไข ด้วยการหาที่ปรึกษาหรือหลักในการสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง จนกว่าจะหาทางก้าวข้ามผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้ในที่สุด 

  • Move on

จากข้อแรก เมื่อมีปัญหาหรืออุปสรรค positive person จะไม่ยอมเสียเวลาโทษตัวเองหรือคนใกล้ตัว และไม่ปล่อยให้อุปสรรคมาฉุดหรือเหนี่ยวรั้งตัวเองจมอยู่กับที่ และคิดแต่ในแง่ร้าย และวนเวียนอยู่แต่ในหลุมดำของปัญหาเหล่านั้น แต่คนมีพลังบวกจะคิดในแง่บวก สำหรับการมองหาหนทางแก้ไข และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว

  • Change 

คนคิดบวกจะเชื่อว่าชีวิตคนเราจะไม่มีวันหยุดนิ่งอยู่กับที่หรือสิ่งเดิมๆได้ตลอด ไม่มีอะไรที่แน่นอน หรือภาษาธรรมเรียกว่า ไม่มีสิ่งใดจีรัง เมื่อเกิดขึ้นได้ ก็เปลี่ยนแปลงได้ ทุกข์จากปัญหาเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีทางแก้ปัญหาเพื่อการดับทุกข์นั้นได้ หรือการที่เราไม่รู้ ก็ศึกษาและเรียนรู้ได้ และแม้แต่การที่เรามองแง่ลบ เป็นคนคิดลบ (nagative person) แล้วอยากคิดบวก ก็สามารถเปลี่ยนได้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นอีกสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนพลังบวก 

  • Decide 

กล้าที่จะตัดสินใจ แม้จะยังไม่รู้ผลลัพธ์ เพราะเชื่อในส่วนดีที่จะเกิดขึ้นเสมอ เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ย่อมมีทั้งดีและไม่ดี จึงเป็นธรรมดาที่ชีวิตจะต้องได้เจอทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ทำให้กล้าตัดสินใจและมีมุมมองในแง่บวกเป็นบรรทัดฐาน

  • Be Kind

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด positive person เลือกที่จะ “ใจดี” กับทุกคน แม้ว่าคนนั้นจะไม่ได้ร้องขอก็ตาม เพราะพวกเขามีความเมตตาและพลังบวกเป็นพื้นฐานแห่งชีวิต หรือบางคนอาจจะเข้าข่ายในลักษณะของ “อยากได้สิ่งใด ก็ต้องให้สิ่งนั้นก่อน”

  • Be happy 

คนคิดบวกจะรู้ว่าสิ่งใดที่ควบคุมได้หรือไม่ได้ และเลือกที่จะอยู่อย่างมีความสุขโดยไม่ยึดติดความทุกข์ หาแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และรู้วิธีสร้างแรงบันดาลใจในชีวิตให้มีความสุขอย่างชาญฉลาด

  • Congratulations 

แม้จะไม่ใช่ความสำเร็จของตนเอง แต่คนคิดบวกก็พร้อมที่จะ “ยินดี” ให้กับคนรอบข้างที่ได้รับสิ่งดีๆเสมอ ถึงคนนั้นจะไม่ใช่ญาติมิตรก็ตาม เพราะพวกเขามักมีความคิดเหมือนกันที่ว่า สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเกิดขึ้นกับใคร ก็ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสมอ 

ความเป็น Positive Thinking ในบุคคล 

  • มุมมองและแนวคิดบวก
  • มีความทุกข์น้อยลง 
  • มีความสุขมากขึ้น 
  • มีกำลังใจเสมอ สามารถสร้างได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอกำลังใจจากใคร
  • มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต 
  • มีข้อคิดบวกที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้กับผู้อื่นได้
  • สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้ด้วยตนเอง
  • เป็นบุคคลมีคุณภาพอย่างแท้จริง 

 

หากต้องการเปลี่ยนตัวเอง อยากเป็นคนคิดบวก เพราะความคิดบวกจะทำให้เราฝ่าฟันและผ่านอุปสรรคไปได้ อีกทั้งยังมีแรงดึงดูดให้สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตได้อย่างไม่คาดคิด เรียกได้ว่าคิดบวกพลิกชีวิตสู่ความสำเร็จ ถ้าอย่างนั้นมาฝึกมองโลกในแง่ดีด้วยการปฏิบัติตามดังข้อต่อไปนี้กันเถอะ…

  วิธีคิดบวกมองโลกในแง่ดี

  • หาแรงบันดาลใจหรือต้นแบบ ที่เราเรียกันว่า“ไอดอล”เพื่อดูเป็นแบบอย่าง เรียนรู้ถึงแนวความคิดและการกระทำ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตของตนเองให้มากที่สุด หรืออาจเดินตามรอยต้นแบบที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นคนคิดบวก

 

  • ฝึกเป็นคนคิดบวกบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเคยชิน จนกลายเป็นนิสัยในที่สุด และเมื่อเจอสถานการณ์จริง จะสามารถมีชีวิตคิดบวกยิ้มได้ทุกวัน โดยไม่ต้องพยายาม 

 

  • มองหาข้อดีของคนอื่นและข้อเสียของตนเอง เราจะไม่สามารถมีความคิดเชิงบวกได้ หากยังคงมองหาแต่ข้อเสียของคนอื่นอยู่เสมอ เพราะไม่มีใครเก่งกว่าใครในทุกด้าน ซึ่งแต่ละคนจะมีข้อดีและความเก่งแตกต่างกันไป อย่ามัวแต่จับผิดข้อด้อยของผู้อื่น แต่ให้มองหาข้อเสียของตนเองและปรับปรุงแก้ไขจะดีกว่า 

 

  • รู้จักให้อภัยตนเองและผู้อื่น เพราะในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด เพียงแต่จะต้องจำเป็นบทเรียน คอยเตือนตนเองว่าอย่าได้ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก และต้องรู้จักที่จะให้อภัยตนเอง รวมไปถึงการให้อภัยผู้อื่น อย่าจมอยู่แต่ในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และเอาแต่โทษซ้ำๆ เพราะ “No one perfect” ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือแม้แต่ตัวเราเอง 

 

  • ต้องการเป็นคนคิดบวก ก็ต้องพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับคนคิดในแง่บวก หรือสังคมที่มองโลกในแง่บวกเสมอๆ และพยายามอยู่ให้ห่างไกลเพื่อนหรือคนที่มีความคิดลบ เพราะการคบคนเช่นไร ก็จะเป็นเช่นนั้น ดังสุภาษิตทางธรรมที่ว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” (เป็นข้อธรรมมงคลชีวิตข้อที่ 1 และข้อที่ 2) เมื่อไรที่เราอยู่ใกล้คนคิดลบ ก็จะรับรู้แต่ความเป็น nagative thinking ลองสังเกตคนสนิทที่เราคบด้วยมักจะมีลักษณะนิสัยหรือความชอบที่คล้ายกัน แต่ถ้าบุคคลที่มักจะมีความคิดเชิงลบนั้นเป็นญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน หรืออาจหลีกเลี่ยงได้ยาก ก็ยิ่งต้องพยายามใกล้ชิดกับคนที่มองบวกคิดบวกให้มากยิ่งขึ้น จะได้ซึมซับนิสัยคิดบวกให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นเกราะป้องกันตนเอง เมื่อต้องอยู่ท่ามกลาง nagative person 

 

  • ใช้กฏแรงดึงดูด ด้วยการจินตนาการว่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น เพราะเมื่อเรานึกคิดแต่สิ่งดีๆ การกระทำของคนเรามักจะเป็นไปตามความคิด เมื่อคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ ก็จะได้สิ่งดีๆเข้ามา เรียกว่าเป็นกฏแห่งการดึงดูด ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางไสยศาสตร์เลย

 

  • รับแต่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นบวก หรือสาระความรู้ที่มีประโยชน์ และช่วยเสริมปัญญา เพราะข้อมูลและข่าวสารส่วนใหญ่ จะค่อนข้างเป็นข่าวเชิงลบเสียมากกว่า ยิ่งข่าวที่เป็นกระแสหรือถูกพูดถึงกันมาก ยิ่งมักจะเป็นข้อมูลลบๆ หากติดตามหรือเสพมากเกินไป อาจทำให้เกิดความวิตกจริต เครียด และอาจเป็นโรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นควรเลือกที่จะติดตามข้อมูลข่าวสาร ที่ผลักดันในการสร้างแรงบันดาลใจ หรือฟังธรรมะ ก่อให้เกิดปัญญา กระตุ้นให้พัฒนาตัวเอง หรืออ่านบทความดีๆ ช่วยให้เพลิดเพลิน ผ่อนคลาย และได้ความรู้เพิ่มขึ้น ย่อมจะมีความสุขในชีวิตที่คิดบวกมากกว่าแน่นอน

 

ทีนี้เรามาดูกันถึงประโยชน์ของการฝึกเป็นคนคิดบวกและการมองโลกในแง่ดี ว่ามีอะไรบ้าง จะได้มีแรงจูงใจในการอยากเป็นคนคิดบวกกันค่ะ

ประโยชน์ต่อสุขภาพจากการฝึกตัวเองให้คิดบวก

  • คิดบวกช่วยให้รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น คอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด ซึ่งถูกสร้างจากต่อมหมวกไต จะถูกหลั่งมากขึ้นเมื่อเกิดสภาวะความเครียด วิตกกังวล หรือเมื่อมีความเจ็บป่วยในร่างกาย จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่คิดบวกจะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลค่อนข้างเสถียร รับมือและตอบสนองกับความเครียด หรือเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดได้ดีกว่าคนคิดลบ เนื่องจากคนที่คิดในแง่ลบหรือมักจะมองโลกแง่ร้าย จะควบคุมระบบประสาทของตนเองได้ยาก เนื่องจากฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มสูงชึ้น ทำให้รับมือและจัดการกับสภาวะเครียดไม่ได้ หรือได้ไม่ดีเท่ากับผู้ที่เป็น positive person 

 

  • คิดบวกช่วยต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาและทดสอบกลุ่มคนวัยกลางคน พบว่าคนที่มองโลกในแง่ดี หรือมักจะคิดบวกกับชีวิต มีแนวโน้มว่าจะมีสารแคโรทีนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านทานอนุมูลอิสระในร่างกายเข้มข้นสูงกว่าคนที่คิดลบประมาณ 3-13% 

 

  • คิดบวกช่วยต้านความเศร้า ในประเทศออสเตรเลียได้มีการศึกษาและประเมินการคิดบวกกับนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 12-14 ปี ด้วยคำถามที่เกี่ยวกับปัญหาทางอารมณ์ การใช้สารเสพติด และพฤติกรรมต่อต้านการเข้าสังคม โดยใช้เวลาในการทำการศึกษาเรื่องนี้กว่า 3 ปี พบว่าเด็กที่คิดบวก หรือเด็กที่มีความเป็น positive thinking จะมีทักษะในการแก้ปัญหาได้ดีกว่า อีกทั้งยังมีสุขภาพจิต และพฤติกรรมที่สามารถช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าได้มากกว่ากลุ่มเด็ก nagative thinking 

 

  • การเป็นคนคิดบวกช่วยให้อายุยืนยาว เมื่อมีการทำแบบสอบถามกับกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอนาคต พบว่าผู้ป่วยที่คิดบวกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น และยังมีอายุยืนได้มากกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่ผู้ป่วยที่เป็นคนคิดลบ มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงขึ้น เมื่อเทียบกับอายุขัยที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งนักวิจัยก็ยังไม่สามารถสรุปและระบุความเชื่อมโยงระหว่างการคิดลบคิดบวกกับอัตราการเสียชีวิตได้แน่ชัด แต่อาจเป็นไปได้จากระบบภายในร่างกายที่สัมพันธ์กับอารมณ์ และการเปิดใจยอมรับในการรักษาพยาบาลได้มากกว่า 

นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด การดูแลสุขภาพตามแนวคิดการแพทย์ทั่วไป ยังได้ระบุว่าที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่เข้าใจมาตลอดว่า การออกกำลังกายเป็นหัวใจหลักแรกๆ ที่จะช่วยให้มีอายุยืนยาว แต่ที่จริงแล้ว “การออกกำลังกาย” ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่แปดต่างหาก แต่สิ่งที่จะช่วยส่งผลให้มีอายุยืนได้อันดับแรกเลยคือ การมีอารมณ์ดี การคิดในแง่บวก หรือ “เป็นคนคิดบวก”นั่นเอง

 

ดังนั้นหากรู้ตัวว่าเป็นคนคิดลบหรือมักคิดในแง่ร้ายบ่อยๆ ลองปรับเปลี่ยนและฝึกเป็นคนคิดบวก เพื่อสุขภาพทางจิตที่ดีขึ้นและสุขภาพร่างกายที่ยืนยาว 

 

Introvert  Extrovert  Ambivert คือ ทฤษฎีจิตวิทยาแบบวิเคราะห์ ที่ คาร์ลจุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิส ได้ศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านจิตวิทยา และได้มีการแบ่งประเภทของคนตามบุคลิกภาพและพฤติกรรม ซึ่งได้สรุปไว้ว่าคนมี 3 ประเภทด้วยกัน แล้วอยากรู้ไหมว่าคุณจัดเข้าประเภทมนุษย์แบบใด ลองค้นหาตัวตนดูกันสักหน่อย จะได้รู้ข้อดีข้อเสีย และลองสังเกตว่าคนรอบข้างคุณเป็นแบบเดียวกับคุณหรือเปล่าน๊าา 

1.Extrovert : คนเปิดเผย talkative รักการเข้าสังคมและปาร์ตี้ 

คนประเภท Extrovert เป็นสายปาร์ตี้ตัวจริง ชอบเข้าสังคม มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ปรับตัวเก่ง ด้วยเป็นคนที่เปิดเผย ชอบสร้างปฏิสัมพันธ์ ชอบพูดมากกว่าเขียน เลือกที่จะออกไปพบปะผู้คน หรือสังสรรเฮฮามากกว่าจะอ่านหนังสือ หรืออยู่กับตัวเองที่บ้านเงียบๆ คน Extrovert นิสัยจะตรงกันข้ามกับ Introvert อย่างชัดเจน 

 

คน Extrovert ชื่นชอบที่จะเป็นจุดสนใจ เป็นจุดเด่น ต้องการถูกยอมรับจากผู้คน จึงมักจะพรีเซนต์ตัวเองอยู่เสมอ ให้ตัวเองมีผลงาน แต่ก็ชอบที่จะชื่นชมคนอื่นเช่นกัน ด้วยความที่ค่อนข้างจะแคร์ชื่อเสียง สถานะทางสังคม ความมั่งมี และการได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป พวกเขาสามารถพูดคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างไม่ติดขัด ช่างพูดช่างจา ต่อรองเก่ง มีความกระตือรือร้น ชอบรู้จักคนแปลกใหม่ ทำให้รู้จักคนเยอะ และคุณจะไม่แปลกใจเลยหากเจอใครที่สามารถเม้ามอยกับใครก็ได้ คุณเจอ Extrovert แล้วล่ะ

 

มีความมั่นใจสูง กล้าที่จะพูดในสิ่งที่คิดและต้องการ แม้จะไม่ได้ไตร่ตรองก่อนพูดแบบคน Introvert แต่ก็สามารถพูดให้กำลังใจและพูดชื่นชมคนอื่นได้ดีเช่นกัน ทำให้ทำงานเป็นกลุ่มได้ดี ชอบที่จะเป็นผู้นำ ได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เอาใจเจ้านายได้ดี และมีแนวโน้มว่า คนแบบ Extrovert สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้มากกว่า ชาว Introvert

 

แต่ข้อเสียของ Extrovert ที่เป็นคนพูดไม่คิด ทำให้ดูเป็นคนไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น และความมั่นใจสูง ทำให้ไม่ค่อยชอบรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น คิดว่าความคิดตนถูก  และสำคัญตนผิด คิดว่าตนเป็นศูนย์กลางจักรวาล และการมีเพื่อนเยอะของคน Extrovert ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเพื่อนดีทุกคน เพราะการรู้จักคนมากก็ไม่ได้มีเวลาสัมผัสทุกคนได้อย่างลึกซึ้ง จึงอาจทำให้มีเพื่อนที่ไม่จริงใจมากนัก  

 

ชาว Extrovert ทำงานคล่องแคล่ว จบงานที่จบง่ายและเร็ว จึงมักจ้ำจี้จำไชคนอื่น เพื่อให้งานเดินตามที่ตนต้องการ ถนัดในงานที่ต้องติดต่อสื่อสาร ยิ่งคนที่พูดเก่งๆ ก็จะรู้จักโยงให้คนอื่นตามความคิดของตน งานที่เหมะสมกับคน Extrovert และพวกเขาสามารถทำได้ดี จึงต้องเกี่ยวกับการสื่อสาร การพบปะผู้คน เช่น การตลาด ,Sale , PR , แอร์โฮสเตส , นักแสดง ดารา ฯลฯ 

 

อย่าตกใจหรือรู้สึกแย่เมื่อเห็นข้อเสียของ Extrovert เพราะมีผลสำรวจจาก Introvert Extrovert Ambivert ทดสอบแล้วว่าในโลกนี้ ส่วนใหญ่คือ Extrovert ซึ่งมีประมาณ 70% ส่วนอีก 25% เป็น Introvert และ Ambivert ตามลำดับ ดังนั้นการอยู่ร่วมกัน จะต้องอาศัยความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ จึงจะทำให้ชาว Introvert คบกับ Extrovert ได้อย่างราบรื่น 

2.Ambivert : นักปรับตัว คน 2 บุคลิก

Ambivert คือ ส่วนผสมความสมดุลระหว่าง Introvert และ Extrovert ที่ต่างกันมากๆ ทำให้คนประเภท Ambivert เป็นบุคคลแบบกลางๆ หรือคน 2 บุคลิกก็ได้ อยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ แต่ก็รักที่จะสังสรรกับผู้คนบางเวลา มีชีวิตเรียบง่าย แต่ก็ยังรักการพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ Ambivert นิสัยบางครั้งก็จะมีลักษณะไปทาง Introvert แต่บางครั้งก็จะลักษณะของ Extrovert ซึ่งความมากน้อยก็จะขึ้นอยู่แต่ละสถานการณ์ 

 

คน Ambivert มีทักษะด้านการปรับตัว คบหากับคนทั่วไปหมายถึงหลากหลายประเภท เนื่องจากสามารถเข้าใจคนอื่นได้ง่ายดาย เพราะตัวเขาเองก็สลับระหว่างสองขั้ว ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับประเภทของพฤติกรรมมนุษย์ได้ค่อนข้างมากกว่าคน Introvert และ Extrovert จึงมักประสบความสำเร็จในด้านการใช้ชีวิต รวมไปถึงการใช้ชีวิตคู่ แต่จะมีข้อเสียคือ มักจะเกิดความสับสนในตัวเองได้ง่าย ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นคนรักสันโดษหรือชอบเข้าสังคมกันแน่ แต่สำหรับ Ambivert บางคนใช้เวลาจัดการกับความสับสนไม่นาน จึงสามารถปล่อยวางได้เร็ว 

ชาว Ambivert จะเป็นเพื่อนที่ดีเมื่อคุณต้องการใครสักคน เพราะเขาจะคอยอยู่ข้างๆ หรือคอยรับฟังเมื่อคุณมีปัญหา โดยจะไม่ทิ้งคุณไปเสียดื้อๆ หากไม่มีธุระด่วนหรือจำเป็นจริงๆ และด้วยที่ Ambivert มีส่วนผสมของ Introvert และ Extrovert ทำให้สามารถนั่งฟังเงียบๆได้ และพูดให้กำลังใจจนคุณรู้สึกดีได้ จึงนับว่าเป็นข้อดีถ้าคุณจะมี Ambivert เป็นเพื่อนสักคน แต่ข้อเสียของคนชนิดนี้คือ หากรู้สึกว่าถูกหลอกใช้ หรือถูกเมินบ่อยๆ เขาก็พร้อมจะไปจากคุณเช่นกัน 

3.Introvert  : คนชอบเก็บตัว นิ่งลึก โลกส่วนตัวสูง

คน Introvert จะมีพื้นที่ส่วนตัว (Private Zone) สูงกว่าคนประเภท Extrovert และ ambivert จะรู้สึกสบายใจและปลอดภัยเมื่ออยู่เซฟโซนของตัวเอง และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ อย่างเช่น การอ่านหนังสือเล่มโปรด การเขียน ปลูกผัก เดินป่า หรือดูซีรี่ย์อยู่ที่บ้าน มากกว่าการออกไปสังสรรค์พบปะผู้คนแปลกหน้า 

 

แม้ว่าคนประเภท Introvert จะมีโลกส่วนตัวสูง ชอบการเขียนการพิมพ์ แต่ถ้าได้เจอหน้าก็ชอบที่จะพูดคุยกันแบบยาวๆลึกๆ มากกว่าที่จะคุยเล่นกันตลอดเวลา เพราะ Introvert จะเป็นคนที่นิ่งลึก (Reflective) และค่อนข้างระวังคำพูดคำจา (Reserved) ต่างจากคน Extrovert ที่เป็น Talkative ชอบพูดชอบคุยได้ตลอดเวลา 

ความซับซ้อนอีกเลเวลของคนประเภทนี้คือคน introvert extrovert ซึ่งเป็นคน Introvert ที่สามารถเปิดโหมด Extrovert ไปพบปะสังสรรค์ มีปาร์ตี้กับคนอื่นๆได้ แต่จะใช้จำกัด เมื่อพอใจระดับหนึ่งหรือหมดพลังงานเมื่อไร ก็พร้อมจะแยกตัวหรือหนีกลับทันที แต่ introvert extrovert ต่างจากพวก Extrovert ที่จะรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเมื่อต้องอยู่ในคนหมู่มาก แต่ก็สามารถชาร์จพลังงานด้วยตัวเองเงียบๆได้ 

 

ชาว Introvert สามารถชาร์จพลังงานได้จากการอยู่คนเดียว ต่างจากคน Extrovert ที่จะชาร์จพลังงานด้วยการพบปะพูดคุย หรือการออกไปปาร์ตี้ ถือว่าเป็นความแตกต่างในระดับสมองเลยทีเดียว ด้วย Introvert ชอบ Acetylcholine ที่ทำให้รู้สึกดีเมื่อค้นหาความสุขจากภายใน (เช่น ความสงบจากทำสมาธิ , การอ่านหนังสือ ,การอยู่นิ่งๆ)มากกว่า Dopamine ที่จะมีความสุขจากภายนอก (เช่น ความรัก , ความสำเร็จในการงาน , ฐานะทางการเงิน ฯลฯ) 

 

*(Acetylcholine และ Dopamine เกี่ยวข้องกับสารแห่งความสุข)* 

หากคุณต้องการเข้าถึงคน Introvert ต้องรู้ว่าเขาชอบอะไรเป็นพิเศษ เช่น หากรู้ว่าเขาชอบแมว หรือเห็นเขาเล่นอยู่กับแมว ก็ลองพูดคุยกับเขาด้วยเรื่องของแมว หากเขาเป็นทาสแมวตัวจริง รับรองว่า คุณจะแปลกใจที่เขาสามารถคุยกับคุณได้มากกว่าปกติ หากเป็นขาว Introvert ที่มีกิจกรรมหรืองานอดิเรกอื่นๆก็เช่นกัน เพียงแค่คุณต้องรู้หรือสังเกต แล้วชวนเขาคุย หรืออาจเริ่มจากการถามในเรื่องนั้นๆ เพื่อเป็นการเริ่มต้นในการเปิดใจ และนั่นอาจจะทำให้คุณมี Introvert เป็นเพื่อนที่ดีอีกคนในที่สุด

 

แล้วคุณล่ะเป็นคนประเภทไหนกันนะ แต่ไม่ว่าจะเป็น Introvert , Extrovert หรือ Ambivert แต่โลกปัจจุบันนี้ เป็นโลกแห่งยุคดิจิตอล ที่ทุกคนจะต้องมีการปรับตัว และอาจส่งผลต่อพฤติกรรมพื้นฐานไปบ้าง แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทไหน และสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด “การเป็นคนดี” ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ปัจจุบันเริ่มนิยมปลูก“ต้นไม้” ไว้ในบ้านกันเพิ่มขึ้น เพื่อความสวยงาม และเสริมมงคล ซึ่งส่วนใหญ่ไม้มงคลที่ได้รับความนิยม จะเป็นหมวดหมู่ไม้ที่เชื่อว่าเสริมทางโชคลาภ เพิ่มทรัพย์ เรียกเงินทองเข้าบ้าน หรือปลูกแล้วจะร่ำรวย แต่เคยสงสัยไหมว่า ต้นไม้ที่เขาว่าเลี้ยงง่าย แต่ทำไมเราปลูกแล้วกลับเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด 

 

นั่นอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อม หรือการดูแลบำรุงของเราเอง เพราะต้นไม้แต่ละชนิดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ความต้องการต่างกัน วิธีดูแลจึงย่อมต่างกัน ดังนั้นการที่จะปลูกต้นไม้อะไร นอกจากความชอบและความสวยงามแล้ว จะต้องทำการศึกษาข้อมูลของต้นไม้นั้นก่อน ว่าต้องการแดดและน้ำอย่างไร เติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมแบบไหน ฯลฯ เราได้นำรายชื่อไม้มงคล 9 ชนิด ที่สามารถปลูกในบ้านได้ และการดูแลรักษา เพื่อให้พวกเขาได้อยู่กับเราไปนานๆ มาฝากในบทความนี้แล้ว 

 

ต้นไม้มงคลที่ปลูกในบ้านได้ 

1.ต้นไพเลีย 

มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pilea peperomioides บ้างก็เรียกว่า ต้นแพนเค้ก (Pancake Plant) หรือรู้จักในนามของต้น Chinese Money Plant ด้วยมีต้นกำเนิดมาจากมณฑลยูนนานในประเทศจีน เป็นต้นไม้มงคลเรื่องโชคลาภ เรียกเงินเรียกทอง นำพลังงานด้านบวกเข้าบ้าน 

 

ลักษณะลำต้นตรง อวบน้ำ ใบอ้วนกลม มันวาว คล้ายกับใบบัวบก แต่มีความหนาและใหญ่กว่าเล็กน้อย ก้านใบยาว ส่วนใหญ่จะสีเขียวเข้มสวย สามารถโตได้ประมาณ 30 เซนติเมตร การดูแลไม่ยาก โดยวางไว้ใกล้หน้าต่าง เพื่อให้โดนแดดได้เต็มที่ แต่ต้องไม่เป็นแสงแดดจัดเกินไป รดน้ำวันละครั้ง หรือหมั่นรดน้ำเมื่อดินแห้ง 

2.ต้นสสวีดิช ไอวี่ (Swedish Ivy) 

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Plectranthus verticillatus มีต้นกำเนิดแถบแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ นิยมปลูกเป็นต้นไม้มงคล ช่วยเรื่องโชคลาภ เพิ่มทรัพย์ เรียกเงินเรียกทองเข้าบ้าน 

 

ไม้ยืนต้นหรือไม้คลุมดินขนาดเล็ก ใบจะมีลักษณะทรงกลม อวบน้ำ มันวาว สีเขียวตัดด้วยสีขาวตรงขอบใบ หรืออาจมีม่วงเข้มด้านล่าง ออกดอกตลอดปี โดยดอกจะมีสีขาว สีม่วงอ่อน และสีชมพูอ่อน เจริญเติบโตได้ดีในดินที่สมบูรณ์ ชอบแดดรำไร อย่าวางให้โดนโดยตรงหรือแดดจัดๆ เพราะใบจะไหม้ ต้องการน้ำปานกลาง หรือรดน้ำวันละครั้ง สามารถปลูกไว้คลุมดิน ปลูกเป็นไม้แขวน หรือปลูกในกระถางได้ แต่การปลูกในกระถาง ควรไว้ที่สูงหรือบริเวณโล่งสักหน่อย เพื่อให้กิ่งก้านขยายได้สะดวก 

3.ต้นยางอินเดีย (Rubber Plant / India Rubber Fig)

มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Ficus elastica ต้นไม้มงคลที่นิยมปลูกเสริมโชคลาภ เรียกเงินเรียกทอง เสริมความโชคดี และความสำเร็จ ด้วยลักษณะใบกลมมน ที่สื่อถึงความมั่งคั่ง ร่ำรวย นั่นเอง นอกจากนี้ ต้นยางอินเดียยังเป็นไม้ฟอกอากาศ ช่วยขจัดมลพิษ และลดความตึงเครียดของคนในบ้านได้อีกด้วย ซึ่งตำแหน่งที่เหมาะสมในการวางต้นยางอินเดียคือบริเวณทางเข้า หรือที่มุมมั่งคั่งของบ้าน 

 

ต้นยางอินเดียเป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ ใบทรงไข่ ขนาดใหญ่ ปลายเรียว หนาและแข็ง มีน้ำยางสีขาว มีหลายสายพันธุ์หลายสี ทั้งสีเขียวเข้ม สีแดง สีเหลือง มีดอกเป็นช่อขนาดเล็กๆ ผลกลมรี ขยายพันธ์ุด้วยการปักชำและตอนกิ่ง ปลูกและดูแลง่าย เติบโตได้กับดินทุกประเภท แต่จะชอบเป็นพิเศษคือดินที่ระบายน้ำได้ดี ทนแล้ง ทนแดดจัด แต่วางไว้ที่ไม่โดนแดดจัดจะดีที่สุด

4.ต้นหมากผู้หมากเมีย (Hawaiian Ti Cordyline) 

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cordy fruticosa (L.) Goeppert ไม้มงคลที่เชื่อกันว่าหากบ้านไหนปลูกต้นหมากผู้หมากเมีย จะช่วยนำโชคลาภและเงินทอง เข้ามาให้คนในบ้านมีแต่ความรุ่งโรจน์  

 

หมากผู้หมากเมียเป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-3 เมตร มีขนาดเล็กถึงกลาง โดยมีลำต้นกลม ยืนต้นตรง มีข้อถี่ ใบทรงหอก ปลายแหลม ขอบเรียบ ผิวเป็นคลื่นเล็กน้อย เรียงสลับ มีหลายสี ทั้งสีเขียวชมพู ม่วงอมแดง เขียวปนแดง ขาวสลับเหลือง ออกดอกเป็นช่อ ผลกลม มีเมล็ดในผลเยอะ ชอบดินที่ระบายน้ำดี ชอบอากาศชื้นและน้ำปานกลาง แต่ไม่ชอบอากาศหนาว 

A “Money Tree” plant (Pachira Aquatica). Green pachira aquatica leaves on beige background.

 

5.ต้นศุภโชค ( Money Tree / Saba Nut ) 

มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Pachira aquatica หรือเรียกในภาษาจีนว่า “เหยาเฉียนซู่” (แปลว่าเรียกเงิน) เป็นไม้มงลที่เรียกว่าครบเครื่อง เพราะนอกจากเป็นไม้มงคลที่ตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อว่า ให้โชคลาภกับคนปลูก ช่วยเรียกเงินเรียกทอง ให้ความร่ำรวย มั่งคั่ง และโชคดี ยังเป็นไม้ประดับสร้างความสวยงามให้กับสถานที่ได้อย่างดี อีกทั้งยังสามารถนำดอกและเมล็ดมาปรุงเป็นอาหารได้อีกด้วย 

 

ต้นศุภโชคเป็นไม้ยืนต้นเขตร้อน ที่มีถิ่นกำเนิดแถบทวีปอเมริกาใต้ ต้นจะสูงประมาณ 5-6 เมตร แตกกิ่งเป็นชั้นๆ ใบทรงหอก ปลายแหลม โคนสอบ เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น ทนแล้ง ชอบแดดรำไร สามารถปลูกในกระถาง และไว้ในบ้านได้ โดยไม่ต้องโดนแดดบ่อยๆ งดการใส่ปุ๋ยในช่วงปีแรกที่ปลูก 

6.ว่านเศรษฐีเรือนใน (Spider Plant / Airplane Plant)

ว่านมงคลหลายขนาน จัดเป็นว่านเมตตามหานิยม ว่านเสริมศิริมงคล และยังเป็นว่านป้องกันภัย ซึ่งนิยมปลูกเป็นไม้มงคล และปลูกเป็นไม้ประดับในกระถาง ตั้งได้ทั้งใน-นอกอาคาร หรือปลูกลงแปลง 

 

บางประเทศจะเรียกว่านเศรษฐีเรือนในว่า Spider Plant (ต้นแมงมุม) หรือ Airplane Plant (ต้นเครื่องบิน) เนื่องจากว่านเศรษฐีเรือนในเมื่อโตเต็มที่ จะมีการออกดอกเป็นช่อยาว โดยปลายช่อจะมีต้นอ่อนเป็นกระจุก ตรงส่วนนี้เองที่ทำให้ถูกเรียกว่า Spider Plant และเมื่อลมพัด ปลายใบของต้นอ่อนจะมีการโยกไหวไปมา ทำให้ดูคล้ายเครื่องบิน จึงเป็นที่มาของ Airplane Plant

7.พลูด่าง (Devil’s ivy / Golden phothos)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Epipremnum aureum ไม้เลื้อยที่เราอาจเห็นกันจนชินตา แต่ยังมีคนที่อาจไม่รู้ว่า พลูด่างไม่ได้เป็นเพียงแค่ไม้ประดับ หรือแค่ไม้ฟอกอากาศเท่านั้น แต่พลูด่างก็เป็นไม้มงคล เรื่องโชคลาภและเงินทอง 

 

เป็นไม้เลื้อยอาศัย เลื้อยตามไม้อื่น เสา หรือเลื้อยไปตามพื้น มีก้านสีเขียว และใบเขียวอ่อน โดยอาจมีสีขาวเป็นแนวเส้น ใบทรงรี ปลายแหลม อวบน้ำ โคนเว้า ขอบเรียบ ขยายด้วยการปักชำ ชอบน้ำปานกลาง และแดดรำไร 

8.ต้นเงินไหลมา (Arrowhead Vine)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Syngonium Podophyllum  ไม้มงคลที่เชื่อว่า หากปลูกไว้ในบ้านจะช่วยเสริมเรื่องการเงิน เรียกให้เงินไหลมาเทมาในบ้าน และเสริมสิริมงคล สร้างเสน่ห์ใหักับผู้ปลูก 

 

ต้นเงินไหลมาเป็นไม้เลื้อยเถายาว สามารถเลื้อยได้ไกลประมาณ 3-5 เซนติเมตร ใบมี 5 แฉก ใบสีเขียวปนเหลืองเล็กน้อยกลางใบ ปลายใบแหลม มีลำต้นกลม สีเขียว ผิวเกลี้ยง รากงอกตามข้อต่างๆ จะมีดอกเมื่อแก่  นิยมปลูกในดินร่วนโดยผสมปุ๋ยคอก ขุยมะพร้าว หรือแกลบ เป็นพืชชอบแดดรำไร และต้องการน้ำมาก จึงควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ เมื่อลงกระถางควรมีไม้หลักปักไว้สำหรับให้ลำต้นเลื้อย และควรเปลี่ยนกระถางใหม่ทุกๆ 2-3 ปี 

9.ส้มจีด (Kumquat)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Citrus japonica Thunb. เพราะจัดอยู่ในตระกูลซิตรัส ต้นส้ม ต้นเลมอน และต้นมะนาวต่างๆ ฮวงจุ้ยจีนเชื่อว่า ต้นส้มจี๊ดช่วยดึงดูดเงินทอง ความรุ่งเรือง ความโชคดีเข้าบ้าน หากปลูกไว้ในบ้านควรจะมีขนาดเล็ก และนิยมตั้งไว้ในห้องครัว เป็นไม้มงคลที่ปลูกประดับได้ และผลของมันก็ยังทานได้ด้วย เป็นอีกไม้มงคลที่มากประโยชน์เลยทีเดียว 

 

ต้นส้มจี๊ดเป็นไมพุ่มขนาดกลาง พุ่มจะแตกหนาแน่น ใบทรงไข่ เรียงสลับ ปลายแหลม ขอบเรียบ ใบหนาเขียวเข้มตัดกับสีผลส้ม มีหนามบนกิ่ง ออกดอกเดี่ยวๆ สีขาว มีกลิ่นหอม ผลกลมสีเขียว และเมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีส้ม ชอบดินระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำปานกลาง แต่ชอบแสงแดดมาก สู้แสงแดดจัดได้ดี 

 

จากไม้มงคล 9 ชนิดที่ได้รู้จักกันไปแล้ว ใครที่กำลังมองหาต้นไม้มงคลเข้าบ้านหรือร้านค้า ก็ลองศึกษาวิธีการดูแลที่เหมาะกับตนเอง และความหมายที่ตรงกับความต้องการ ในการเสริมมงคลชีวิต และเพื่อต้นไม้จะได้เจริญเติบโตอย่างสวยงามไปนานๆ

 

ไปเที่ยวภูเก็ตกันเถอะ! 

 

เชื่อว่าใครหลายๆคนที่เมื่ออยากเที่ยวทะเล จะต้องนึกถึงทะเลภูเก็ตเป็นรายชื่อแรกๆ ยิ่งมีโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อเป็นการนำร่องการเปิดประเทศในการรับนักท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจส่วนภาคการท่องเที่ยว ทำให้ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลบินเข้ามายังประเทศไทย หลังจากมีการปิดประเทศอันเนื่องจากโรคระบาดโควิด-19 มานาน ที่จริงแล้วภูเก็ตที่เที่ยวมีหลายแห่ง ซึ่งไม่ได้มีดีแต่ทะเล เราได้รวบรวมสถานที่เที่ยวของภูเก็ตที่น่าสนใจไว้ในบทความนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทะเลภูเก็ต จุดชมวิว วัดในภูเก็ต หรือจะเที่ยวภูเก็ตเดือนไหนดี 

 

ที่เที่ยวภูเก็ตที่น่าสนใจ

หาดไม้ขาว 

สถานที่ถ่ายรูป unseen ยอดฮิต ด้วยหาดไม้ขาวเป็นที่เที่ยวใกล้สนามบินภูเก็ต ตั้งอยู่อำเภอถลาง  และยังเป็นแลนด์มาร์คที่จะพลาดไม่ได้กับการถ่ายรูปคู่กับเครื่องบินที่กำลังจะแลนด์ดิ้ง หรือทะยานบินขึ้นฟ้าได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้หาดไม้ขาวก็เป็นชายหาดที่ยาวที่สุดของภูเก็ต และยังเป็นแหล่งจั๊กจั่นทะเลอีกด้วย ส่วนกิจกรรมจะเป็นการนอนชิลว์ริมหาด แต่ไม่นิยมเล่นน้ำ เนื่องจากน้ำทะเลค่อนข้างลึก อาจเป็นอันตรายได้ และอีกกิจกรรมซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวหาดไม้ขาวกันมานาน คือการฝังทรายรักษาโรค ที่คนในชุมชนใช้การรักษาฟื้นฟูสภาพร่างกาย และการรอดูเต่าขึ้นมาวางไข่ เพราะจะมีเต่าทะเลหลายชนิดขึ้นมาวางไข่บนชายหาดทุกปี 

หาดป่าตองภูเก็ต 

ที่เที่ยวในภูเก็ตที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอีกแห่ง ตั้งอยู่อำเภอกระทู้ เป็นหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของภูเก็ต เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย เพราะหาดป่าตองเดินทางสะดวก มีกิจกรรมหลากหลายไว้รองรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะสายแอดเวนเจอร์ทางน้ำ นอนอาบแดดรับวิตามินดีแบบสายเฮลล์ตี้ หรือสายเสาะหาของกินอร่อย เพราะมีทั้งร้านอาหารทะเลและเครื่องดื่มให้เลือกเยอะ และร้านค้าของฝากของที่ระลึกให้ขาช้อปได้เลือกซื้อกันตาลาย และจบด้วยสถานบันเทิงให้ปาร์ตี้ยามค่ำคืน เรียกว่ามาที่เดียวได้เที่ยวภูเก็ต 1 วันครบกิจกรรมที่หาดป่าตองภูเก็ต  

หาดนุ้ยภูเก็ต

หาดนุ้ยหรือหาดยะนุ้ยภูเก็ต หาดเล็กๆที่สวยเหมือนอยู่บาหลี ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อยู่ระหว่างจุดชมวิวหาดกะรนและหาดในหาน เป็นอีกจุดที่ครบครันถ่ายรูปเช็คอิน ด้วยน้ำทะเลสีฟ้าใส หาดทรายขาวละเอียด และยังมีรังนกบาหลี ชิงช้าบาหลี ให้ได้ถ่ายรูปกันอย่างจุกๆ แถมบรรยากาศเหมือนได้เที่ยวหาดเมืองนอก เพราะส่วนใหญ่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าคนไทยนอนอาบแดดและเล่นน้ำกันอย่างสบายอารมณ์ และเนื่องจากเป็นหาดเล็กๆ ที่แยกออกไปต่างหากจนเหมือนหาดส่วนตัว ที่หลีกหนีจากโลกภายนอก มีทั้งมุมสงบและมุมร้านอาหารให้สังสรรค์ หรือจะพายเรือคายัคก็มีบริการ เหมาะอย่างยิ่งกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง 

หาดสุรินทร์ภูเก็ต

เป็นชายหาดที่ไม่ได้มีทรายละเอียดอย่างหาดอื่นๆเท่าไรนัก แต่หาดมีความสะอาด น้ำใสน่าเล่น คนไม่พลุกพล่าน ไม่วุ่นวาย ไม่มีเก้าอี้ชายหาดรกสายตา แต่จะมีผ้าปูบนหาดทรายใต้ร่มชายหาดที่กางกั้นความร้อนของแสงแดด แบบเว้นระยะห่างพอให้นอนเล่นไม่อึดอัด จะนอนอาบแดด เล่นน้ำ ก็เพลินได้ทั้งวัน แต่กิจกรรมยอดฮิตก็จะเป็นการเล่นเซิร์ฟบอร์ด เพราะมีคลื่นที่ให้นักเซิร์ฟทั้งหลายได้โต้กันอย่างเมามันส์ นอกจากนี้ยังมีอาหารและเครื่องดื่มแบบรถเข็นรถพ่วงแบบสตรีทฟู๊ดให้เลือกหลากหลายทั้งส้มตำ ไก่ย่าง อาหารทะเล ผลไม้ ในราคาไม่แพง จะพักผ่อนนอนเล่นทั้งวันได้สบาย ไม่มีเวลาจำกัดและสบายงบในกระเป๋าอีกด้วย 

 

หาดกมลาภูเก็ต

หาดทางตะวันตกของจังหวัด ถัดลงมาจากทางใต้ของหาดสุรินทร์ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจากสนามบินภูเก็ต และห่างจากป่าตองประมาณ 8 กิโลเมตร หาดกมลามีลักษณะคล้ายเวิ้งครึ่งวงกลม มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร หากมองจากที่สูงจะเห็นถึงความสวยงามของหาดกมลาได้อย่างชัดเจน น้ำใส ทรายสะอาด เงียบสงบ เป็นส่วนตัว ไม่มีถนนใหญ่เลียบชายหาด แต่จะต้องใช้เส้นทางในซอยเล็กๆที่ตัดจากถนนใหญ่เพื่อไปยังหาดกมลา โดยรอบๆจะมีที่พักภูเก็ตติดทะเลและแบบไม่ติดทะเลให้เลือกมากมาย ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีประติมากรรม “จิตจักรวาล” สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสึนามิ สะท้อนถึงภัยพิบัติคลื่นยักษ์ที่เคยเกิดขึ้นที่ชายหาดแห่งนี้ให้ได้ชมอีกด้วย

หาดกะตะภูเก็ต

หาดรูปพระจันทร์เสี้ยวที่ขึ้นชื่อความสงบร่มรื่น มีเกาะปูอยู่ด้านหน้า แบ่งเป็น 2 หาด ได้แก่ หาดกะตะน้อย และหาดกะตะใหญ่ ทั้งสองหาดล้วนมีทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า ร่มรื่นด้วยไม้สนปกคลุมแนวชายหาด กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยม นอกจากเล่นน้ำ อาบแดด ก็ยังมี กระดานโต้คลื่น พาราเซล เจ็ทสกี และรวมไปถึงการดำนำ เพราะมีแนวปะการังยาวไปตลอดจนถึงเกาะปู แม้จะเป็นหาดทรายที่ไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวครบครัน อาทิเช่น สถานที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้า บริษัทนำเที่ยว สถานบันเทิงยามค่ำคืน เรียกได้ว่ามีกิจกรรมให้ได้ทำตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำเลย

หาดกะรนภูเก็ต

กะรนภูเก็ตเป็นขายหาดที่ยาวที่สุดในจังหวัดภูเก็ต และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจังหวัด โดยมีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร สามารถเดินเล่นหรือวิ่งออกกำลังกายได้ยาวๆ ซึ่งอยู่ระหว่างหาดป่าตองและหาดกะตะ มีเม็ดทรายขาวละเอียด ตัดกับสีน้ำทะเลใส คลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นฟองขาวละมุน สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนแล้วมากมาย จนไม่อยากพลาดโอกาสที่จะมาอีกในครั้งต่อไป 

 

แต่ถึงแม้ว่าน้ำทะเลใสและสามารถลงเล่นได้ แต่บางจุดก็จะมีความลึกและอันตราย จึงต้องคอยสังเกตธงที่ปกไว้ก่อนลงเล่นน้ำ หากจุดใดที่เป็นบริเวณน้ำลึก จะมีธงสีแดงปักบอกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้รู้ และกิจกรรมส่วนใหญ่สำหรับที่หาดนี้ ก็จะเป็นการเล่นน้ำ นอนอาบแดด พาราเซล ดำน้ำตื้นและน้ำลึก นอกจากนี้ยังมีตลาดกะรนที่ตั้งในพื้นที่วัดสุวรรณคีรีเขต(วัดกะรน) ให้เดินจับจ่ายซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร และร้านค้าจำหน่ายของพื้นบ้านให้เลือกซื้อเป็นของฝากอีกมากมาย

หาดราไวย์ภูเก็ต

หากต้องการหาอาหารทะเลอร่อยๆ จะต้องแวะเวียนหาดราไวย์ หาดที่มีร้านอาหารมากมาย เหมาะแก่การหยุดพักรับประทานอาหารของนักท่องเที่ยว และแม้จะเป็นหาดที่มีความกว้างรองจากหาดป่าตอง แต่ก็ไม่เหมาะที่จะลงเล่นน้ำ มีทรายหยาบเม็ดใหญ่สีออกน้ำตาลมากกว่าจะเป็นสีขาวอย่างเช่นหาดอื่นๆ และมีเรือจำนวนมากจอดที่หน้าหาดแห่งนี้ เนื่องจากใช้เป็นจุดขึ้นเรือไปตามเกาะต่างๆของภูเก็ตและบริเวณใกล้เคียง

เกาะไม้ท่อน 

หากต้องการดำน้ำหรือพักผ่อนบนเกาะสวยแบบฟีลส่วนตัว ขอแนะนำเกาะไม้ท่อน มัลดีฟส์แห่งเมืองใต้ สามารถซื้อทัวร์ One day trip ได้เลย เดินทางประมาณ 15 นาทีจากภูเก็ต เดินทางโดยสปีทโบ๊ทจากท่าเรือน้ำลึก หรือท่าเรือวิสิษฐ์พันวา ระยะเวลาเพียงสั้นๆก็จะเจอเกาะที่รายล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีเทอควอยส์ และน้ำใสจนมองเห็นฝูงปลา ตัดกับสีขาวของทรายละเอียดนุ่มเท้าของเกาะไม้ท่อน  กิจกรรมที่น่าสนใจนอกจากเล่นน้ำและอาบแดดแล้ว ยังสามารถดำนำดูปะการังและเหล่าฝูงปลาการ์ตูนได้หน้าชายหาดกันเลย และเนื่องจากเป็นเกาะส่วนตัวที่มีการอนุญาตแบบจำกัด จึงไม่มีคนพลุกพล่าน ให้ความรู้สึกเหมือนได้เที่ยวเกาะส่วนตัว เรียกได้ว่า เดินทางเพียงแค่ 15 นาทีจากตัวเมืองภูเก็ต ก็เหมือนได้เที่ยวมัลดีฟส์โดยไม่ต้องออกนอกประเทศ เหมาะมากๆกับคนที่ต้องการพักผ่อนแต่ไม่อยากเดินทางนานๆ 

View of Promthep Cape – best view point Phuket island, Thailand

  

แหลมพรหมเทพภูเก็ต

จุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในประเทศไทย ที่ใครไปภูเก็ตแล้วจะต้องไปเยือน แหลมพรหมจะเทพมีลักษณะเป็นแหลมโค้งทอดตัวลงสู่ทะเล โดยปลายสุดของปลายแหลมพรหมเทพเรียกว่า “แหลมเจ้า” บริเวณแหลมที่ยื่นลงไปในทะเลโดดเด่นด้วยกลุ่มต้นตาลที่ตระหง่านอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังสามารถเดินลงไปที่ปลายแหลมได้  และเมื่อมองไปทางซ้ายมือจะมองเห็นหาดในยะ ส่วนด้านขวาของปลายแหลมจะมองเห็นชายหาดในหานได้

แหลมกระทิงภูเก็ต

แหลมกระทิงหรือเขากระทิงภูเก็ต จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยสุดๆฉบับติดอันซีน (unseen) อยู่ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต การเดินทางขึ้นไปยังแหลมกระทิงค่อนข้างจะลำบาก แต่คุ้มค่าและหายเหนื่อยแทบปลิดทิ้ง เมื่อขึ้นไปถึงบริเวณลานโขดหินขนาดใหญ่ ได้เห็นสีเขียวของทุ่งหญ้าริมหน้าผาตัดกับสีฟ้าน้ำทะเล และขอบฟ้าอันกว้างใหญ่เบื้องหลัง สวยราวภาพวาด และสามารถเห็นวิวทะเลได้แบบ 360 องศา แบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น 

 

จุดที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเมื่อมาถึงที่นอกจากการชมพระอาทิตย์ตกนั่นก็คือ การถ่ายรูปที่ก้อนหินใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายเรือใบ และหากจะมาชมวิวและถ่ายรูปที่จุดนี้ จะต้องเผื่อเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพราะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางกลับ ซึ่งจะต้องเดินทางกลับก่อนสิ้นแสงอาทิตย์ เพราะการเดินทางลำบาก หากมืดแล้วจะยิ่งเพิ่มความลำบากและอันตราย 

Aerial view blue ocean and blue sky with mountain in the foreground at Patong Bay of Phuket Thailand Landscape of patong city phuket in sunny summer day time Beautiful tropical sea High angle view.

จุดชมวิวเขารัง

อีกจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาด เนินเขาที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต เดินทางได้สะดวกด้วยรถยนต์ไปจนถึงยอดเขา โดยใช้เส้นทางคอซิมบี้ บนเขารังภูเก็ตจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเกาะภูเก็ตได้แทบทั่วเกาะแบบ 360 องศา ทั้งสะพานหิน อ่าวฉลอง หลังคาตึกเก่า และหาดภูเก็ตต่างๆ อย่างหาดราไวย์ หาดในหาน ฯลฯ โดยเฉพาะแสงไฟระยิบระยับในยามค่ำคืนยิ่งส่งบรรยากาศให้ที่แห่งนี้แสนโรแมนติกมากขึ้นไปอีก หากมากับคนรักก็ยิ่งเพิ่มความหวานและสร้างความประทับใจได้ไม่น้อยเลย

ตึกชิโนโปรตุกีส ย่านเมืองเก่าภูเก็ต (Phuket Old Town)

ย่านรวมตึกโบราณที่ให้คุณเดินเที่ยวเมืองเก่าภูเก็ตได้เพลินๆชิวล์ๆ อย่างตึกชิโนโปตุกีส สถาปัตยกรรมสุดแสนคลาสสิคสีสันสดใส ที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ตั้งเด่นสะดุดตาในย่านเมืองเก่าภูเก็ต เป็นสถานที่เคยรุ่งโรจน์เป็นอย่างมากในอดีต และยังมีประวัติอันยาวนาน โดยตึกนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นช่วงที่มีชาวจีนและชาวตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาทำเหมืองแร่ในภูเก็ต ด้านอาคารถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป และได้รับการอนุรักษ์และส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า ที่นักท่องเที่ยวมาเมืองภูเก็ตแล้วจะต้องมีการแวะเวียนเยี่ยมชม และทำการถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้ 

 

นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่มที่แสนอร่อยอย่าง โรตีมะตะบะ โกปี๊กาแฟโบราณ ร้านขายผ้าปาเต๊ะ และอีกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มชิมรสและเลือกซื้ออย่างจุใจ นอกจากนี้ยังมีซอยรมณีย์ อดีตย่านบันเทิงที่ถูกตกแต่งใหม่อย่างสวยงามเพื่อเป็นสถานที่เที่ยวภูเก็ต ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยสุดๆ แล้วไปต่อด้วยคฤหาสน์แบบนีโอคลาสสิค & เรอเนสซองต์ อย่างอังมอเหลา ที่เป็นของตระกูลนายเหมืองเก่า จากนั้นอย่าพลาดที่จะเก็บภาพสถานที่ยอดฮิตอย่างธนาคารสแตนดาร์ดชาร์ดเตอร์ โรงแรมออนออน และศูนย์รวมข่าวพรหมเทพ และจบด้วยการเดินตลาดเมืองเก่าภูเก็ตที่เป็นตลาดนัดคนเดิน รับรองว่าทริปเที่ยวภูเก็ตจะทำให้คุณเพลินจนลืมเหงาไปเลย

วัดฉลองภูเก็ต

วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองภูเก็ตมาช้านาน และเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในจังหวัดภูเก็ต วัดฉลองไม่ได้มีประวัติที่แน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยใด แต่รัชกาลที่ 5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นวัดไชยธาราม โดยวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อแช่ม หรือพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุณี ที่ชาวภูเก็ตให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเรื่องราวศักดิ์สิทธิ์และความเมตตาของท่านตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในการช่วยรักษาโรคด้วยสมุนไพร และเมื่อครั้งเกิดเหตุการอั้งยี่ (จีนก่อการกบฏ) ท่านก็ได้มอบผ้าประเจียดสีขาวให้ชาวบ้านไว้โพกหัว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการต่อสู้กับพวกอั้งยี่จนได้รับชัยชนะ (พวกอั้งยี่จึงเรียกชาวบ้านเหล่านั้นว่า พวกหัวขาว) 

 

ถึงแม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วเป็นร้อยปี แต่ก็ยังได้รับการศรัทธาจากชาวภูเก็ตและจังหวัดอื่นๆไม่เสื่อมคลาย ถึงขนาดรอต่อคิวเพื่อปิดทององค์หล่อหลวงพ่อแช่ม เฉกเช่นการปิดทององค์พระพุทธเจ้า และยังมีทั้งนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย หลั่งไหลมาสักการะท่านเมื่อมีโอกาสเสมอ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีบรรยากาศสงบและร่มรื่น มากด้วยสถาปัตยกรรมไทย และไม่ควรพลาดที่จะเข้าสักการะพระวิหารและพระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ และเมื่อเข้าเขตวัดก็มักจะได้ยินเสียงจุดประทัดแก้บนบ่อยครั้ง แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เสื่อมคลาย

 

พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี(วัดพระใหญ่)

วัดพระใหญ่หรือวัดใหญ่ภูเก็ต เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะภูเก็ต องค์พระเป็นศิลปร่วมสมัย ใช้หินอ่อนหยกขาวจากประเทศพม่าประดับผิวทั้งองค์ ซึ่งมีน้ำหนักถึง 135 ตัน นับว่าเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองภูเก็ตองค์ใหญ่ที่ตั้งสูงเด่นตระหง่าน และมีความสวยงามมากอีกองค์หนึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสทัศนียภาพที่สวยงามของเวิ้งหาดกะตะ แหลมพรหมเทพ ได้จากบริเวณด้านบนได้อย่างสุดอลังการ ชนิดที่เรียกว่าถ่ายรูปออกมาได้สวยสมใจแน่นอน 

 

ศาลหลักเมืองภูเก็ต

ศาลหลักเมืองของภูเก็ตทั้งหมด 4 แห่ง โดยเสาที่1 เป็นการสร้างศาลหลักเมืองใหม่ทับเสาหลักเมืองเก่า ตั้งแต่พ.ศ.2352  ชื่อ ศาลหลักเมืองเมืองใหม่ ตั้งอยู่แถวท่าเรือ ศาลหลักเมืองเสาที่ 2 คือ ศาลหลักเมืองถลางป่าสัก หรือศาลหลักเมืองวัดพระขาว หรือที่ชาวบ้านเรียก ศาลหลักเมืองเจ้าแม่สร้อยแก้ว อยู่ที่อำเภอถลาง ป่าสัก มักจะมีผู้คนมาขอพรเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือการชนะในการแข่งขันทุกรูปแบบ

 

ศาลหลักเมืองเสาที่ 3 ชื่อศาลหลักเมืองเจ้าแม่เกษิณี หรือศาลหลักเมืองเลพัง อยู่ที่ตำบลเชิงทะเล หน้าหาดเลพัง หน้าศาลนั้นหันออกสู่ทะเลฝั่งตะวันตก และถ้าหากใครจะมาขอพรขอโชคลาภ จะขอได้เพียงแค่เรื่องเดียวต่อครั้งเท่านั้น ดังนั้นต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะขอพร ศาลหลักเมืองเสาที่ 4 คือ ศาลเจ้าแม่หลักเมืองท่าเรือ ส่วนใหญ๋ชาวบ้านมักจะเรียก ศาลหลักเมืองเจ้าแม่ยายตวง ตั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร แต่เดิมบริเวณรอบๆนี้จะเป็นท่าเรือ ใช้การพายเรือสัญจรไปมา จึงมีเรือลำเล็กขนาด 1 ที่นั่ง วางอยู่บริเวณศาลหลักเมือง และเล่าลือว่าศักดิ์สิทธิ์ในการขอพรเกี่ยวกับโชคลาภ ความรัก และการขอบุตรชาย

 

Flying Hanuman ภูเก็ต

ใครสายแอดเวนเจอร์ หรืออยากลองกิจกรรมใหม่ๆ ไม่ควรพลาด ฟลายอิ้ง หนุมาน ภูเก็ต เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวแห่งใหม่ของภูเก็ต แบบวันเดย์ทริปภูเก็ต ที่เป็นการท่องเที่ยวแบบเชิงอนุรักษ์ Ecoadventure เน้นการโหนสลิงชมทิวทัศน์มุมสูงหรือที่เรียกว่า Zipline บนยอดเขาน้ำตกกระทู้ และเดินป่าเชิงอนุรักษ์ โดยกิจกรรมจะมีหลากหลายแต่คงในคอนเซ็ปต์แบบ Ecoadventure ทั้ง 28 ฐาน โหน Zipline จากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง และที่มีระยะทางไกลที่สุดถึง 400 เมตร , เดินบันไดวนรอบต้นไม้ใหญ่ หรือการเดินบนสะพานกลางอากาศ 

 

เปิดบริการ 4 รอบ คือ 08.00 น./10.00 น./13.00 น.และ 15.00 น. โดยมีกิจกรรมให้เลือก 3 โปรแกรม ได้แก่ 

 

  • โปรแกรม A จะมีกิจกรรม 28 ฐาน การโหนสลิง โรยตัว ข้ามสะพานแขวน ขึ้นบันไดเวียน รางเลื่อนลอยฟ้า เดินป่าประมาณ 20 นาที และมีอาหารให้ 1 มื้อ
  • โปรแกรม B กิจกรรมจะเหมือนกับโปรแกรม A แต่จะไม่มีอาหารให้
  • โปรแกรม C กิจกรรมจะคล้ายกับโปรแกรม A แต่มีเพียง 16 ฐาน เหมาะสำหรับคนต้องการเล่นกิจกรรมเพียงเล็กน้อย หรือมีแรงไม่มากแต่ต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่โปรแกรม C จะมีเฉพาะรอบ 08.00 น. และ 15.00 น. เท่านั้น 

 

สวนน้ำ splash jungle water park ภูเก็ต

ไม่เพียงแต่แหล่งธรรมชาติที่มีให้เที่ยวชมแล้ว แต่สถานที่ท่องเที่ยวในภูเก็ตยังมีเครื่องเล่นสุดโหดให้ตะลุยและเพลินไปกับการเล่นสไลเดอร์ยักษ์อย่าง “SuperBowl” ที่ต้องนั่งบนห่วงยางหมุนไปในอ่างยักษ์ด้วยความเร็วแบบสุดเหวี่ยง หรือ “Whizzard” สไลเดอร์สีสันสุดจัดจ้านที่มีถึง 6 ช่อง สไลด์ตัวไปในอุโมงค์ที่โค้งเป็นเกลียว 360 องศา และสามารถมองเห็นเครื่องบินที่บินขึ้น-ลง ณ จุดนี้ได้อีกด้วย หรือจะจิบเครื่องดื่มเย็นๆชิวล์ๆ บาร์กลางสระว่ายน้ำอย่าง “Splash Bar” ที่มีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกเพียบ 

 

นอกจากนี้ยังมี “Aqua Play Pool” เครื่องเล่นที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณหนูๆและทุกคนในครอบครัว มีสไลเดอร์เล็กๆ และถังน้ำยักษ์ที่จะคว่ำตัวเทน้ำใส่เราเพื่อคลายร้อนทุก 5 นาที และ “Wave Pool” สระน้ำที่มีคลื่นทะเลจำลองและแรงถึง 6 ระดับ โดยมีจุไลฟ์การ์ดคอยดูแลความปลอดภัยเป็นอย่างดี และมีเสื้อชูชีพสำหรับผู้ว่ายน้ำไม่แข็งแรงหรือว่ายน้ำไม่เป็นให้ใส่เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีพิซซ่าเตาถ่านสุดฟินราคาเบาให้ได้ลิ้มลอง รวมไปถึงอาหารไทยและอาหารต่างชาติที่มีให้เลือกอิ่มอร่อย สามารถจ่ายผ่านสายรัดข้อมือซึ่งจะได้รับเมื่อตอนซื้อตั๋วเข้าสวนน้ำ ไว้คอยเติมเงินเพื่อซื้ออาหารและบริการอื่นๆภายในบริเวณสวนน้ำโดยไม่ต้องพกเงินให้ยุ่งยาก เรียกได้ว่าเพลิดเพลินกับกิจกรรมและอาหารได้ทั้งวันกันเลยทีเดียว 

cr. : https://www.phuket101.net/phuket-fantasea/

ภูเก็ตแฟนตาซี

เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวภูเก็ตนักท่องเที่ยวให้ความนิยม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหาดกมลา มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทยอันวิจิตร ผสมผสานเทคโนโลยีระดับโลกทำให้ได้การแสดงและโชว์ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ในพื้นที่ 70 ไร่ บนหาดกมลา ที่เรียกได้ว่าเป็นอณาจักรบันเทิงทางวัฒนธรรมยามราตรี ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องขอให้ได้เข้าชมสักครั้งเมื่อมีโอกาสได้เยือนเมืองภูเก็ต เปิดบริการให้ชมทุกวัน เวลา 17.30 23.30 น. ยกเว้นวันพฤหัสบดี ที่เปิดให้บริการเข้าชมเวลา 21.00 น.ซึ่งทำการจองตั๋วล่วงหน้าได้และมีบริการรถรับส่งจากที่พักภูเก็ตถึงภูเก็ตแฟนตาซี 

 

เที่ยวภูเก็ตเดือนไหนดี

ภูเก็ตสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่สามารถแบ่งได้เป็นช่วง ไฮซีซั่น โลว์ซีซั่น และพีคซีซั่น แต่ความชอบในการท่องเที่ยวแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน หรือขึ้นอยู่กับความสะดวกในการจัดโปรแกรมเที่ยวภูเก็ตในแต่ละครั้ง ช่วงที่เป็นไฮซีซั่นจะเป็นช่วงเดือน พฤศจิกายน-เมษายน เกาะทุกเกาะเปิดให้บริการ นักท่องเที่ยวจะนิยมมากันมากในช่วงนี้ เพราะอากาศดี น้ำสวย ฟ้าใส ส่วนปลายเดือนธันวาคม – เดือนมกราคม จะเรียกว่าเป็นช่วงพีคซีซั่นก็ว่าได้ เพราะเป็นช่วงหยุดยาวของหลายคนๆ ทำให้มีทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติมาเที่ยว และโรงแรมภูเก็ตก็เต็มแทบทุกที่ แต่ถ้าต้องการเที่ยวแบบคนน้อยๆ และไม่แคร์เรื่องที่อาจจะต้องเจอพายุฝน ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม เพราะเป็นช่วงหน้าฝน จึงอาจมีฝนตก ลมคลื่นทะเล บางเกาะปิดให้บริการ ไม่สามารถเข้าไปเที่ยวได้ แต่บางวันก็อาจมีฟ้าใส อากาศดี และบรรยากาศสวยไม่แพ้หน้าร้อน และยิ่งไปกว่านั้นที่พักภูเก็ตจะมีราคาถูกกว่าช่วงไฮซีซั่นเป็นเท่าตัว 

 

ได้ยินเสียงสถานที่เที่ยวเหล่านี้เรียกหาไหม? โปรแกรมเที่ยวภูเก็ตต้องมาแล้วไหมล่ะ? พร้อมจัดกระเป๋าหรือยัง? จัดสรรเวลาและเตรียมตัวไปภูเก็ตกันเลย!!

สุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก หากสภาวะสุขภาพไม่ดี ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงความเจ็บปวดทางร่างกาย สุขภาพจิต ค่าใช้จ่าย และการสูญเสีย การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่โรคบางชนิดก็อาจหลีกเลี่ยงได้ยาก แม้จะเป็นนักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรงก็ตาม

 

บทความนี้จะมารู้จักถึงโรคที่ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง นั่นก็คือ Stroke หรือโรคหลอดเลือดในสมอง ซึ่งเป็นโรคที่น่าห่วงมาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการบอกล่วงหน้า แต่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนรอบข้างหรือแม้แต่ตัวเราเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่หรือไม่ ดังนั้นบทความนี้เราจะมารู้จักและวิธีสังเกตอาการ เพื่อจะได้ป้องกันได้ทัน ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และควบคุมหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองกันดีกว่า

 

โรคหลอดเลือดสมอง คือ ภาวะการขาดเลือดของสมอง เนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบ ตัน หรือเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนนั้นไม่ได้ ส่งผลให้เนื้อสมองบริเวณนั้นถูกทำลาย เนื่องจากขาดออกซิเจนและสารอาหาร ปกติสมองของคนเราจะมีการเชื่อมโยงในการทำงานของอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย เมื่อสมองส่วนใดเกิดผิดปกติหรือถูกทำลาย จะส่งผลต่อหน้าที่การทำงานของอวัยวะในระบบส่วนนั้นด้วย 

โรคหลอดเลือดสมองอาการที่ส่งผลต่อสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวากระทบกับส่วนใด

1.โรคหลอดเลือดสมองซีกซ้าย 

ส่งผลการเป็นอัมพาตครึ่งตัวด้านขวา ปัญหาด้านการพูด การสื่อสาร การกลืน เสียการมองเห็นภาพซีกขวา สูญเสียการทรงตัว ปฏิกิริยาตอบสนองช้า  

 

2.โรคหลอดเลือดสมองซีกขวา 

ส่งผลการเป็นอัมพาตครึ่งตัวด้านซ้าย สูญเสียการตัดสินใจ เสียการมองเห็นภาพซีกขวา สูญเสียการประเมินขนาดและระยะทาง

 

แต่ถ้ามีความเสียหายในส่วนก้านสมอง Cerebellum เพียงเล็กน้อย ส่งผลให้เสียการทรงตัว เวียนศีรษะ หรืออัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้หมดสติได้ การประเมินความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง สามารถประมาณได้จากการสูญเสียระบบการทำงานของร่างกาย 

โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากอะไร

โรคหลอดเลือดสมองสาเหตุเกิดได้หลายสาเหตุ และสามารถเกิดได้กับทุกวัย แต่จะมี 3 สาเหตุหลักๆ เกิดจาก … ตีบ ตัน แตก 

 

1.เส้นเลือดในสมองตีบ (Atherosclerosis) 80% ของสาเหตุในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นจากผนังหลอดเลือดสมอง การสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงในส่วนที่เกิดปัญหาและอวัยวะในส่วนอื่นๆได้สะดวก ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ อายุ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ แอลกอฮอลล์ และภาวะโรคอ้วน 

 

2.เส้นเลือดในสมองอุดตัน (Embolic) หลอดเลือดในสมองอุดตัน เกิดจากลิ่มเลือดจากส่วนต่างๆของร่างกายไหลรวมมาอุดเป็นก้อนขวางทางหลอดเลือดส่วนใดส่วนหนึ่ง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญได้แก่ หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial Fibrillation โรคของลิ้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ หรือภาวะหัวใจโต ส่วนสาเหตุอื่นๆก็พบได้เช่นกัน เช่น การสะบัดคอแรงๆ การเล่นกีฬาผาดโผนเอ็กซ์ตรีม การใช้งานกล้ามเนื้อคออย่างหนัก รวมไปถึงหลอดเลือดดำอุดตัน อาทิเช่น กลุ่มที่รับประทานยาคุมกำเนิด เป็นต้น   

 

3.เส้นเลือดในสมองแตก / เลือดออกในสมอง (Hemorrhagic) พบได้ประมาณ 20% ของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบาง และมีภาวะความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ทำให้เกิดการโป่งพองและแตกออก หรือหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่นจากการสะสมของไขมันแล้วปริแตก ทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลงฉับพลัน และเลือดออกภายในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ 

อาการของโรคที่พบได้บ่อย 

  • ปวดศีรษะรุนแรง
  • แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก 
  • ตาตก ตามัว มองเห็นภาพซ้อนหรือเห็นครึ่งซีก ตาบอดข้างเดียว  
  • ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว มุมปากตก น้ำลายไหล กลืนลำบาก 
  • พูดไม่ชัด พูดลำบาก นึกคำพูดไม่ออก 
  • เป็นอัลไซเมอร์ระยะสั้น 
  • สูญเสียการควบคุมการทรงตัว เดินเซ 

 

ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง 

  • ผู้สูงอายุ 
  • คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาต 
  • ผู้มีภาวะอ้วน 
  • ผู้ป่วยเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง 
  • ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ ผู้ที่มีภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบ  โรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจทำให้เกิดลิ่มเลือด แล้วหลุดไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง 
  • ผู้ที่สูบบุหรี่ประจำ หรือสูบบุหรี่จัด
  • ผู้ที่กินฮอร์โมนเพศ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน

 

F A S T คำจำกัดความที่ควรจำและทำเมื่อเกิดเหตุดังกล่าว เพื่อลดโอกาสความพิการและการเสียชีวิตของผู้ป่วย

 

  • (Facial Weakness) ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ริมฝีปากตก 
  • (Arm Weakness) แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก 
  • (Speak) พูดไม่ชัด พูดลำบาก นึกคำพูดไม่ออก 
  • (Time) เมื่อเกิดอาการข้างต้น ให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หรือติดต่อสายด่วน 1669 

 

เมื่อมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท แขน-ขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว กระทันหัน หรือสงสัยว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง หรืออาการคล้ายจะเป็นอัมพาต จะต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะสมองของผู้ป่วยมีโอกาสตายมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆวินาที ต้องรีบใช้เวลาในการไปพบแพทย์โดยเร็ว ห้ามรอดูอาการ เพราะทุกนาทีคือความปลอดภัยต่อชีวิต เมื่อไปถึงโรงพยาบาล จะต้องรีบแจ้งว่าอาจเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองตีบหรืออัมพาต เพื่อให้แพทย์รีบทำการวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว ห้ามนวด และห้ามซื้อยาทานเอง 

วิธีการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง  

แนวทางการรักษาจะแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ และสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง ว่าเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบหรือหลอดเลือดสมองแตก 

 

หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน การรักษาคือทำให้เลือดไหลเวียนได้อย่างปกติ โดยมีหลายวิธี ในบางกรณีแพทย์อาจให้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งจะได้ผลดีกับผู้ที่มีอาการโรคหลอดเลือดสมองและรีบไปโรงพยาบาลภายในระยะเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง

 

หลอดเลือดสมองปริแตกหรือฉีกขาด การรักษาคือ รักษาระดับความดันโลหิต เพื่อควบคุมปริมาณเลือดที่ออก แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดในกรณีที่มีเลือดออกมาก เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสมอง ที่อาจเกิดขึ้นหากมีการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิต

 

นอกจากนี้แพทย์จะให้การรักษากับผู้ที่เป็นหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน โดยใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ ซึ่งจะต้องใช้ยาพวกนี้ในระยะเวลานานต่อเนื่องกันอย่างสม่ำเสมอ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และจะต้องมีการติดตามผล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของลิ่มเลือดไหลไปอุดตันตามอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตีบและขาดเลือด รวมไปถึงภาวะเส้นเลือดสมองอุดตัน เนื่องจากถ้ามีการใช้ยาผิด อาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

 

ยาโรคหลอดเลือดสมอง

โดยส่วนใหญ่แล้วจะมียา 2 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

  • ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด เช่น Warfarin , Apixaban , Dabigatran , Edoxaban , Rivaroxaban
  • ยาต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เช่น Aspirin , Cilostazol , Clopidogrel , Prasugrel , Ticagrelor

 

กรณีที่ลืมทานยา ให้รีบทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าหากนึกได้ตอนใกล้เวลามื้อยาถัดไป ก็ทานยาในมื้อถัดไปตามปกติ ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเองทดแทนในมื้อที่ลืมทาน

 

อาการข้างเคียงจากการทานยาที่ควรไปพบแพทย์ 

แม้ว่ายากลุ่มนี้จะมีผลดีต่อผู้ป่วย ก็มีผลเสียและอาการข้างเคียงเช่นกัน ดังนั้นควรสังเกตหลังจากรับประทานยาแล้วเกิดอาการต่อไปนี้ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ได้แก่ 

  • ภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก
  • เลือดออกผิดปกติ เช่น มีเลือดออกในตาขาว เลือดออกตามไรฟัน
  • มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง
  • ปัสสาวะ อุจจาระออกสีเข้มไปจนถึงสีแดง 

 

เส้นเลือดในสมองตีบรักษาหายไหม  เมื่อเป็นโรคนี้แล้ว แม้จะได้รับการรักษา แต่ก็จะหลงเหลือความผิดปกติไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับความเสียหายของหลอดเลือดสมองที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ความสำคัญในส่วนที่เสียหาย สุขภาพของร่างกาย และระยะเวลาที่ได้รับการรักษาเร็วแค่ไหน หากได้รับการรักษาเร็ว ความเสียหายเกิดขึ้นได้น้อย ก็สามารถกลับคืนสภาพปกติได้มาก แต่ก็อาจไม่ถึง 100% และผู้ที่เคยป่วยและอาการดีขึ้นหรือหายเกือบปกติแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่อาจจะเป็นซ้ำได้ 

 

*ติดต่อสายด่วน 1669 เพื่อเรียกรถพยาบาล หรือถ้าจะเดินทางไปโรงพยาบาลเอง จะต้องมั่นใจว่ามีความปลอดภัย และไม่กระทบกระเทือนจนอาจส่งผลต่อผู้ป่วย*

 

**โรคหลอดเลือดสมองการรักษาต้องเร่งด่วน เป็นกรณีฉุกเฉิน เพราะเป็นโรคที่อันตรายร้ายแรง อาจทุพลภาพและถึงแก่ชีวิตได้ จึงเข้าทำการรักษาโรงพยาบาลที่ไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด โดยสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้**

 

ข้อควรจำ

ห้ามนวด ห้ามรอ ห้ามซื้อยาทานเอง 

 

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากจะได้รับการรักษาจากแพทย์ด้วยยาที่เหมาะสมตามดุลพินิจของแพทย์แล้ว “กายภาพบำบัด” ก็มีบทบาทอย่างยิ่งในการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน 

 

ลักษณะอาการที่พบบ่อยของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

  • อัมพาตอ่อนแรง ขยับแขนขาได้น้อยหรือไม่ได้เลย 
  • ปากเบี้ยว น้ำลายไหล พูดไม่ชัด
  • กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก 
  • แขนขาข้างที่อัมพาต ไร้ความรู้สึกเมื่อโดนของมีคม หรือของร้อน
  • กล้ามเนื้อรอบหัวไหล่อ่อนแรง ทำให้ข้อไหล่หลวมหรือหลุด 
  • แขนขามีอาการปวดและบวม เนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นระยะเวลานาน
  • ดูดกลืนน้ำและอาหารลำบาก อาจทำให้เกิดการสำลัก และอาหารเล็ดลอดเข้าปอด เสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดอักเสบได้

 

อาการต่างๆเหล่านี้ควรมีการบำบัดอย่างถูกวิธี ได้รับการรักษาโดยแพทย์ด้านสมองและระบบประสาทโดยตรง รวมถึงแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด และ นักกิจกรรมบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูได้เต็มที่

สำหรับระยะเวลาที่เหมาะสมในการทำกายภาพบำบัด คือ หลังจากที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการคงที่ ซึ่งในช่วง 13 เดือนแรกหลังจากเป็นโรคหลอดเลือดสมอง จะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วที่สุด เนื่องจากสมองในส่วนที่เสียหายกำลังมีการฟื้นตัว จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มทำกายภาพบำบัด และฝึกฝนเรียนรู้การเคลื่อนไหว หลังจากนั้นการฟื้นตัวจะช้าลง และเข้าสู่การปรับตัวของเซลล์สมองที่เหลืออยู่ หากได้รับการฝึกที่ถูกต้องอย่างเหมาะสม สมองสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้ามีการฝึกที่ผิดวิธี หรือไม่มีการฝึกฝนเลย การฟื้นตัวหลังจากนั้นก็จะช้าลง ซึ่งไม่ใช่เพราะผลจากสมอง แต่เป็นเพราะความเคยชินของโครงสร้างร่างกาย ทำให้การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยไม่มีการพัฒนา และจะแก้ไขปัญาหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจกลายเป็นอัมพาต หรือต้องพิการถาวร 

การรักษากายภาพบำบัดผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองประกอบไปด้วย 

 

การยืดกล้ามเนื้อ  เมื่อเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยมักจะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ สูญเสียความยืดหยุ่น เนื่องจากกล้ามเนื้อมีการหดรั้ง จึงต้องทำการรักษาด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการเกร็งและให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น 

 

การดัดและขยับข้อต่อ หากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองไม่ได้ขยับร่างกายเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นการยืน หรือการลงน้ำหนักเวลาเดิน และไม่ได้รับการฟื้นฟู ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ เนื่องจากข้อต่อผู้ป่วยยึดติดกัน จากการไม่มีการเคลื่อนไหวของอวัยวะนานๆนั่นเอง ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องได้รับการฟื้นฟูและทำกายภาพบำบัดที่เหมาะสมตามอาการของโรค เพื่อให้ข้อต่อสามารถเคลื่อนไหวได้มากที่สุด

 

เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกาย ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงครึ่งซีก จึงจำเป็นที่ผู้ป่วยจะต้องมีการเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ ด้วยการออกกำลังกายตามอาการของโรค เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากที่สุด

 

ฝึกเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก ทำให้การขยับเคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนท่าทางได้ลำบาก เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อสองด้านไม่สมดุลกัน การทำกายภาพบำบัดที่เหมาะสมกับอาการ เช่น การฝึกตะแคงตัว การฝึกลุกจากที่นอนขึ้นมานั่ง การฝึกลุกยืน เป็นต้น จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้มากยิ่งขึ้นจนเกือบเป็นปกติ หรือบางกรณีก็สามารถเป็นกลับมาเป็นปกติ 

 

ฝึกการทรงตัว เนื่องจากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมักจะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อในการทรงตัว หรือบางรายอาจมีการสูญเสียความรู้สึก ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทรงตัว ทำให้มีความเสี่ยงที่จะล้มได้ง่าย ผู้ป่วยจึงต้องฝึกการทรงตัวทั้งในท่านั่ง ท่ายืน และท่าเดินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับการทรงตัวของผู้ป่วย และยังเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการล้มได้

 

ฝึกเดิน  “การเดิน”เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการวิเคราะห์ระดับอาการ ให้ได้รับบำบัดและออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาเดินได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด ซึ่งผู้ป่วยอาจจะมีการเดินยักสะโพก เพื่อทดแทนในการเคลื่อนไหว โดยทุกขั้นตอนจะอยู่ในการพิจารณาของแพทย์ และนักกายภาพบำบัด

ฝึกการหายใจ  เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีกลุ่มกล้ามเนื้อในการช่วยหายใจอ่อนแรง ส่งผลให้ เหนื่อยง่าย และหายใจได้ไม่ลึก แพทย์และนักกายภาพบำบัดจะให้ผู้ป่วยฝึกการหายใจได้อย่างถูกต้อง 

 

การบำบัดเพื่อการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ตามอาการต่างๆ 

ปัญหาแขน-ขาอ่อนแรง 

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในช่วงแรก มักจะมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือข้อต่อยึดติด หากไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน และเมื่อสมองที่ถูกทำลายได้กลับฟื้นตัวขึ้น แต่ผู้ป่วยไม่สามารถขยับข้อต่อในส่วนนั้นได้ จึงต้องมีการกระตุ้นกล้ามเนื้อ เพื่อให้กลับมาทำงานได้ปกติ โดยการทำกายภาพบำบัด และออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย เป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ให้ฟื้นตัวได้มากขึ้น และป้องกันข้อต่อยึดติด ด้วยการบริหารข้อ ฝึกการเคลื่อนไหวของมือและแขน ฟื้นฟูด้วยการทำกิจกรรมต่างๆด้วยตัวเอง เช่น รับประทานอาหาร อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า ฝึกนั่ง ยืน เดิน ขึ้นลงบันได และการจัดท่านอนให้ถูกต้องสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น 

 

ปัญหาด้านการกลืน 

ผู้ป่วยในระยะแรกจะยังดูดกลืนอาหารไม่ได้ ควรให้อาหารทางสายยางก่อน เมื่ออาการดีขึ้น จึงฝึกกล้ามเนื้อที่ใช้ในการรับประทานอาหาร ฝึกกลืน เมื่อผู้ป่วยสามารถกลืนอาหารเองได้อย่างปลอดภัย จึงพิจารณาในการเลิกให้อาหารทางสายยาง

ปัญหาการสื่อสาร

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองซีกซ้าย จะส่งผลต่อการเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตด้านขวา เสียการควบคุมด้านการพูดและการสื่อสาร ไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง พูดไม่ได้ ใช้คำผิด จึงควรให้ผู้ป่วยได้รับการฝึกออกเสียง เพื่อให้สื่อสารได้มากที่สุด

 

ปัญหากล้ามเนื้อเกร็ง

อาการเกร็งจะมีมากหรือน้อยขึ้นกับสภาพของสมองผู้ป่วย ซึ่งอาการเกร็งนี้เองที่จะเป็นอุปสรรคในการรักษา และยังทำให้ข้อต่างๆยึดติดกัน การรักษาจะมีหลายวิธี แต่ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เช่น การใช้เครื่องมือทางกายบำบัด การใช้อุปกรณ์เสริม การออกกำลังเคลื่อนไหวข้อ การกำจัดสิ่งกระตุ้นอาการเกร็ง การฉีดยาลดเกร็ง และการจัดท่านอนที่ถูกต้องสำหรับโรคหลอดเลือดสมอง  

 

การฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วย

 

กรณีผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ดูแลควรช่วยพลิกตะแคงผู้ป่วยทุกๆ 12 ชั่วโมง คอยฝึกให้ผู้ป่วยลุก-นั่ง ยืดเหยียดข้อต่อต่างๆ เพื่อช่วยยืดเหยียดข้อต่อต่างๆ 

 

กรณีผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พยายามให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง และฝึกกายบริการโดยมีผู้ดูแล

 

กรณีที่ผู้ป่วยเดินได้ ให้ผู้ป่วยฝึกเดินโดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน และฝึกในพื้นที่ปลอดภัย ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดหรือผู้ดูแล

 

กรณีที่ผู้ป่วยอาการดีขึ้นหรือมีอาการคงที่ สามารถที่จะรับการตรวจจากแพทย์ และคำแนะนำด้านการฟื้นฟูผ่านระบบโทรเวชกรรม เพื่อทดแทนการเดินทางไปโรงพยาบาลได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา

 

แต่สำหรับผู้ป่วยทุกกรณี จะเน้นในการดูแลด้านจิตใจและอารมณ์ ไม่ควรกดดันในการฝึกหรือการทำกายบริหารต่อผู้ป่วย ควรให้กำลังใจ และให้ผู้ป่วยทำเมื่อพร้อม เพื่อหลีกเลี่ยงในการสร้างความความเครียดต่อผู้ป่วย

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหลังจากได้รับการรักษาและกลับมาพักฟื้นที่บ้าน จะต้องมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นนักกายบำบัด นักกิจกรรมฟื้นฟู หรือญาติผู้ป่วยที่ได้รับการฝึกฝนวิธีดูแลผู้ป่วยอย่างถูกวิธี ซึ่งทั้งหมดนี้แพทย์ที่ทำการรักษาจะเป็นผู้วิเคราะห์และให้คำแนะนำกับญาติ ก่อนจะส่งตัวผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน 

อย่าลืมว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มีความเสี่ยงต่อหลอดเลือดสมองปริหรือแตกได้ ดังนั้นจะต้องคอยดูแลและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมไปถึงอย่าสร้างความกดดันและความเครียดกับผู้ป่วย และหากได้รับการฟื้นฟู รักษาอย่างถูกวิธี เหมาะสมกับอาการ และรวดเร็ว ก็จะเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหายหรือกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

 

อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ตั้งแต่อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆไปจนถึงความเจ็บป่วยที่อาจถึงแก่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น นิ้วซ้น เท้าพลิก ก้างปลาติดคอ น้ำร้อนลวก รถชน จมน้ำ ฯลฯ หากได้รับวิธีการปฐมพยาบาลให้ถูกต้องกับอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ก่อนที่จะถูกนำตัวไปโรงพยาบาล เพื่อทำการรักษาในขั้นตอนต่อไป ก็จะช่วยลดความสูญเสีย และกลับฟื้นสภาพเดิมได้เร็วขึ้น และเพิ่มโอกาสให้รอดปลอดภัยสูงขึ้น

ทำไมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจึงสำคัญ

เพราะการได้รับการปฐมพยาบาล First aid ถูกวิธี นอกจากจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ยังช่วยลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ ป้องกันความพิการที่อาจเกิดขึ้นจากความเจ็บปวด และยังช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น 

 

กระดูกหักเกิดขึ้นได้กับทุกวัย เพราะอุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกหักเกิดขึ้นได้ง่ายอย่างไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่หกล้ม ตกบันได ขี่จักรยานล้ม นั่งแล้วตกจากเก้าอี้ หรือแม้แต่การเล่นกีฬาก็ตาม ดังนั้นเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บ หรือสงสัยว่ากระดูกหัก ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังต่อไปนี้ 

 

อันดับแรกให้สังเกตอาการว่าข้อเคลื่อนหรือกระดูกหัก หรือทั้งข้อเคลื่อนและกระดูกหัก

 

ข้อเคลื่อน (Dislocation) คือ ข้อต่างๆมีการหลุดจากตำแหน่งเดิม เยื่อหุ้มข้อจึงมีการฉีกขาด หรืออาจกล้ามเนื้อยึด ซึ่งอาจมีอันตรายต่อเส้นประสาทและหลอดเลือดใกล้เคียง

 

กระดูกหัก (Fracture) คือ กระดูกมีการแตกหรือหัก อาจมีการเคลื่อนออกจากกัน บางกรณีอาจหักหรือแตกหลายชิ้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุ กระดูกหักอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความพิการ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ 

อาการกระดูกหักและข้อเคลื่อน

  • เจ็บปวดและมีอาการบวมบริเวณที่มีกระดูกหักหรือข้อเคลื่อน
  • สีผิวหนังบริเวณที่บาดเจ็บเปลี่ยนไปจากเดิม
  • ไม่สามารถเคลื่อนไหวบริเวณบาดเจ็บ หรือเจ็บปวดมากเมื่อเคลื่อนไหว
  • อวัยวะที่บาดเจ็บจะมีการหดจนสั้นลงกว่าปกติ เช่น แขนที่กระดูกหักจะสั้นกว่าอีกข้าง
  • เมื่อคลำจะพบส่วนของกระดูกที่เคลื่อนหรือหักออกมา

การปฐมพยาบาลกระดูกหัก

กระดูกหัก คือ การที่กระดูกได้รับแรงกระแทกมากจนทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักจากแรงดังกล่าวได้ ก่อให้เกิดอาการปวด เสื่อมสมรรถภาพในการทำงาน อีกทั้งการได้รับบาดเจ็บบริเวณที่ได้รับแรงกระแทกและมีเลือดออก ซึ่งกระดูกหักจะมีลักษณะ 2 แบบ คือ 

  • กระดูกหักแบบปิด (Fracture) กระดูกหักอยู่ด้านใน ไม่ทะลุนอกผิวหนัง หรือผิวหนังไม่มีแผลเปิดให้เห็นถึงกระดูก สังเกตได้จากรยางค์ส่วนที่บาดเจ็บจะสั้นกว่าอีกด้าน และมีอาการบวมบริเวณที่กระดูกหัก  
  • กระดูกหักแบบเปิด (Open Fracture) มีบาดแผลผิวชั้นนอก และอาจสามารถมองเห็นชิ้นกระดูกที่หักโผล่ออกมาได้ หรือก้อนไขมัน(fat globule) ไหลออกมาจากบริเวณกระดูกที่หัก ซึ่งจะต้องรีบทำการปฐมพยาบาลโดยเร่งด่วน และรีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตต่ำ มีอาการช็อกเนื่องจากเสียเลือดจำนวนมาก และแผลติดเชื้อ 

 

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นกระดูกหักแบบปิด (Fracture)

ห้ามดึงข้อหรือจัดกระดูกให้เข้าที่ด้วยตัวเอง โทรแจ้ง1669 โดยระหว่างรอรถมารับ ไม่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยหากสงสัยว่าสะโพก หลัง หรือมีอวัยวะส่วนใดหัก แต่ให้ทำการพยุงอวัยวะส่วนที่บาดเจ็บให้อยู่กับที่ ไม่ให้มีการเคลื่อนไหวมาก โดยการดามชั่วคราว หากจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า ให้ใช้กรรไกรตัดตามแนวตะเข็บผ้า ใช้วัสดุที่พอจะหาได้ดามเฝือกชั่วคราว โดยจัดให้อยู่ในท่าที่สบาย และประคบเย็นบริเวณที่บาดเจ็บ เพื่อช่วยลดอาการปวด และงดให้ผู้บาดเจ็บดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร เผื่อว่าต้องทำการเข้ารับการผ่าตัด หลังจากแพทย์ทำการวินิจฉัย

วิธีเข้าเฝือกชั่วคราว หรือ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแขนหัก-ขาหัก

การเข้าเฝือกชั่วคราวนี้ จะต้องเข้าเฝือกในท่าที่เป็นอยู่ อย่าบิดหรือจัดท่าเพื่อให้กระดูกเข้าที่เดิม โดยการเข้าเฝือกชั่วคราวทำได้ดังนี้ 

 

1.ใช้วัสดุที่มีความแข็ง เช่น ไม้ กระดาษแข็งที่พอจะดามได้โดยไม่มีหักงอระหว่างทาง และอุปกรณ์ที่นำมาดามเข้าเฝือกต้องมีความยาวที่ครอบคลุมข้อที่เหนือและใต้บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เช่น กระดูกต้นแขนหัก ก็ใช้ไม้ดามที่ความยาวตั้งแต่ข้อมือจนถึงข้อศอก

 

2.วางวัสดุที่ดามประกบทั้งสองด้าน หาวัสดุอื่นมาวางรองก่อนประกบ โดยใช้ผ้าหรือสำลีวางรองตลอดแนวของวัสดุที่ดาม เพื่อไม่ให้ของแข็งที่ใช้ดามกดทับโดนผิวหนังโดยตรง 

 

3.ใช้เชือกหรือผ้าพันที่ดามประกบไว้ โดยไม่ให้แน่นหรือหลวมจนเกินไป เพราะหากรัดแน่นเกินไป จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก คอยสังเกตบริเวณที่ดามตลอด หากมีอาการบวมอาจเป็นเพราะรัดแน่นเกินไป ให้รีบคลายเชือกให้แน่นน้อยลง  

 

การปฐมพยาบาลกระดูกหักแผลเปิด (Open Fracture)

เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือพบเจอคนบาดเจ็บ กระดูกหักแบบแผลเปิด หรือเกิดบาดแผลแล้วเห็นกระดูกหักทิ่มแทงออกมานอกผิวจนเห็นได้ชัด จะต้องรีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที และระหว่างที่รอรถฉุกเฉินมารับตัว ให้รีบทำการปฐมพยาบาล กรณีเลือดออกมากจะต้องมีวิธีการห้ามเลือด เพื่อไม่ให้ผู้บาดเจ็บเกิดอาการช็อกเพื่อลดความเสี่ยงแผลติดเชื้อให้มากที่สุด โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้ 

 

สังเกตอาการช็อกของผู้บาดเจ็บ

1.เลือดออกปริมาณมาก 

2.ผู้บาดเจ็บมีอาการหน้าซีด ปากซีด ตัวเย็น มือเย็น และเหงื่อออกมาก 

 

หากผู้บาดเจ็บมีอาการช็อกเพราะเสียเลือดมาก ให้รีบทำการห้ามเลือดก่อน

วิธีห้ามเลือดแผลเปิด 

1.ใช้ผ้าสะอาดกดปิดบริเวณบาดแผลเพื่อให้เลือดหยุดไหล 10-15 นาที 

2.ทำการล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำเปล่าที่สะอาด 

3.ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดแล้วห่อกระดูกที่ทะลุออกมา  

วิธีการลดอาการปวด

1.ประคบเย็นใกล้บริเวณบาดแผล เพื่อให้เกิดอาการชา บรรเทาอาการเจ็บได้ชั่วคราว 

2.ยกอวัยวะที่มีการบาดเจ็บให้อยู่สูงกว่าลำตัว เพื่อให้เลือดไหลเวียน และไม่ทำให้เกิดอาการบวม

 

*อย่าพยายามดึงกระดูกหรือจัดกระดูกเข้าที่เองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เส้นประสาทหรือหลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดความเสียหาย อาจทวีความรุนแรงจนผู้บาดเจ็บต้องสูญเสียอวัยวะส่วนนั้นได้*

 

**การขันชะเนาะไม่ถูกต้อง นอกจากไม่สามารถห้ามเลือดได้ ยังอาจทำให้บาดแผลเกิดการบาดเจ็บ และทวีความรุนแรงมากขึ้น**

 

การปฐมพยาบาลกระดูกเชิงกรานหัก

กระดูกเชิงกรานแตกหัก เพราะอุบัติเหตุ ซึ่งอาจเกิดจากการตกจากที่สูง อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือได้รับแรงกระแทกโดยตรงบริเวณสะโพกเชิงกราน หรือแม้แต่การบาดเจ็บออร์โธปิดิกส์ก็มีอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้ากระดูกเชิงกรานหักและมีเลือดตกในอุ้งเชิงกรานหรือช่องท้อง หรือกระดูกท่อนยาวหักและทะลุทำให้มีเลือดออกภายใน และอาจมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น มีการบาดเจ็บที่ช่องท้อง ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ หรือ อวัยวะสืบพันธุ์ 

 

อาการแสดงของกระดูกเชิงกรานหัก

มีอาการเคล็ดและฟกช้ำบริเวณเชิงกรานหัก ยกขาข้างที่อุ้งเชิงกรานหักไม่ได้ขณะนอนหงาย ขาและเท้าข้างที่เจ็บจะแบะออกข้างๆ และอาจสั้นกว่าอีกข้าง เมื่อปัสสาวะอาจมีเลือดปน 

 

การดูแลเบื้องต้นผู้ป่วยกระดูกเชิงกรานหัก ก่อนนำส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล 

1.ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่นิ่งที่สุด เพื่อป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติม และลดการเคลื่อนของชิ้นส่วนกระดูกที่แตกหัก 

2.กรณีที่ผู้ป่วยขยับตัวได้ ก็ให้ขยับตัวช้าๆ ในท่าทางที่ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยที่สุด 

3.ไม่ควรนวดหรือดัดร่างกาย หากไม่แน่ใจว่ามีกระดูกหักหรือไม่ 

4.หากมีบาดแผลเปิด ให้ใช้ผ้าสะอาดปิดบริเวณปากแผล 

5.ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการปวดกระดูก บวมหรือฟกช้ำ 

6.วางผ้าระหว่างขาทั้งสองข้าง ตั้งแต่หัวเข่าจนถึงปลายเท้า จากนั้นใช้ผ้าพันไขว้สลับกันเป็นเลข 8 บริเวณเท้า และพันเข่าทั้ง 2 ข้างให้ชิดกัน เพื่อลดการเคลื่อนไหวบริเวณเชิงกรานให้มากที่สุด  แม้ในขณะทำการเคลื่อนย้าย 

และอย่าลืมทำการติดต่อโทร 1669 แจ้งเหตุทันทีเมื่อเจอเหตุดังกล่าว เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการรอรถพยาบาลนานเกินไป และสามารถใช้เวลาระหว่างรอนั้น ทำการปฐมพยาบาลบาดแผลให้ถูกวิธี เป็นการประคองการบาดเจ็บ และช่วยชะลอความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล เสมือนเป็นการรักษาเบื้องต้น นับเป็นวีธีที่ 1 จนเมื่อไปถึงมือของหมอ จะได้ทำการรับช่วงต่อ เป็นการรักษาขั้นตอนที่ 2 และ 3 , 4 … ตามลำดับขั้นตอนต่อไป 

 

25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองสมโภชพระเยซู เป็นวันสำคัญของผู้นับถือคริสตศาสนา และยังเป็นเทศกาลแห่งความสุขของคนทั่วโลกอีกด้วย แต่เมื่อถึงวันคริสต์มาส อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ลุงเคราขาวอ้วนพุงพลุ้ยในชุดสีแดง ลุงผู้ใจดี เป็นที่รักของทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ แน่นอนว่าจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก “ซานตาคลอส” หรือ ลุงซานต้าของเด็กๆนั่นเอง 

 

ซานตาคลอสคือใคร? 

ซานตาคลอส ที่จริงแล้วไม่ใช่ชายแก่ที่สวมชุดแดง แต่เป็นเศรษฐีใจบุญ และยังเป็นสังฆราชเมืองไมรา แห่งอนาโตเลีย ซึ่งผู้คนมากมายต่างให้ความเคารพรัก นามว่า “เซนต์ นิโคลัส” 

 

เมื่อครั้งที่ (เซนต์) นิโคลัส ยังอาศัยอยู่ทางฝั่งทะเลตอนใต้ของตุรกีกับครอบครัว ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวตลอดเวลา เนื่องจากสมัยนั้นทางโรมันที่ครอบครองแผ่นดิน ยังมีการกดขี่และกวาดล้างพวกนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาบิดามารดาของนิโคลัสเสียชีวิตลง ก็ได้ทิ้งสมบัติให้กับเขามากมาย และด้วยหนุ่มนิโคลัสเป็นคนที่ใจดี รู้สึกสงสารบ้านเด็กหญิงที่ยากจน จึงได้นำถุงเงินไปหย่อนลงทางปล่องไฟ แต่บังเอิญถุงเงินได้ไปตกในถุงเท้าที่แขวนหน้าเตาผิง เมื่อข่าวเด็กหญิงได้พบกับเงินอยู่ในถุงเท้าที่แขวนไว้หน้าเตาผิงสะพัดออกไป ทำให้บ้านหลังอื่นๆนำถุงเท้าแขวนไว้หน้าเตาผิง เผื่อจะได้ของขวัญในวันคริสต์มาสเช่นเดียวกับครอบครัวเด็กหญิงยากจน 

 

ต่อมา นิโคลัส ได้เข้าเป็นนักบวชคริสเตียน อุทิศตนให้กับการเผยแผ่ศาสนา จนได้เลื่อนเป็น บิชอป แล้วได้ย้ายไปเป็นสังฆราชที่เมืองไมรา ซึ่งช่วงเวลานั้น เซนต์ นิโคลัส สามารถทำการประกอบศาสนกิจได้อย่างเต็มที่ เพราะโรมมีการเปลี่ยนการปกครอง และจักรพรรดิองค์ใหม่สนับสนุนศาสนาคริสต์ เซนต์ นิโคลัส ได้อุทิศตนและทำการเผยแผ่ศาสนาคริสต์จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว ก่อนจะมรภาพวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.343 และผู้คนที่ให้ความเคารพและศรัทธา เซนต์ นิโคลัส ได้ร่วมกันสร้างโบสถ์เพื่อเก็บกระดูกท่านไว้ที่เมืองไมรา และได้ปรากฏเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น มีน้ำมนต์ไหลออกมาจากกระดูกของท่าน เรียกว่า “มานนา” จนเป็นที่ฮือฮาและสร้างชื่อเสียงให้กับสถานที่แห่งนี้ 

 

 

กระทั่งต่อมา ชาวเมืองบารี ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในอิตาลี ได้ว่าจ้างนักโจรกรรมเพื่อไปทำการขโมยกระดูกของ เซนต์ นิโคลัส ที่ในโบสถ์เมืองไมรา นำกลับมาไว้ดึงดูดผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยวมายังเมืองบารี เมื่อทำการโจรกรรมสำเร็จ ชาวบารีก็ได้สร้างโบสถ์เพื่อบรรจุกระดูกนักบุญแห่งเมืองไมรา และน้ำมนต์ก็ยังคงไหลออกมาจากกระดูก ได้มีนักบุญนำน้ำมนต์นี้ไปรักษาโรคแล้วได้ผลชะงัด สร้างชื่อเสียงให้กับสถานที่แห่งนี้ จนผู้คนหลั่งไหลมาเยี่ยมชมกันอย่างล้นหลาม 

ต่อมาในศตวรรษที่ 12 ชาวเมืองฝรั่งเศสได้กำหนดให้วันมรภาพของ เซนต์นิโคลัส ที่ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม เป็น “วันเซนต์นิโคลัส” และได้นำอาหารหรือขนมต่างๆ ใส่ลงในถุงเท้าแล้วนำไปแขวนไว้หน้าบ้านคนยากไร้ เพื่อเป็นของขวัญซานตาคลอส ทำตามแบบอย่างเซนต์นิโคลัส จนกระทั่งเป็นประเพณีที่แพร่ไปทั่วยุโรปและอเมริกา และได้มีการผนวกวันเซนต์นิโคลัสเข้าด้วยกันกับวันคริสต์มาสจนมาถึงปัจจุบัน 

 

ทำไมซานตาคลอสใส่ชุดสีแดง?

ก่อนจะมาเป็นภาพซานตาคลอสหนวดยาว หุ่นหมี สวมชุดแดง ที่เรารู้จักและจดจำเป็นภาพสัญลักษณ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ จะเป็นภาพชายร่างผอมสูงในชุดเสื้อคลุมบิชอปสีแทน หรือบางครั้งก็สวมเสื้อสีเขียว แต่ผู้ที่ทำการเปลี่ยนลุคให้ภาพซานตาคลอสแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คือ “โธมัส นาสต์” 

 

นักวาดการ์ตูน นามว่า โธมัส นาสต์ (Thomas Nast) ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์จากนักบุญชุดเขียว ให้เป็นชายหุ่นหมี หน้าตาใจดี สวมผ้าขนสัตว์และหมวกสีแดง มียานพาหนะคือ “เลื่อน” และขับเคลื่อนโดยกวางเรนเดียร์ลาก ซึ่งอาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ และจะปรากฏตัวในวันคริสต์มาส เพื่อนำของขวัญมาให้เด็กๆที่แขวนถุงเท้าไว้ ด้วยการปีนลงทางปล่องไฟของบ้านนั่นเอง และโฉมใหม่ของซานตาคลอสก็ได้ปรากฏครั้งแรกบนนิตยสาร Harper’s Weekly ปี 1862 

 

ลุคใหม่ของซานตาคลอสชุดแดงเป็นที่ถูกใจบริษัท โคคา-โคลา ด้วยสีแดงของชุดไปตรงกับสีของแบรนด์พอดี จึงเลือกลุงซานตาหุ่นหมีในชุดแดงเป็นตัวแทนแคมเปญคริสต์มาส และได้มีการตีพิมพ์ในนิตยสาร The Saturday Evening Post ในปี 1920 ต่อมาในปี 1930 เฟรดเดอริค ไมเซน (Frederic Mizen) วาดรูปซานตาคลอสยกขวดโค้กขึ้นดื่มโดยมีเด็กๆยืนห้อมล้อม และใช้รูปนี้ทำการโปรโมทในเทศกาลคริสต์มาส

 

Santa Claus, beautiful Christmas toy

 

โคคา-โคล่า ต้องการเพิ่มความชัดเจนของภาพซานตาคลอสและโค้กมากขึ้น จึงว่าจ้างเอเจนซี่โฆษณา D’Arcy Advertising ในปี 1931 โดยมีจิตรกรจากรัฐมิชิแกน ชื่อ แฮดดัน ซันด์บลอม (Haddon Sundblom) เป็นผู้ปรับโฉมลุงซานต้า ให้เป็นชายสูงวัยร่างใหญ่ในชุดแดง ที่ดูร่าเริง และมีเสียงหัวเราะแห่งความสุขตลอดเวลา 

 

แฮดดัน ซันด์บลอม ได้วาดภาพซานตา หรือซานตาคลอส เพื่อการโฆษณายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้ภาพจำแซนต้าคลอสของทุกคน คือ ชายสูงวัย ร่างใหญ่ หน้าตาใจดี มาจนถึงยุคปัจจุบัน  

 

แต่ไม่ว่าซานตาคลอสใส่ชุดสีอะไร จะเป็นนักบุญสูงโปร่งในชุดบิชอปสีแทน หรือจะเป็นชายแก่หุ่นหมีสวมชุดแดง ก็เป็นลุงซานต้าผู้ใจดีที่ใครๆก็รู้จัก และเด็กๆทั่วโลกก็ปรารถนาจะพบในวันคริสต์มาสเป็นที่สุด

 

ซานตาคลอสอยู่ที่ไหน? 

 

หลายๆคนรู้มาว่า ถิ่นกำเนิดของซานตาคลอสคือ ประเทศฟินแลนด์ และมีหมู่บ้านซานตาคลอส ที่ตั้งอยู่ในเมืองโรวาเนียมิ ทางตอนเหนือของประเทศฟินแลนด์ ทำไมถึงกล่าวว่าที่แห่งนี้ เป็นถิ่นกำเนิดซานตาคลอส และมีหมู่บ้านซาตาคลอส ในเมื่อ เซนต์นิโคลัส ผู้เป็นซานตาตัวจริง มีถิ่นฐานอยู่ที่ตุรกี ?

 

สาเหตุที่มีหมู่บ้านซานตาคลอสใน โรวาเนียมิ เริ่มจากที่ เมื่อปีค.ศ. 1927 นาย มาร์คัส โรว์ติโอ นักจัดรายการวิทยุชาวฟินแลนด์ ได้พูดออกอากาศว่าโรงงานผลิตของเล่นของซานตาคลอส ตั้งอยู่ในเขตแลปแลนด์ ด้วยประโยคนั้นเอง ทำให้มีคนไปตีความและเข้าใจว่าบ้านของซานต้าอยู่ที่แลปแลนด์ ต่อมาในปี 1984 การท่องเที่ยวของฟินแลนด์ ได้มีไอเดียและจัดการสร้างหมู่บ้านซานตาคลอสขึ้นในเมืองโรวาเนียมิ เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเมื่อหมู่บ้านซานต้าดำเนินการเสร็จ มีผู้คนให้ความสนใจและเดินทางเพื่อเยี่ยมชมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

 

 

แต่ถ้าจะมีคำถามว่า แล้วซานตาคลอสตัวจริงคือใครกันแน่? แน่นอนว่าก็ต้องเป็น เซนต์ นิโคลัส นักบุญผู้อุทิศตนให้กับคริสตศาสนา เพียงแต่อาจมีภาพลักษณ์ที่ถูกปรับแต่งใหม่ จนคนรุ่นหลังๆรู้แต่ภาพชายแก่หนวดขาว ร่างใหญ่ พุงพลุ้ย ใจดี อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ และกวางเรนเดียร์เป็นสารถีคู่ใจ คอยมาแจกของขวัญให้ผู้คนในวันคริสต์มาส พร้อมเสียงห้วเราะแห่งความสุข โฮะโฮะโฮะ! Mary Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาสทุกคน 

 

 

 

มีชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า “คนฝรั่งเศสมักจะนิยมทานครัวซองต์เป็นอาหารเช้า เคียงกับกาแฟ นม หรือโยเกิร์ต ซึ่งนั่นเป็นอาหารเช้าที่ดีในเช้าวันใหม่เลยทีเดียว” 

 

ครัวซองต์ (Croissant) ขนมอบฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อ แต่ไม่ได้มีที่มาจากฝรั่งเศส แล้วครัวซองต์มาจากไหน และทำไมถึงชื่อครัวซองต์ เรามาหาคำตอบจากในบทความนี้กัน 

 

ครัวซองต์ เป็นขนมอบเนยแบบแป้งพาย ที่รีดแป้งเป็นชั้นๆ ก่อนนำเข้าเตาอบ มีลักษณะผิวนอกกรอบ แต่นิ่มใน หอมกรุ่น นุ่มเนย ครัวซองต์ดั้งเดิมจะไม่มีไส้ เป็นเพียงแป้งและเนย จนพัฒนาสูตรและปรับเพิ่ม ทำให้ปัจจุบันมีครัวซองต์หลากหลายขึ้น ทั้งแบบมีไส้และไม่มีไส้ รวมไปถึงรูปทรงก็มีให้เลือกมากขึ้น 

ก่อนจะมาเป็นขนมครัวซองต์ 

ครัวซองต์จะว่าเป็นขนมของฝรั่งเศสก็ไม่ผิด แต่มีต้นกำเนิดมาจากเวียนนา ประเทศออสเตรีย เริ่มจากที่พระนางมารี อ็องตัวแน็ต เจ้าหญิงจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แล้วทรงย้ายมาประทับที่ฝรั่งเศส แล้วเกิดคิดถึงบ้าน รวมไปถึงขนม “คิปเฟล” (Kipferl) ขนมรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นขนมของเวียนนา จึงสั่งให้พ่อครัวทำขนมคิปเฟลขึ้น แต่พ่อครัวได้ใช้กรรมวิธีและเนื้อแป้งที่ได้ต่างจากคิปเฟลออกไป จนเกิดเป็นครัวซองต์ เป็นที่นิยมในชนชั้นสูง   

 

คิปเฟล (Kipferl) ขนมพระจันทร์เสี้ยว ต้นกำเนิด ครัวซองต์  จากออสเตรียสู่ฝรั่งเศส 

เมื่อย้อนไปช่วงราวๆ ปี 1683 ในเหตุการณ์สงครามระหว่างเติร์กและเวียนนา จักรวรรดิออตโตมัน ได้ทำการยกทัพไปปิดล้อมเมืองเวียนนา เพื่อจะทำการยึด แต่หลายวันแล้วก็ยังไม่สามารถทำลายกำแพงเมืองเวียนนาได้ จึงคิดอุบายขุดอุโมงค์ลอดใต้กำแพง เพื่อจะเข้าไปโจมตีด้านในเมืองให้ได้  แต่ในขณะนั้นคนทำขนมปังได้เข้าเวรดึก เมื่อได้ยินเสียงการขุดเจาะอุโมงค์ของเหล่าทหารฝ่ายเติร์ก จึงส่งสัญญาณเตือนเพื่อแจ้งทหาร และทำการร่วมมือกันกับทหารของพระเจ้าจอห์นที่ 3 แห่งเมืองโปแลนด์ มาขับไล่กองทัพเติร์ก จนเมื่อได้รับชัยชนะ เชฟและคนทำขนมก็ได้เป็นผู้ผลิตขนมปังพระจันทร์เสี้ยว เลียนแบบสัญลักษณ์บนธงของเติร์ก และเรียกขนมนี้ว่า “คิปเฟล” ที่มีความหมายในภาษาเยอรมันว่า “พระจันทร์เสี้ยว”  

 

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อพระนางมารี อ็องตัวแน็ต ได้ทรงย้ายไปประทับที่ประเทศฝรั่งเศส และได้สั่งให้เชฟทำคิปเฟล แต่ได้ขนมที่มีการดัดแปลงออกไปจนเป็น “Croissant” ที่เป็นชื่อฝรั่งเศส และมีความหมายว่า “พระจันทร์เสี้ยว” และเป็นขนมที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆในฝรั่งเศส จนกระทั่งปี 1839 ทหารออสเตรียชื่อ August Zang เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่สไตล์เวียนนาร้านแรกที่เปิดในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ได้ดัดแปลงในการทำขนมคิปเฟล โดยใช้แป้งคนละตัวกับที่ใช้ทำคิปเฟลแบบเดิมๆ ทำให้ได้คิปเฟลที่มีความใกล้เคียงกับครัวซองต์มากขึ้น และคิปเฟลในแบบของ August สร้างแรงบันดาลใจให้กับเชฟเบเกอรี่ฝรั่งเศสมากมาย และได้มีการนำไปต่อยอด โดยเฉพาะ Sylvain Claudius Goy คนทำขนมของประเทศฝรั่งเศส  ที่ได้ปรับสูตร ใช้ยีสต์และเนย พร้อมกับการใช้รูปแบบการอบใหม่ จนได้รูปแบบที่ออกมาอย่างหน้าตา ที่เราๆเห็นและทานกันในปัจจุบัน 

ความแตกต่างระหว่าง ครัวซองต์ และ คิปเฟล 

ครัวซองต์จะเป็นขนมอบที่มีทั้งไส้ และแบบที่ไม่มีไส้ เป็นแป้งเพียวๆ เนื้อบาง แต่กรอบ ในขณะที่คิปเฟลจะเนื้อเนียน ไม่กรอบ และไม่ฟู และเมื่อมีการปรับสูตรขนมสไตล์ฝรั่งเศส มีการเพิ่มยีสต์ นม  เนย และการอบให้กรอบ ยิ่งเพิ่มเทกซ์เจอร์ จนต้องมีมาตรฐานครัวซองต์ 

 

มาตรฐานของครัวซองต์ที่ดี

มาตรฐานของครัวซองต์ที่ดีจะต้องมีความพองฟู กรอบนอก นุ่มใน หอมเนยสดทั่วทั้งชิ้น ใช้นิ้วกดแล้วคืนตัว บีบหรือกัดแล้วแตกร่วน 

 

ชนิดของครัวซองต์ 

ครัวซองต์มีหลากรูปแบบ และหลายรสชาติ ซึ่งก็แล้วแต่ซิกเนเจอร์ของแต่ละร้าน แต่ส่วนใหญ่ที่เราจะพบในประเทศไทย จะเป็นแบบ Plain Croissant หรือ Straight Croissant เป็นครัวซ็องแบบดั้งเดิม มีลักษณะเป็นทรงตรงยาว เป็นรุ่นคลาสสิคที่สามารถพบเห็นได้ในร้านเบเกอรี่ คาเฟ่ และร้านขนมต่างๆ ที่มีขายเบเกอรี่ ซึ่งมีทั้งแบบมีไส้ และไม่มีไส้ 

 

ครัวซ็องชนิด Crescent Croissant มีทรงรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวคล้ายๆกับคิปเฟล แต่จะค่อนข้างกลมกว่า และหยิบทานได้ง่าย และครัวซองต์ Crescent Croissant ราคาจะถูกกว่าครัวซองต์ Straight Croissant 

 

ต่อมาก็ได้ดัดแปลงจนเกิดครัวซองต์ทรง Diamond Croissant เป็นทรงที่นิยมนำมารังสรรค์ใส่ไส้ต่างๆ มากที่สุด เนื่องจากมีเนื้อที่ให้ใส่ไส้ได้กว้างกว่าแบบ Straight Croissant และพบได้แทบทุกร้านค้าเช่นกัน 

 

และครัวซองต์ Laugen Croissant จะมีลักษณะคล้ายกับครัวซองต์ดั้งเดิม หรือแบบ Straight Croissant แต่จะเพิ่มเนยแบบเข้มข้น ทำให้ได้สีน้ำตาล หรือน้ำตาลเข้ม และปัจจุบันมีหลายร้านที่มีขายครัวซองต์ Flaky Croissant มีหลายไส้หลายแบบ แบบหน้าต่างๆ และตัดแต่งแป้งให้เห็นไส้ในชัดเจน เช่น ครัวซองต์แฮมชีสต์  ครัวซองต์นูเทลล่า ครัวซองอัลมอนด์ ฯลฯ เป็นเมนูที่นิยมหลากหลายกลุ่มเลยทีเดียว 

 

ทำไมครัวซองต์มีรูปร่างแตกต่างกัน

แม้ว่าต้นกำเนิดของครัวซองต์จะมาจาก คิปเฟล ที่มีรูปร่างเป็นพระจันทร์เสี้ยว แต่คนฝรั่งเศสไม่ค่อยนิยมครัวซองต์ Crescent Croissant ที่เป็นทรงพระจันทร์เสี้ยว แต่จะนิยม Straight Croissant  ครัวซองต์ทรงตรง และ Diamond Croissant เพราะใช้เนยแท้หรือเนยสด ในขณะที่ครัวซองต์ทรงพระจันทร์เสี้ยวจะใช้มาการีนหรือเนยเทียม 

ส่วนประกอบของครัวซองต์ 

ส่วนประกอบในการทำครัวซองต์หลักๆ จะแบ่งเป็นในส่วนของแป้งโดว์ และส่วนประกอบอื่นๆ 

แป้งโดว์ : แป้งฝรั่งเศส T55 หรือแป้งอเนกประสงค์ไม่ฟอกขาว น้ำเย็น นมเย็น น้ำตาลทราย เนยจืด ยีสต์ และ เกลือ 

ส่วนผสมอื่นๆ : เนยจืดแช่เย็น (สำหรับขึ้นรูป) ไข่ (ไว้ทาผิวครัวซองต์ก่อนอบ) และไส้ต่างๆ (หากทำครัวซองต์แบบมีไส้) 

 

เรามีวิธีทำครัวซองแบบพอสังเขปมาฝาก แต่ปริมาณส่วนผสมขึ้นอยู่กับสูตรที่เลือก

 

วิธีทำ

นำส่วนผสมแป้งโดว์ คือ แป้ง นม น้ำตาล ยีสต์ เกลือ เนยสด ผสมทุกอย่างในสัดส่วนตามสูตร ใช้พายยางคนให้เข้ากันก่อนจะเติมน้ำเย็นลงไปผสม นวดแป้งให้เนื้อแป้งเรียบเนียน รีดเป็นแผ่นแบนๆ แล้วแรปก่อนนำไปแช่ในช่องแช่แข็งตู้เย็นข้ามคืน จากนั้นย้ายมาใช้ช่องแช่เย็น 

 

แช่เนยไว้ให้เนื้อพอดี ตัดเนยให้มีความหนาประมาณ 1.25 เซนติเมตร นำวางเรียงบนกระดาษไขแล้วห่อให้เรียบร้อย นำแป้งมารีดให้มีความหนาเท่ากันทั่วทั้งแผ่น จากนั้นนำเนยมาเรียง แล้วพับแป้งปิดเนยให้สนิท กดเบาๆเพื่อปิดรอยตะเข็บแป้ง 

 

ขั้นตอนการรีดนั้นเนื้อแป้งและเนยต้องเย็น ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป การรีดแป้งและเข้าแช่ตู้เย็นสลับกันหลายครั้ง ก่อนนำมาตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วม้วนจนได้เป็นทรงครัวซอง อบจนสุกทั่วชิ้น จนได้สีเหลืองทอง ส่วนจะใส่ไส้อะไรเพิ่มเติม เลือกตามความชอบ

 

จากเดิมที่เป็นเพียงแค่ขนมปังอบเนยไร้ไส้ แต่ปัจจุบันไม่ได้มีแค่เพียงรูปจันทร์เสี้ยว และมีการแต่งเติมหลากหลาย เพื่อให้ได้เลือกความอร่อยตามแต่ชอบที่แตกต่างไปของแต่ละคนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำผลไม้แห้ง หรือธัญพืชเข้ามาเป็นองค์ประกอบในการตกแต่ง เช่น ลูกเกด อัลมอลด์ อินทผาลัม  

 

ทุกๆวันที่ 30 มกราคมของทุกปีจะเป็นวัน “National Croissant Day” เป็นการรำลึกถึงชัยชนะของเวียนนาในสงครามระหว่างเวียนนา-เติร์ก ทำให้เกิดต้นตระกูลครัวซองต์ และยังให้เครดิตกับ August Zang เจ้าของร้านเบเกอรี่สไตล์เวียนนาร้านแรกในกรุงปารีส ผู้ที่ทำให้ครัวซองต์เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน