ผวากันทั่วโลกเมื่อพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่อาจน่ากลัวกว่าสายพันธุ์เดลต้า 

 

ด้วยขณะนี้ทั่วโลกได้มีการผวา เมื่อพบว่ามีการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่แล้วทั่วโลก ใน 13 ประเทศ และมีการยืนยันแล้วถึง 115 คนด้วยกัน 

 

อิสราเอล เตรียมปิดประเทศชาติแรกของโลก หลังจากพบผู้ติดเชื้อโอไมครอน แล้ว 2 ราย หลังเดินทางกลับจากแอฟริกาใต้ และได้มีการระบาดโผล่หลายประเทศแล้ว โดยจะเริ่มทำการปิดประเทศเที่ยงคืนของวันที่ 28 พฤศจิกายน ซึ่งเชื่อมต่อวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ในขณะที่อีกหลายประเทศก็เริ่มมีการห้ามผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงในแอฟริกาใต้เข้าประเทศแล้ว ซึ่งประเทศไทยเองแม้จะไม่ได้ปิดประเทศ แต่ก็ได้มีมาตรการห้ามกลุ่มประเทศเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย

กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการเฝ้าระวังเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ ชนิด B.1.1.529 หรือที่เรียกว่า โอไมครอน ซึ่งทางกรมฯเองได้มีการติดตามเฝ้าระวัง และมีกำหนดการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ โดยประเทศที่พบและเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ B.1.1.529 8 ประเทศ ได้แก่ ประเทศ เซาท์แอฟริกา บอตสวานา เอสวาตินี มาลาวี นามิเบีย เลโซโท ซิมบับเว และ โมซัมบิก 

 

ซึ่งผู้ที่เดินทางมาจากทั้ง 8 ประเทศนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทย รวมไปถึงไม่อนุญาตการลงทะเบียนเพื่อเข้สู่ประเทศไทยในระบบต่างๆแล้ว ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน เป็นต้นไป  ส่วนผู้ที่เดินทางมาก่อนหน้านี้นั้น ถือว่าเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง จะต้องมีการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน นี้ โดยจะต้องมีการตรวจคัดกรอง 3 ครั้ง ในช่วงวันที่ 1 วันที่ 5 และวันที่ 13 ที่เดินทางมาถึงประเทศไทย

ไวรัสโอไมครอนถูกพบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ตามด้วยประเทศบอตสวานา และอีกหลายประเทศในแอฟริกาใต้ แต่ขณะนี้ก็ได้มีการแพร่ระบาดไปนอกทวีปแอฟริกาใต้แล้ว ได้แก่ ประเทศ อังกฤษ เบลเยี่ยม อิตาลี เยอรมนี อิสราเอล และ ฮ่องกง รวมถึงอาจมีผู้ติดเชื้อในสาธารณรัฐเช็ก และ เนเธอร์แลนด์ โดยส่วนใหญ่จะมาจากผู้ที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้ และประเทศกลุ่มเสี่ยง แล้วมีการติดเชื้อระหว่างการกักตัว ก่อนจะลุกลามขยายเป็นวงกว้างขึ้น

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการตั้งชื่อสายพันธุ์โควิดกลายพันธุ์ B.1.1.529 ว่า “โอไมครอน”เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 โดยมาจากการเรียกชื่อตามลำดับอักษรกรีก พร้อมให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล ด้วยจากการแพร่กระจายตัวได้เร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆที่ผ่านมา 

ได้มีการเผยแพร่ภาพถ่ายเชื้อไวร้สโควิดกลายพันธุ์ โอไมครอน ที่เป็นภาพแรกของโลก จากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากโรงพยาบาลเด็กแบมบิโนจีซู ในกรุงโรม จากอิตาลี (27พ.ย.64) ภาพถ่ายแสดงให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งหนามโปรตีน มากถึง 32 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าสายพันธุ์เดลต้า ถึง 3.5 เท่า ในขณะที่สายพันธุ์เดลต้ากลายพันธุ์ที่ส่วนหนามเพียง 9 ตำแหน่ง ทำให้องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ โอไมครอน อยู่ในกลุ่มรุนแรงสูงสุดหรือกลุ่มที่น่ากังวล (VOC : Variant of Concern) ณ ขณะนี้

 

ที่ผ่านมาได้มีการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 มาตลอด โดยจะมีไวรัสที่ต้องให้ความสนใจ (VOI : Variant of Interest) มี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์แลมป์ด้า และ สายพันธุ์มิว ส่วนไวรัสที่ควรติดตาม (VUM : Variant of Under Monitoring) จะมีทั้งหมด 7 ตัว แต่หากจัดเรียงความรุนแรงไวรัสที่น่ากังวล (VOC) ประกอบด้วย 

  • สายพันธุ์อัลฟ่า (สายพันธุ์อังกฤษ) 
  • สายพันธุ์เบลต้า (สายพันธุ์แอฟริก)
  • สายพันธุ์แกมมา (สายพันธุ์บราซิล) 
  • สายพันธุ์เดลต้า (สายพันธุ์อินเดีย) 
  • สายพันธุ์โอไมครอน (สายพันธุ์แอฟริกาใต้) 

โดยการจัดกลุ่มไวรัสดังกล่าวจะใช้องค์ประกอบดังนี้ 

  • การเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรม ที่ทำให้มีการแพร่ระบาดกว้างขวางมากขั้น ความรุนแรงของโรค และความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันหรือวัคซีน
  • การแพร่ระบาดในชุมชน และคลัสเตอร์ในหลายประเทศ 

 

จากการกลายพันธุ์ทั้งหมดที่ผ่านมา พบว่าสายพันธุ์โอไมครอนมีการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมมากที่สุด โดยมีมากกว่า 50 ตำแหน่ง และมีการเปลี่ยนแปลงตรงส่วนหนามที่ใช้ก่อโรคในมนุษย์ มากถึง 32 ตำแหน่งด้วย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังระบาดอยู่ ณ ขณะนี้ มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งของหนามเพียง 9 ตำแหน่ง ส่งผลให้เชื้อโอไมครอนสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าเดิม แพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็ว จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลและควรติดตามในสายพันธุ์นี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังไม่เคยมีการกลายพันธุ์ที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะกลายพันธุ์โปรตีนส่วนหนาม

ด้วยความสามารถของโอไมครอนที่สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้า รวมไปถึงเมื่อติดเชื้อแล้วก็ไม่แสดงอาการ ทำให้มีการแพร่กระจายโดยไม่รู้ตัว และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว

จึงต้องมีการเฝ้าระวังและจับตามองอย่างใกล้ชิด ความรุนแรงอาการของโรค และอัตราการเสียชีวิตจากสายพันธุ์นี้จะมีมากน้อยเพียงใด ประเด็นที่สำคัญคือ จะมีการดื้อหรือต้านวัคซีนหรือไม่ 

 

ดูได้จาก ออสเตรเลียที่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้แล้ว 2 ราย ซึ่งเดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งทั้ง 2 คน ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วทั้ง 2 เข็ม แต่การติดเชื้อรอบนี้เป็นการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ รวมไปถึง ผู้โดยสารจากแอฟริกาใต้ จำนวน 61 คน จาก 2 เที่ยวบิน ที่เดินทางสู่เนเธอร์แลนด์ มีเชื้อโควิด-19 เป็นบวก ที่อยู่ระหว่างการกักตัวใกล้อากาศยานสคิปโฮล อัมสเตอร์ดัม ทั้งที่มีการเอกสารการตรวจหาเชื้อโควิดเป็นลบ และได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเดินทาง ทำให้เป็นที่น่ากังวลว่าจะมีเชื้อสายพันธ์ุใหม่นี้ด้วยหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจจะขยายเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ ซึ่งจะเป็นพาหะของเชื้อได้อย่างดี 

อาการของผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน 

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 แพทย์หญิง แแองเจลิเก้ โคเอตซี ประธานแพทยสภาแอฟริกาใต้ ผู้ที่ออกมาเตือนเรื่องเชื้อไวรัสโอไมครอนเป็นคนแรก ได้กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้พบโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ จากผู้ติดเชื้อที่คลินิกในกรุงพริทอเรีย พบผู้ที่มีอาการผิดแปลกไปจากผู้ติดเชื้อรายอื่นๆ ในผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ 24 ราย โดยส่วนหนึ่งจะเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และมีสุขภาพแข็งแรงดี จะมีลักษณะอาการที่ไม่ปกติแต่ไม่รุนแรง ในกลุ่มผู้ที่มีสุขภาพดีและแข็งแรง จะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ ไอ ปวดเมื่อยตามร่างกายและกล้ามเนื้อ แต่ในจำนวนทั้งหมดนี้ไม่มีการสูญเสียการรับรสและการได้กลิ่น และอีกเคสที่น่าสนใจคือ เด็กหญิงวัย 6 ขวบ ที่มีอาการตัวร้อน อัตราการเต้นหัวใจสูง และอาจจะต้องทำการแอดมิต แต่หลังผ่านไป 2 วัน ก็มีอาการดีขึ้น ซึ่งลักษณะอาการเหล่านี้ยังถือว่าเป็นอาการเบื้องต้นที่พบได้ในขณะนี้ ยังต้องทำการศึกษาความรุนแรงของอาการต่อไป เพราะในขณะเดียวกันก็พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนที่อิตาลี เป็นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ก็ยังได้รับการติดเชื้อเช่นกัน 

ระวังการใช้ชุดตรวจบางยี่ห้ออาจให้ผลตรวจเป็นลบปลอม 

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ดาวน์โหลดรหันพันธุกรรมทั้งจีโนมของ โอไมครอน ทั้ง 115 ตัวอย่าง ทดสอบด้วยวิธีชีวสารสนเทศกับตัวตรวจ ของชุดตรวจ PCR ที่ทาง WHO ให้การรับรอง ปรากฏว่าการวิเคราะห์ผลบนคอมพิวเตอร์ทั้ง 115 ตัวอย่าง อาจมีปัญหากับชุดตตรวจ PCR บางยี่ห้อ ทำให้อาจตรวจจับจีโนมสายพันธุ์โอไมครอนได้ไม่ดีหรือไม่ได้เลย ทำให้ผลบวกที่อ่อนลง หรือได้ผลลบปลอมได้  

5 ยักษ์ใหญ่วัคซีนเร่งพัฒนาวัคซีนต้านโอไมครอน  

 

บริษัท Moderna ผู้ผลิตวัคซีนโมเดอร์น่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการเพิ่มปริมาณวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิจาก 50 ไมโครกรัม เป็น 100 ไมโครกรัม โดยศึกษาเข็มกระตุ้นเข็ม 2 เพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ และจะเร่งพัฒนาเข็มที่ช่วยกระตุ้นภูมิเพื่อป้องกันสายพันธุ์โอไมครอนโดยเฉพาะ ในขณะที่ Johnson & Johnson ของสหรัฐฯเช่นเดียวกัน ได้เริ่มการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนกับไวรัสโอไมครอนแล้ว 

 

ในส่วน BioNTech ของเยอรมนี และ บริษัท Pfizer ของสหรัฐอเมริกา ได้คาดว่าจะสามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโอไมครอนได้ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อทำการวิเคราะห์ว่าควรมีการปรับปรุงวัคซีนที่ใช้อยู่ปัจจุบันหรือไม่ หากต้องปรับปรุง ก็จะสามารถดำเนินการเพื่อต้านสายพันธุ์โอไมครอนโดยเฉพาะได้ภายในเวลาประมาณ 100 วัน 

 

ในขณะที่วัคซีนของโนวาแวกซ์ ระบุว่าได้มีการพัฒนาหนามโปรตีนที่มีพื้นฐาน เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โอไมครอน โดยเฉพาะแล้ว 

 

ซึ่งจะมีการพัฒนาวัคซีนไปในรูปแบบไหน และความรุนแรงของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอเมครอนจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็ต้องเฝ้าจับตาระวังอย่างใกล้ชิด และจะต้องไม่อยู่ในความประมาท แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม ยังคงต้องใช้มาตรการเดิม ใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้านหรือต้องพบเจอผู้คน เว้นระยะห่าง ล้างมือ พกเจลแอลกอฮอล์ไว้ทำความสะอาดบ่อยๆ ไม่ว่าอย่างไร การไม่ประมาท และตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ยังคงใช้ได้เสมอมา 

โลกของการทำงาน ไม่ว่าใครก็ต้องการความสำเร็จ ไม่ว่าจะสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ สำเร็จในงานที่ได้รับมอบหมาย สำเร็จในเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ซึ่งทฤษฎีความสำเร็จนั่นมีมากมายหลายสูตร ในการนำมาใช้แก้ปัญหา เพื่อให้สมปรารถนาที่มุ่งหวังและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้สำเร็จทุกคน ถ้าอย่างนั้นเรามาดูธรรมะที่ใช้ในการทำงาน ดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ นั่นคือ อิทธิบาท 4  

อิทธิบาท 4 คือ เครื่องมือแห่งความสำเร็จ เป็นข้อธรรมะสำหรับไว้ใช้ในการงาน และสามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกกิจกรรม เพื่อให้ประสบความสำเร็จ โดยมีหัวข้อธรรม 4 ประการที่ประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา และอิทธิบาท 4 ภาษาอังกฤษที่จะให้มีความหมายใกล้เคียงที่สุดก็จะเป็นคำ Basis for success หรือ Basis of Power and Potency

ข้อธรรมอิทธิบาทนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศไทยหรือเพียงแค่ผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับการนำไปยึดถือปฏิบัติได้ทุกเชื้อชาติและทุกศาสนาทั่วโลก เพราะเป็นข้อธรรมที่ไม่จำกัด แต่ไว้เป็นหลักในการปฏิบัติกับทุกกิจการงาน ดังนั้นเราอาจจะมีคำภาษาอังกฤษประกอบไว้เล็กน้อยสำหรับใครที่ต้องการจะแนะนำเพื่อนต่างชาติได้รู้จักและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน 

หลักธรรมอิทธิบาท 4 (Effective means to attain successes)

1.ฉันทะ (Passion / Aspiration) มีใจรัก ศรัทธา และเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ 

ฉันทะ แปลว่า ความรัก ความรักความพอใจในงานที่ทำ ซึ่งสิ่งแรกที่เราควรจะมีในการทำสิ่งใดก็ตาม นั่นคือความรักในสิ่งนั้น หากลองสำรวจตัวเองและตั้งคำถามง่ายๆว่ารักในงานที่กำลังทำอยู่หรือไม่  มีความพอใจในสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าหรือเปล่า มาทำงานเพื่ออะไร มีความสุขกับสถานการณ์ของงานแค่ไหน หากไม่มีความสุขกับงานที่ทำ อาจลองปรับศรัทธาของตนให้เข้ากับงานที่ทำ หรืออาจปรับเปลี่ยนหนทางในสิ่งที่ตนรักหรือมีความชำนาญ  

แต่เชื่อเถอะว่างานทุกอย่างไม่มีใครชื่นชอบไปหมดทุกคน อาจทำด้วยต้องเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว หรือทำเพื่อให้รู้สึกตัวเองมีคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ หรืออาจทำเพื่อรับรองสถานะบางประการ แต่อาจมีหลายคนโชคดีที่ได้ทำงานที่รักที่สนใจอยู่แล้ว ทำให้งานออกมาดีเป็นที่น่าพอใจ  แต่ผู้คนอีกไม่น้อยที่ไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่งานที่รัก แต่ก็พยายามที่จะปรับมุมความคิด สร้างความพอใจให้กับตัวเองในการทำงานได้ อาจด้วยวิธีต่างๆ อาทิเช่น การมีงานทำย่อมดีกว่าไร้งาน ไร้เงินเลี้ยงชีพและจุนเจือครอบครัว ยังมีคนอีกมากมายที่ดิ้นรนเพื่อให้มีงานทำ ฯลฯ หากตอนแรกยังคงไม่มีความพอใจงาน แต่การหมั่นคิดดีและสร้างความพอใจให้ตนเองสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ก้าวข้ามความไม่ชอบ และอาจพึงพอใจและรักในงานตรงหน้าได้สักวัน เพราะการทำงานด้วยความพอใจในสิ่งที่ทำ ผลงานย่อมออกมาดีเสมอ 

2.วิริยะ (Diligence / Effort) ความอดทนอดกลั้น พยายามทุ่มเท 

วิริยะ คือ ความเพียร ความขยันหมั่นเพียรกับงานหรือสิ่งที่ทำ เพราะทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความขยัน ความเพียรพยายามในงานที่ทำอยู่ เพื่อให้บรรลุไปสู่ปลายทางแห่งความสำเร็จ ยิ่งมีความขยันเท่าไร งานก็จะสำเร็จได้เร็วขึ้น ซึ่งข้อนี้จะต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมาก ในการที่จะไม่ละทิ้งความพยายาม แม้จะเจออุปสรรคใดๆ ดังนั้นวิริยะจึงเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่จะพาคุณไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จ แต่ความเพียรนี้ก็ต้องอาศัยข้อฉันทะ ความรักเข้ามาเป็นที่ตั้งด้วยจึงจะเกิดความเพียรนี้ได้เต็มร้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความขยันไม่ใช่การทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย ทำงานแบบไม่คำนึงถึงสุขภาพตนเอง ทำงานจนไม่พักผ่อน แบบนั้นไม่ได้เข้าในข้อวิริยะ เพราะความเพียรนี้คือการฝึกฝนตนเอง และสร้างความกระตือรืนร้นให้ตนเองแบบมีสติ เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จได้เร็วขึ้น 

เฉกเช่นพระมหาชนก หนึ่งในงานพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “ในหลวง” รัชกาลที่ 9 ทรงสอนเรื่องของความเพียรพยายาม จาก “มหาชนกชาดก”  ในพระไตรปิฎก โดยมีการปรับแต่งให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น โดยในเรื่องเน้นถึงความเพียรของผู้เป็นหลานของกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหะ และมีพระนามเดียวกับผู้เป็นอัยกา(ปู่)ว่า “พระมหาชนก”  ซึ่งในเรื่องได้กล่าวถึงความวิริยะอุตสาหะของพระมหาชกที่พากเพียรในการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร 7 วัน หลังจากที่กำลังล่องเรือพาณิชย์อยู่ในมหาสมุทรแล้วต้องเจอกับคลื่นยักษ์จนเรืออับปาง ระหว่างที่มหาชนกทรงว่ายน้ำในมหาสมุทรก็มี “มณีเมขลา” เทพธิดาได้ทำการทดสอบความเพียรของพระองค์ต่างๆนาๆ และถามพระองค์ว่า 

  • มณีเมขลา : เมื่อมองไม่เห็นฝั่ง แล้วจะยังพยายามว่ายทำไม?
  • มหาชนก  : เราตรองจากปฏิปทาแห่งโลก และอานิสงส์แห่งความเพียร ต่อให้มองไม่เห็นฝั่ง เราก็จักพยายามให้สุดกำลัง แม้นว่าเราจักตายลง เราก็ตายด้วยความพยายามแล้ว บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จักตายลงก็จะไม่เป็นหนี้ครหาของบิดามารดา หมู่ญาติ และเทวดา อนึ่งบุคคลที่กระทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง 

และเมื่อมณีเมขลาทดสอบพระมหาชนกจนประจักษ์ถึงความเพียรของพระองค์ จึงได้ทำการอุ้มพระองค์และพาเหาะไปส่งยังเมืองมิถิลา…ซึ่งในเรื่องมหาชนก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรฯทรงพระราชนิพนธ์อย่างปราณีต เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจ และเสริมสร้างแรงศรัทธาให้กับพสกนิกรให้มีความเพียรเป็นที่ตั้ง เพื่อใช้ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย ในทุกกิจกรรมและหน้าที่ และได้มีการนำเข้าสู่กระบวนการศึกษา เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้ใช้หลักธรรมอิทธิบาท 4 กับการเรียน 

3.จิตตะ (Mind or Consciousness / Focus) ตั้งใจ เอาใจใส่ จดจ่อ และมุ่งมั่น 

จิตตะ คือ ความเอาใจจดใจจ่อ และรับผิดชอบในงานหรือสิ่งที่ทำให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย ด้วยความซับซ้อนของสังคมในปัจจุบัน ที่มีความหลากหลายแตกแขนงไปมากจนบางทีทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย ทำให้หลงทางไม่รู้จะทำอะไรก่อน-หลัง หรือการเป็นคนจับจด เอาแน่เอานอนไม่ได้ เบื่อง่าย ทำอะไรครึ่งๆกลางๆ จึงทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักที ดังนั้น ควรใช้หลักข้อธรรมจิตตะ การมีใจจดจ่อเอาใจใส่ มีสมาธิ และมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำตรงหน้า ถ้าพูดกันง่ายๆคือ ล็อคเป้าหมายแล้วจดจ่อพุ่งตรงในงานตรงหน้า โดยไม่วอกแวกละทิ้งกลางทาง และรับผิดชอบดำเนินการให้สำเร็จ  ซึ่งข้อนี้ก็เหมาะมากสำหรับคนที่มีสมาธิสั้น ในการนำไปฝึกฝนตนเอง เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิต

4.วิมังสา (Investigation / retrospect) ไตร่ตรอง ทบทวน และทำความเข้าใจในสิ่งที่ทำ 

วิมังสา คือ การไตร่ตรอง วิเคราะห์ ตรวจสอบ ทบทวน และทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะทำหรือการงานตรงหน้า ด้วยการคิด วิเคราะห์ และใช้ปัญญา เพื่อให้รู้แนวทางในการทำงานได้อย่างถูกต้อง และทบทวนในสิ่งที่ทำว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน ตรวจสอบว่าควรแก้ไข ปรับปรุงจุดด้อยตรงไหน เพื่อให้มีการพัฒนาในครั้งต่อไป   

ซึ่งวิมังสานี้ยังเป็นการนำการกระทำและคำพูด มาพิจารณาหรือไตร่ตรองในการที่พัฒนาต่อไป การศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาความรู้ที่มีอยู่เดิมให้แตกฉานหรือมีความชำนาญยิ่งขึ้น และข้อธรรมวิมังสานี้จะต้องใช้ปัญญาเป็นองค์ประกอบ เพื่อทำการพินิจพิเคราะห์ จึงจะต้องใช้ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือเป็นความคิดในทางที่ถุกต้อง ถ้าเรียกง่ายๆตามยุคปัจจุบันคือการคิดในทางเชิงบวก เพราะถ้ามีความเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความคิดในทางเชิงลบ เช่น หากมีความเบื่อหน่ายในงานตรงหน้าที่ทำ และก็ใช้ความคิดทางลบมาส่งเสริมว่านอนก่อน แล้วค่อยทำเมื่อไรก็ได้ นั่นจะทำให้งานตรงหน้ามีความล่าช้าหรือไม่สำเร็จได้ เป็นต้น 

หลักอิทธิบาท 4 นี้ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะในด้านการเรียน แต่ยังใช้เป็นอิทธิบาท 4 ในการทํางาน หรือการใช้อิทธิบาท 4 กับการบริหารประเทศได้เช่นกัน เพราะในการทำสิ่งใดและในบทบาทใดก็ตาม หากขาดหลักอิทธิบาทธรรมข้อใดข้อหนึ่งไป ก็อาจทำให้งานไม่สำเร็จได้ 

ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุเคยให้ข้อคติเตือนใจไว้ว่า “เพราะมีอิทธิบาท ๔ ไม่ครบ การงานจึงขาดๆวิ่นๆ” และท่านก็ยังได้แต่งกลอนสอนใจให้กับลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนดังนี้

อันที่จริง การงาน นั้นน่ารัก 

เมื่อยังไม่ รู้จัก ก็อางขนาง (ไม่ชอบ) 

ไม่รู้จัก ก็ปล่อยปละ แล้วละวาง 

บ้างร้องคราง เมื่อรอหน้า ว่าเบื่อจริง 

แต่ที่จริง การงาน นั้นน่ารัก 

สอนให้คน รู้จัก ไปทุกสิ่ง 

ถ้ายิ่งทำ ยิ่งฉลาด ไม่พลาดยิ่ง 

ได้ตรงดิ่ง สิ่งอุกฤษฏ์ คือจิตเจริญ

การงานนี้ ดูให้ดี มันน่ารัก 

เป็นการชัก ธรรมะมา น่าสรรเสริญ 

คือมีสติ ฉันทะ ทมะเกิน 

ครั้นหยุดเพลิน จิตก็วาง ทางนิพพาน .  (พุทธทาสภิกขุ) 

และไม่ว่าคุณจะต้องทำงานด้วยเหตุผลใดเป็นที่ตั้ง แต่ถ้าต้องทำการสิ่งนั้นให้สำเร็จ ก็ต้องอย่าลืมเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการสิ่งนั้นที่เรียกว่า “อิทธิบาท4

ขยะที่เกิดจากอาหารทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันเรามีการผลิตขยะอาหาร 30% ของอาหารทั้งหมด ซึ่งคนในยุโรปและอเมริการเหนือ เพียง 1 คน สามารถสร้างขยะอาหารเฉลี่ย 95 115 กิโลกรัม / ปี ส่วนชาวเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1 คน สามารถสร้างขยะอาหารเฉลี่ย 611 กิโลกรัม / ปี  และถ้ามองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยก็มีขยะจากอาหารถึง 64% หรือ 17 ล้านตัน / ปี มีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 8% หรือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) 3,300 ล้านตัน / ปี ที่สามารถคงอยู่ในชั้นบรรยากาศได้ยาวนานกว่า 100 ปี และ ก๊าซมีเทน (methane) ที่มีคุณสมบัติทำให้โลกร้อนขึ้นมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่าตัว!

มีเทน ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติคิดเป็น 30 % ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดจากภูเขาไฟ ไฟป่า พื้นที่ชุ่มน้ำ มหาสมุทร ใต้ธารน้ำแข็ง แต่… 60% เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งจากการเผาเชื้อเพลิง อุตสาหกรรม การเกษตรและปศุสัตว์ การเผากำจัดขยะ หรือแม้แต่การย่อยสลายของกองภูเขาเศษอาหารเหลือทิ้งจากมนุษย์

ส่วนใหญ่เมื่ออาหารถูกทิ้งจากครัวเรือนหรือร้านอาหารต่างๆ จะถูกนำไปลงหลุมฝังกลบในดินเพื่อรอวันย่อยสลาย แต่ทว่ากระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติ จะก่อให้เกิดก๊าซมีเทนเป็นจำนวนมาก และเมื่อก๊าซเหล่านี้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ จะส่งผลให้อุณภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ฝนตกไม่ตรงฤดูกาล ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และย้อนกลับมาส่งผลต่อทุกชีวิตในโลก

ได้มีการทำแบบสำรวจและวิจัย จากข้อมูลพบว่า ในปี 2533 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบอาหารทั่วโลกลดน้อยลงจาก 44% เหลือ 34% หรือประมาณ 18 พันล้านตันในปี 2558 และประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศอุตสาหกรรมมีปริมาณการปล่อยก๊าซทรงตัวที่ 24% ส่วนประเทศกำลังพัฒนามีการปล่อยก๊าซในปริมาณลดลงในปี 2558 คิดเป็น 39% จาก 68% ในปี 2533 ส่วนประเทศที่มีการปล่อยก๊าซจากระบบอาหารมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป บราซิล จีน อินโดนีเซีย และ อินเดีย 

ดังนั้นการกินอาหารแต่พอดีและกินให้หมด เพื่อไม่ให้เกิดขยะจากอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการเลิกใช้พลาสติก แต่ถ้าไม่สามารถทานอาหารได้หมดจริงๆในแต่ละมื้อ การหาวิธีที่จะนำเศษอาหารที่เหลือเหล่านั้นกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก ย่อมดีกว่าเพียงแค่ทิ้งลงเพื่อรอเวลาให้มันย่อยสลายเองตามธรรมชาติ ที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม  

แน่นอนว่ามีหลายภาคส่วนที่ให้ความสนใจสำหรับการกำจัดกับขยะเศษอาหารที่เป็นปัญหาใหญ่ในหลายๆประเทศ และการที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ดีที่สุดคือการนําเศษอาหารมาทําปุ๋ย

ปุ๋ยจากเศษผักนับว่าเป็นอาหารชั้นยอดสำหรับการปรุงดิน เพราะการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารจะได้คุณค่า NPK ตามมาตรฐาน ได้อย่างครบถ้วน เพราะเมื่อดินมีสารอาหารตามที่พืชต้องการ หรือจะใส่ให้พืชผลโดยตรงเลย ก็จะเจริญเติบโตรวดเร็วและได้ผลผลิตดี ที่สำคัญคือเป็นปุ๋ยออแกนิค ไร้สารเคมี พืชผักที่ได้ก็ปลอดสารพิษ และเมื่อเราทานผักออแกนิค สุขภาพก็ย่อมดีกว่าการทานผักจากปุ๋ยเคมีและมีสารพิษเจือปน

ในทางภาคการเกษตรได้มีการจัดทำถังหมักปุ๋ยจากเศษอาหาร ทําปุ๋ยหมักจากเศษผัก ส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในรูปแบบการดัดแปลงจากอุปกรณ์ที่มี หรือเป็นแบบประยุกต์ ดี ไอ วาย ทั้งการทำน้ำหมักปุ๋ยเศษอาหารชีวภาพ ทำปุ๋ยหมักจากเศษผักในเข่ง ทําปุ๋ยจากเศษอาหารแบบล้อมรั้ว ทําปุ๋ยหมักเศษอาหารในกระสอบ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับไม่น้อยสำหรับผู้ที่มีพื้นที่ในการหมักเศษอาหารทําปุ๋ย แต่นั่นก็ต้องมีพื้นที่ในการจัดวางอุปรกรณ์ หรืออาจต้องมีการขุดหลุม เช่น พื้นที่ทำการเกษตร หรือบ้านที่มีสวน และต้องมีพื้นที่ห่างไกลจากตัวบ้านที่อยู่อาศัย เพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากกรรมวิธีการหมัก 

แน่นอนว่าในหลายๆวิธีที่กล่าวมาจะต้องมีพื้นที่ในการจัดทำ ทำให้มีข้อจำกัดของเรื่องพื้นที่ กลิ่นที่อาจส่งรบกวนเพื่อน รวมถึงเวลาในการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการพลิกกอง กลับกองเพื่อให้ออกซิเจนเข้าทั่วถึงในการย่อยสลาย ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้จึงไม่สามารถตอบโจทย์กับผู้อยู่อาศัยในแหล่งชุมชน เช่น หมู่บ้านจัดสรร ทาวเฮ้าส์ ทาวน์โฮม บ้านแฝด ห้องชุดคอนโด 

หากติดตามข่าวสารจะเห็นได้ว่าหลายๆประเทศที่ประสบปัญหาขยะเศษอาหาร ได้มีการคิดค้นและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อแปรรูปเศษอาหารทําปุ๋ยหมักอัตโนมัติเพื่อให้สะดวกกับวิถีชุมชนคนเมืองมากขึ้น เพิ่มความสะดวกในการจัดวางโดยไม่ต้องมีพื้นที่มาก ไร้กลิ่นรบกวน และไม่มีเหล่ามด หนูแมลงสาบมารบกวนเพราะเศษอาหารอีกต่อไป ตอบโจทย์หลายช่องทาง ทั้งไร้แมลง ไร้กลิ่น ได้ปุ๋ยคุณภาพ ลดพลังงาน และลดภาวะโลกร้อน เรียกได้ว่าการทําปุ๋ยจากเศษอาหารในครัวเรือน

ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับระบบชีวิตได้ทั้งโลก 

เปลี่ยนขยะเศษอาหารให้เป็นปุ๋ยจากที่บ้านดีอย่างไร

ขยะเศษอาหารล้วนเป็นขยะสด ที่ต่อให้มีการแยกใส่ถุงขยะไว้ต่างหาก ก็ยังส่งกลิ่นเหม็นภายในบ้าน เรียกมดแมลงไม่รับเชิญมาเดินเพ่นพ่านให้น่ารำคาญใจ และเมื่อนำถุงขยะทิ้งในถังขยะรวมเพื่อรอรถถังขยะมารับไปกำจัด เมื่อขยะจากหลายๆบ้านมารวมกัน ก็ยิ่งเพิ่มทวีส่งกลิ่นรบกวนไปทั่ว หมาแมวจรก็มาคุ้ยขยะเพื่อหาเศษอาหารกิน ทัศนียภาพไม่สวยงาม และยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคกระจายสู่ชุมชน ดังนั้นการกำจัดต้นตอสิ่งเหล่านี้เริ่มได้จากที่บ้าน และทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก และไม่เปลืองพื้นที่ ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่าเครื่องกำจัดเศษอาหาร

โดยเครื่องเทคโนโลยีที่ว่านี้ก็อำนวยความสะดวกกับชีวิตคนยุคปัจจุบันมากๆ เพราะทำง่ายแสนง่าย เพียงแค่ใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ให้มาพร้อมเครื่อง เติมลงไปในครั้งแรกเท่านั้น และเมื่อมีเศษอาหารต่างๆ ก็แยกส่วนที่เป็นน้ำและของแข็ง เช่น เปลือกหอย กระดูกสัตว์ กระดองปู ออกจากเศษอาหารที่เป็นกากเนื้ออื่นๆ แล้วเทขยะสดเหล่านั้นใส่ลงไปในเครื่อง กดปุ่มให้เครื่องทำงาน เครื่องจะทำงานตามขั้นตอนอัตโนมัติ เพียงภายใน 24 ชั่วโมง (ซึ่งการย่อยสลายของเศษอาหารตามธรรมชาติมักจะใช้เวลาประมาณ 5วัน – 6เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดอาหาร) ก็จะได้ปุ๋ยหมักเศษอาหารในบ้านเราเองไว้ใช้งานต่อได้อย่างสบายๆ สะดวก ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องคอยพลิกกอง ไม่ต้องคอยหมุนเครื่อง เราสามารถไปทำกิจกรรมอื่นได้ตามปกติ การนำเศษผักทําปุ๋ยก็จะไม่ยุ่งยากอีกต่อไป 

เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ทุกบ้านสมควรมี ยิ่งบ้านไหนที่ต้องทำอาหารประจำอยู่แล้ว ร้านอาหาร ภัตตาคาร ยิ่งควรมีเครื่องย่อยสลายเศษอาหารทำปุ๋ยนี้ไว้ทุกแห่ง เพราะมีขยะสดขยะเศษอาหารทําปุ๋ยได้ทุกวัน หากไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ปุ๋ยไว้เอง ก็ยังสามารถนำไปแจกจ่ายเพื่อนบ้านที่ต้องการปุ๋ยอินทรีย์ เป็นการผูกสัมพันธไมตรี ไม่แน่ว่าคุณก็จะได้พืชผลผักสดอินทรีย์จากปุ๋ยที่บ้านคุณเองกลับมาจากเพื่อนบ้านเช่นกัน และสำหรับร้านอาหารหากไม่นำแจกจ่าย ก็สามารถนำไปจำหน่ายในราคาถูกให้กับเกษตรกรหรือผู้ที่ต้องการได้อีก เป็นการนำรายได้เข้าร้านได้อีกทางดีกว่ากำจัดทิ้งเสียเปล่า แถมคนซื้อก็ได้ปุ๋ยคุณภาพดีที่มีธาตุอาหารครบถ้วนและราคาถูกด้วย 

ข้อดีของการนำขยะเศษอาหารทำปุ๋ยหมัก 

  • ช่วยลดปริมาณขยะที่กำลังเป็นปัญหาระดับโลกในตอนนี้ 
  • ช่วยลดโลกร้อน เพราะลดปริมาณก๊าซมีเทนที่เป็นสภาวะเรือนกระจก
  • ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างคนมาขนขยะไปทิ้ง 
  • งบประมาณการกำจัดขยะของประเทศลดลง ทำให้เหลืองบประมาณไปใช้พัฒนาในด้านอื่นๆ
  • ไม่ต้องซื้อปุ๋ยหมัก แต่จะมีปุ๋ยสำหรับใส่พืชและต้นไม้ฟรี 
  • สามารถสร้างรายได้จากปุ๋ยหมัก 
  • ช่วยส่งเสริมระบบ Zero Waste 

เครื่องย่อยสลายเศษอาหารให้เป็นปุ๋ยแบบนี้นอกจากสะดวกแล้ว ยังมีขนาดให้เลือกเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและสถานที่ อย่างถ้าเป็นบ้านคนอยู่อาศัยแบบครอบครัวไม่ใหญ่ อาจเลือกใช้เครื่องสำหรับครัวเรือนขนาด 2 ลิตรก็เพียงพอ แต่ถ้าเป็นครอบครัวใหญ่ ร้านเชิงพาณิชย์ ร้านอาหาร หรือสำนักงาน ก็สามารถเลือกขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้มีความจุที่เพียงพอต่อปริมาณขยะ เป็นการเปลี่ยนขยะเศษอาหารให้คืนกลับไปเป็นปุ๋ย และบำรุงดินบำรุงพืชผักให้เราได้ทาน หมุนเวียนการใช้อย่างสร้างสรรค์ โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี เรียกได้ว่าเป็นการสร้างสุขภาพดี ชีวิตดี สิ่งแวดล้อมดี และรักษ์โลกเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสอย่างแท้จริง

The Five Precepts

เมื่อเราไปวัดเพื่อทำบุญ ทำสังฆทาน หรือการไปวัดในวันพระ พระสงฆ์จะให้เรากล่าวอารธนาศีล 5 ก่อนทุกครั้ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ศีลทั้ง 5 ข้อคืออะไร มีอะไรบ้าง และทำไมศีล 5 เป็นข้อบัญญัติที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์บริบูรณ์?

“ศีล” เป็นข้อบัญญัติแห่งทางศาสนาพุทธและเป็นหลักพื้นฐานสุดสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธและผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งจะมีตามด้วย ศีล 8  ศีล 10  ศีล 227 และ ศีล 311 ข้อ ตามสถานะผู้ถือปฏบัติ  

ศีล แปลว่า “ปกติ” การรักษาศีลจึงเป็นการรักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ ผู้ที่ไม่มีศีลหรือผู้ทุศีลจึงถือได้ว่าเป็นผู้ไม่ปกติ ดังนั้นการท่องศีล 5 ก่อนทำสวดมนต์ภาวนา หรือทำบุญใดๆ จึงเป็นการแสดงตนว่าเป็นผู้มีใจสูงและถึงพร้อมแก่การปฏิบัติ 

“มนุษย์” แปลว่า “สัตว์ที่มีใจสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน” ดังนั้นผู้ที่รักษาศีล 5 หมายถึง สัตว์ที่ยกจิตใจสูงขึ้นด้วยเครื่องมือ 5 ประการ หรือ ผู้ที่มีใจสูงครบถ้วน เป็นมนุษย์ครบบริบูรณ์ ต่างจากสัตว์เดรัจฉานโดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าศีล 5 คือเครื่องมือสำหรับช่วยยกใจให้สูงขึ้นกว่าเดรัจฉานและรักษาไว้ซึ่งความเป็นปกติของการเป็นมนุษย์

ศีล 5 ข้อ หรือเบญจศีล 5 ข้อ ไม่ได้เป็นเพียงข้อยึดถือปฏิบัติสำหรับชาวพุทธในประเทศไทยเท่านั้น แต่มีผู้นับถือศาสนาพุทธทั่วโลก รวมไปถึงชาวยุโรปและแม้แต่ฝั่งอเมริกาก็เริ่มหันมาให้ความสนใจในศาสนาพุทธและศึกษาธรรมะมากขึ้น โดยถือศีล 5 ภาษาอังกฤษมีความหมายเดียวกับ Commandments แต่ค่อนข้างจะเน้นไปทาง Rules of Training ที่เป็นกฏในการฝึกฝนตนเองเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าจะให้ตรงกับศีลห้ามากกว่าก็น่าจะเป็นคำ The Five Precepts 

เบญจศีล 5 / ศีล 5 บาลี / ศีล 5 แปล / องค์ประกอบศีล 5 

1.ปาณาติปาตา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาธิยามิ 

  (Panatipata veramani sikkhapadam samadhiyami)

  ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบทว่าด้วยการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ 

  (I undertake the rule of training to refrain from destroying life / killing.)

องค์แห่งศีลข้อ1 คือ  

  • สัตว์นั้นมีชีวิต  
  • รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต  
  • คิดจะฆ่าสัตว์นั้น  
  • พยายามฆ่าสัตว์นั้น  
  • สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น    

ศีล 5 ข้อ 1 นี้ นอกจากการฆ่าแล้ว ยังรวมไปถึงงดการทำร้ายร่างกายหรือทำให้คนหรือสัตว์ได้รับบาดเจ็บ การทำทารุณกรรมทั้งต่อคนและสัตว์เดรัจฉาน การกักขังหน่วงเหนี่ยว การผูกมัดหรือกักขังสัตว์ไม่ให้ได้รับความเป็นอิสระหรือผิดไปจากอิริยาบถของสัตว์นั้นจนได้รับความทรมาน เช่น การขังสัตว์ไว้ในกรง ขังปลาไว้ในที่แคบแออัด การรังแกสัตว์เพื่อความสนุกของตน การชนไก่ การชนวัว (ไม่ใช่กีฬาแต่เป็นการทรมานสัตว์) 

2.อทินฺนาทานา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาธิยามิ

  (Adinnatana veramani sikkhapadam samadhiyami)

  ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบทว่าด้วยการงดเว้นจากการลักทรัพย์ 

  (I undertake the rule of training to refrain from taking what is not given / stealing.)

องค์แห่งศีลข้อ 2 คือ  

  • ทรัพย์นั้นมีเจ้าของ  
  • รู้ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของ  
  • คิดจะลักทรัพย์นั้น  
  • พยายามลักทรัพย์นั้น  
  • ได้ทรัพย์มาด้วยความพยายามนั้น 

ศีล 5 ข้อ 2 นี้ รวมการโจรกรรมทั้งหมดและการสมรู้ร่วมคิด การให้ความร่วมมือ ได้แก่ การลักขโมย ฉกชิง , ปล้น , ขู่กรรโชก , ฉ้อโกง หลอก , ลวง , ตู่ ปลอม , สับเปลี่ยน , ลักลอบ , ยักยอก , เบียดบัง , ตระบัด , สนับสนุนและรับของโจร , รับสินบน , ปอกลอกผู้อื่นให้เสียทรัพย์ หรือแม้แต่การหยิบฉวยของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของทรัพย์ ก็นับเป็นการผิดศีลข้อ 2 เช่นกัน 

3.กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ  

  (Kamesu miccajara veramani sikkhapadam samadiyami)

  ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบทว่าด้วยการงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

  (I undertake the rule of training to refrain from sexual misconduct.)

องค์แห่งศีลข้อ 3 คือ 

  • ชาย-หญิง ที่มีคู่ครอง / เป็นผู้ถือบวช / เป็นหญิงที่อยู่ในความปกครองบิดามารดาหรือญาติ
  • คิดเสพเมถุนหรือล่วงละเมิด ชาย – หญิง ที่ไม่ควรละเมิด
  • ประกอบกิจทางกามกับบุคคลที่ไม่ควรละเมิด
  • ยังอวัยวะเพศให้ถึงกัน

ศีล 5 ข้อ 3 นี้ ครอบคลุมผู้ที่ไม่ควรละเมิด ได้แก่ ชาย-หญิงที่ไม่ใช่คู่ครองของตน ผู้ถือบวช ได้แก่ พระสงฆ์ สามเณร ชี ชีพราหมณ์ ชายและหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรืออยู่ในความปกครองของบิดามารดาหรือญาติ และ ชาย-หญิงที่ไม่ยินยอมให้ละเมิดแต่โดนบังคับในทุกกรณี

4.มุสาวาทา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ

  (Musavada veramani sikkhapadam samadiyami)

  ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบทว่าด้วยการงดเว้นจากการพูดเท็จ

  (I undertake the rule of training to refrain from false speech.)

องค์แห่งศีลข้อ 4 คือ 

  • ไม่ใช่เรื่องจริง 
  • มีจิตหรือเจตนาจะพูดให้ผิดไปจากเรื่องจริง
  • พยายามพูดให้บิดเบือนไปจากความจริง 
  • ผู้ฟังเข้าใจผิดไปจากความจริงตามเจตนาของผู้พูด 

ศีล 5 ข้อ 4 นี้ รวมถึงการพูดปด พูดบิดเบือนความจริง พูดเสริมความ พูดอำความ พูดสาบาน ทำเล่ห์กระเท่ห์ มารยา เพื่อให้คนเข้าใจผิดไปจากความจริง หรือหลอกให้คนเข้าใจผิด เช่น การแกล้งป่วยเพื่อให้ได้สิ่งที่มุ่งหวัง แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นหลัก หากทำไปเพื่อเป็นการช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ อันนี้ถือเป็นการอนุโลมการพูดเท็จ 

5.สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ

  (Suramerayam Chapamatthana veramani sikkhapadam samadiyami)

   ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบทว่าด้วยการงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและของมึนเมา

  (I undertake the rule of training to refrain from distilled and fermented intoxicants causing heedlessness.)

องค์แห่งศีลข้อ 5 คือ 

  • น้ำเมาหรือมีฤทธ์ให้มึนเมา 
  • รู้ว่าเป็นน้ำเมาหรือมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ให้มึนเมา 
  • พยายามดื่มน้ำเมา 
  • น้ำเมาได้ล่วงผ่านลำคอ

ศีล 5 ข้อ 5 นี้ นอกจากการดื่ม สุรา-น้ำเมาที่ถูกกลั่นให้มีรสชาติเข้มอย่างเหล้าต่างๆ และ เมรัย-น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น เช่น  เหล้าดิบ กระแช่ น้ำตาลเมา แล้ว ยังรวมไปถึงสิ่งเสพติดทั้งหมด การเสพฝิ่น กัญชา เฮโรอีน ยาบ้า ยากล่อมประสาท ครอบคลุมไปถึงสิ่งที่ทำให้มึนเมา มีผลต่อการกล่อมประสาท แต่กรณีที่มีเจตนาในการรักษา เช่น การใช้กัญชาเพื่อการรักษาความเจ็บป่วยตามอาการ ถือเป็นข้ออนุโลม 

การยึดถือและปฏิบัติตามข้อเบญจศีลหรือศีล 5 เพื่อยกจิตใจให้สูงขึ้นให้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ เปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในการผิดศีล 5 ข้อ ได้ดังนี้

รักษาศีล 5 ครบทุกข้อ มีความเป็นมนุษย์ 100% คือเป็นผู้ที่มีใจสูง 

ผิดศีล 1 ข้อ มีความเป็นมนุษย์ 80%  ใกล้เคียงความเป็นสัตว์เดรัจฉาน 20% 

ผิดศีล 2 ข้อ มีความเป็นมนุษย์ 60%  ใกล้เคียงความเป็นสัตว์เดรัจฉาน 40%

ผิดศีล 3 ข้อ มีความเป็นมนุษย์ 40%  ใกล้เคียงความเป็นสัตว์เดรัจฉาน 60%

ผิดศีล 4 ข้อ มีความเป็นมนุษย์ 20%  ใกล้เคียงความเป็นสัตว์เดรัจฉาน 80%

ผิดศีล 5 ข้อหรือไม่มีศีลเลย เทียบเท่าสัตว์เดรัจฉาน 100% ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “มนุษย์” 

ด้วยเหตุนี้เองการรักษาศีล 5 จะทำให้เราแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน เนื่องจากมีการรักษา กาย วาจาและใจให้สูงกว่าเป็นปกตินิสัย ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์อย่างบริบูรณ์ทั้งในสรรพนามและความหมายที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแค่คำเรียกขาน แต่จิตใจและการกระทำไม่ได้สูงตามความหมาย หากสรุปให้เข้าใจได้ง่ายตามหลักศาสนาพุทธ “ศีล 5” คือเครื่องมือที่ช่วยแยกเราออกจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง 

หนุ่มๆคะ หากคุณเกิดปิ๊งสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม หรือสาวสวยหุ่นนางแบบคนไหนสักคน  จะเข้าไปขายขนมจีบโต้งๆเลยก็อาจจะไม่กล้าและประหม่าใช่ไหมคะ ถึงแม้ว่าผู้หญิงจะรู้สึกดีเมื่อมีใครให้ความสนใจเธอ แต่จู่ๆจะเข้าไปรุ่มร่าม หรือเต๊ะท่าว่าหล่อเสียเต็มประดา ยิ่งโอ้อวดโชว์รวย บอกได้เลยว่าคุณได้ปลูกไร่แห้วแน่ๆ เพราะผู้หญิงสมัยนี้เก่งค่ะ ทำงานหาเงินเองได้ ไม่ง้อผู้ชายนะคะ แต่สิ่งที่คุณควรทำหากต้องการเข้าหาสาวที่ชอบคือ การทำให้ตัวคุณดูดีและสร้างความประทับใจให้กับเธอค่ะ ดังเช่นเคล็ดลับดีๆที่เรานำมาฝากต่อไปนี้ 

การแต่งกาย

ข้อแรกเลยคือการแต่งกาย เรียกว่าเป็น first impression เพราะความประทับใจแรกเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งคุณหนุ่มๆรู้ไหมคะว่า ข้อนี้ก็เป็นเหตุผลแรกๆที่คุณผู้หญิงทั้งหลายชอบที่จะแต่งตัว ไม่ใช่ทำเพียงเพื่อแฟชั่น แต่เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น ดังนั้นหนุ่มๆที่จะเข้าหาสาวๆก็เช่นกัน ความประทับใจแรกคือการแต่งกาย แม้ว่าหน้าตาเป็นสิ่งแรกที่สร้างความสนใจ แต่ถ้าผู้ชายหน้าตาดีแต่แต่งตัวสกปรก เสน่ห์ก็ลดลงฮวบไปเลย

การแต่งกายของคุณผู้ชาย ไม่ต้องเนี๊ยบเป็นคุณชายหมอ หรือประโคมด้วยแบรนด์แพงๆ แต่แต่งตัวดูสะอาดสะอ้าน แต่งเหมาะกับบุคลิกของตนเอง เพราะการแต่งตัวที่เหมาะกับบุคลิกก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจและสร้างเสน่ห์ให้ได้มากทีเดียว แต่ก็ต้องให้เหมาะกับกาลเทศะ สภาพภูมิอากาศและสถานที่ อย่างถ้าคุณได้ชวนเธอไปเดตที่ทะเล แต่คุณใส่สูทไปเสียเต็มยศ อันนี้ก็ไม่เหมาะอย่างแรง หรือใส่รองเท้าหนีบแตะไปงานแต่งเพื่อนที่สนิทมากๆ เพราะคิดว่าคนกันเองไม่เป็นไร อันนี้เลวร้ายมากๆ เพราะนอกจากดูไม่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความไม่ให้เกียรติกับเจ้าของงานและคนที่ไปร่วมงานอีกด้วย ซึ่งต่อให้คุณหล่อยิ่งกว่าเทพบุตร แต่สาวๆก็ส่ายหน้าหนีและไม่คิดจะเป็นแฟนด้วยแน่ๆ 

หากคุณได้มีโอกาสชวนสาวออกเดต การแต่งกายนอกจากต้องสะอาด และแต่งให้เหมาะกับกาลเทศะดังที่กล่าวมาแล้ว ต่อไปคือ ต้องดูแลความสะอาดของใบหน้า-ตา-ช่องปาก อาบน้ำ แปรงฟัน ให้สะอาด อย่าปล่อยให้หน้าและผมของคุณมีสิ่งแปลกปลอมใดๆที่ไม่ควรจะมี เช่น ขี้ตา รังแค ขนจมูก หนวดเครารุงรัง …จัดการเช็ด โกน ทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้านไปหาเธอ 

มีน้ำใจ 

การมีน้ำใจไม่ว่าจะเป็นกับคนรอบข้าง กับสัตว์หรือสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นเสน่ห์ที่สร้างความประทับให้กับสาวๆได้อย่างมาก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ชายหล่อที่น้ำใจ เมื่อก่อนอาจมีการบัญญัติความหล่อที่หน้าตา แต่ปัจจุบันความหล่อความสวยสามารถเนรมิตได้ด้วยมือหมอ แต่นิสัยความมีน้ำใจหมอที่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ได้ และเดี๋ยวนี้ผู้ชายที่มีน้ำใจมักจะได้รับความสนใจจากผู้หญิงมากกว่าหน้าตาเสียอีก ดูได้จากผู้หญิงสวยๆที่มีแฟนหน้าตาธรรมดา แต่ผู้ชายเหล่านั้นคอยใส่ใจ เปิดประตูรถให้ เลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง รีบหายามาให้หรือพาเธอไปหาหมอเมื่อรู้ว่าไม่สบาย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กน้อย แต่มันเป็นความประทับใจที่ติดตราตรึงและเป็นเสน่ห์มัดใจให้สาวหลงเปิดใจได้อย่างชงักนักแล

สุภาพบุรุษ 

ความเป็นสุภาพบุรุษสามารถแสดงออกได้หลายแบบมาก การให้เกียรติผู้หญิง การพูดจาอย่างสุภาพ ไม่หยาบคายใส่ทั้งคำพูดและการกระทำ ไม่พูดพาดพิงหรือใส่ร้ายให้ผู้หญิงคนไหนดูไม่ดีในสายตาคนอื่นถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง การปกป้องแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น การให้ผู้หญิงเดินริมในและตนเองเป็นฝ่ายเดินริมนอกเพื่อกันรถเฉี่ยวชน การช่วยถือของหนักให้ หรือเมื่อมีการไปทานอาหารด้วยกันก็ให้ผู้หญิงเป็นผู้เลือกรายการก่อน ฯลฯ แน่นอนว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยมากๆ แต่สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้แหล่ะที่ชนะใจผู้หญิงมาแล้วนักต่อนัก 

ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญและพิเศษคนเดียวสำหรับคุณ 

เพราะการได้เป็นคนพิเศษไม่ว่าใครก็ย่อมรู้สึกดี คอยแสดงความห่วงใยและใส่ใจเธอเสมอ สังเกตความผิดปกติของเธอและถามไถ่แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกหรือแสดงให้คุณเห็นก็ตาม คอยส่งข้อความหา และเมื่อเธอส่งข้อความมาตอนที่คุณกำลังยุ่ง ก็รีบตอบกลับทันทีที่มีโอกาส ไม่หายไปเลย หรือทำเหมือนไม่สนใจ เพราะนั่นจะเป็นการทำให้เธอเข้าใจผิด ว่าคุณกำลังส่งสัญญาณว่าเธอไม่ได้สำคัญกับคุณ และเธอก็จะไปเป็นคนสำคัญของคนอื่นแทน  

คอยเป็นผู้ฟังที่ดี 

จงอย่าเป็นแต่ผู้พูด ถึงแม้ว่าคุณจะต้องการพูดเพื่อแสดงตัวตนถึงตัวเองให้สาวเจ้าได้รู้จักทุกมุมของคุณก็ตาม แต่จงเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะผู้หญิงชอบผู้ชายที่รู้จักฟังในสิ่งที่เธอพูด คุณอาจโชคดีถ้าเจอผู้หญิงที่เป็นนักฟังที่ดี ไม่ค่อยชอบพูดหรือพูดน้อย แต่การพยายามให้เธอพูด ให้เธอได้แสดงความคิดเห็น โดยมีคุณตั้งใจฟัง หรือผลัดกันพูดคุย เพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น และยังสร้างความประทับใจให้กับฝ่ายหญิงได้มากกว่าที่คุณคิด 

กล่าวชมอย่างจริงใจ 

คอยหาข้อดีและกล่าวชมเธออย่างจริงใจ แม้อาจมีใครแนะนำให้คุณชมข้อดีของเธอที่เธอเองก็รู้อยู่แล้ว เช่น เธอมีผมที่ตรงสลวยแลดูสวยมีสุขภาพดี คุณจึงจะชมว่าผมเธอสวย แต่ถ้าคุณทำเช่นนั้น คำชมของคุณก็ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ แม้ว่าเธออาจจะรู้สึกดีในคำชม แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไร  แต่การได้รับคำชมกับสิ่งที่แปรเปลี่ยนได้ในแต่ละครั้งจะสร้างความประทับใจได้มากกว่า เช่น “วันนี้ทำทรงผมสวย”  “วันนี้คุณแต่งหน้าสวยจัง”  “แต่งตัวแบบนี้ทำให้คุณสวยมากขึ้นไปอีก” “ทำเล็บสีนี้เหมาะกับคุณจัง” ฯลฯ คำชมเหล่านี้มันมาจากการที่คุณสังเกต และนั่นแสดงถึงความใส่ใจที่คุณมีต่อเธอ แต่ต้องมาจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ชมว่าเล็บสวยทั้งที่เล็บของเธอหักหรือสีเล็บถลอกอย่างเห็นได้ชัด 

ความสามารถพิเศษ

ถ้าเป็นยุคปัจจุบันเราจะเรียกสั้นๆว่า “มีของ” คุณอาจความสามารถพิเศษในด้านดนตรี เล่นเปียโนเก่ง ร้องเพลงเพราะ เต้นเก่ง ทำอาหารเก่ง ทำขนมเป็น ฯลฯ เพราะเมื่อถึงเวลาที่คุณได้แสดงความสามารถพิเศษที่มีให้คุณผู้หญิงได้เห็น จะยิ่งสร้างความประทับใจให้กับฝ่ายหญิง และยิ่งความสามารถพิเศษของคุณตรงจริตกับเธอ คือเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบหรือเป็นสายเดียวกัน อย่างคุณเล่นกีต้าร์เป็น และเธอก็ชอบร้องเพลง มันก็ยิ่งคลิกยิ่งใช่ … ดังนั้นคุณควรฝึกในสิ่งที่คุณชอบให้เก่งหรือเพิ่มความสามารถที่มีอยู่แล้วให้ชำนาญ หรือถ้าคุณรู้ว่าผู้หญิงที่คุณสนใจเขาชอบอะไร และคุณซุ่มไปฝึกไปซ้อมจนเก่ง และได้โชว์ให้เธอได้เห็น … รอรับความประทับใจจากฝ่ายหญิงได้เลยค่ะ 

และทริคทั้งหมดที่นำมาฝาก คุณจะต้องทำอย่างจริงใจและแสดงออกอย่างจริงจัง นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้หญิง อย่าหลอกเพื่อต้องการสร้างความประทับใจ เพราะอะไรที่ฝืนและไม่จริง สักวันมันก็จะปรากฏ แต่ความจริงใจในทุกการกระทำของคุณเท่านั้นที่จะทำให้ผู้หญิงประทับใจ

“Trick or Treat” จะให้หลอกหรือให้ปล้น เอ้ยย ไม่ใช่ จะให้ขนมหรือให้หลอก … นี่ก็ใกล้สิ้นเดือนตุลาคมแล้ว เป็นอีกวันที่เด็กๆรอคอย  เพราะเป็นวันเทศกาลฮาโลวีน ที่จะได้แต่งชุดผีออกไป Trick or Treat ในการขอขนมตามบ้านต่างๆ และมีการจัดบ้านเรือนเป็นแฟนตาซีธีมผีหลากชนิด รวมไปถึงจัดตกแต่งด้วยการจุดเทียนภายในฟักทองที่แกะสลักให้มีตามีฟันเหมือนกำลังแสยะยิ้ม!

เรามารู้จักสิ่งที่ขาดไม่ได้ในวันฮาโลวีน วันที่มีธีมสีส้มดำและการแต่งผีกันทั่วโลก และรู้ถึงที่มาของสิ่งเหล่านี้กันหน่อยดีกว่า 

Trick or Treat 

เมื่อแปลแล้วจะหมายถึง หลอกหรือเลี้ยง โดยเด็กๆจะแต่งตัวเป็นผีต่างๆ แล้วไปเคาะประตูบ้านเรือนต่างๆ แล้วเอ่ยคำว่าTrick or Treat คือจะยอมให้ขนมหรือจะให้หลอก หากเจ้าของบ้านตอบว่า Treat แสดงว่ายอมให้ขนมแต่โดยดี แต่ถ้าตอบว่า Trick ก็คือไม่ให้ขนมแต่ให้เด็กๆหลอกผีใส่แทน โดยเด็กที่ไปเคาะประตูอาจมีการหลอกหรือแกล้งเล็กๆน้อยๆ เช่น ทำท่าทางหลอก อาจแกล้งนำไข่ดิบใส่ในตู้จดหมาย นำหนังสือพิมพ์ไปซ่อน ฯลฯ แต่สุดท้ายเจ้าของบ้านก็จะให้ขนมหรือลูกกวาดกับเด็กๆในที่สุด โดยเด็กๆจะเลือกเข้าไปเคาะเรียกจากการที่มีการตกแต่งด้วยฟักทองจุดเทียนไว้หน้าบ้าน เพราะนั่นหมายถึงยินดีต้อนรับเด็กๆเข้าไปทำการเล่น Trick or Treat (โดยเจ้าของบ้านจะมีการเตรียมขนมหรือลูกกวาดต่างๆไว้ให้) 

ที่มาของการเล่น Trick or Treat นี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อคริสต์ศตวรรษที่9 โดยชาวยุโรปจะยึดถือวันที่ 2 พฤศจิกายน จะมีการขอบริจาคขนมเค้ก หรือเรียกว่า Soul Cake เป็นเค้กสำหรับวิญญาณ เพราะเชื่อว่ายิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของผู้ที่บริจาคขนมเค้กจะได้บุญมากขึ้น และมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์มากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นขนมต่างๆให้กับเด็กๆแทนขนมเค้ก

หัวฟักทองแกะสลัก 

หัวฟักทองที่ถูกเจาะทำตา แกะสลักทำเป็นปากที่กำลังแสยะยิ้ม หรือที่รู้จักในนามว่า Jackólantern (แจ็ค โอ แลนเทิร์น / lantern = ตะเกียง) หัวฟักทองแกะสลักและจุดเทียนไว้ด้านในสำหรับการตกแต่งไว้หน้าบ้านยามค่ำคืนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์เทศกาลฮาโลวีน โดยมีที่มาจากเรื่องเล่าตำนานของชาวไอริช ที่กล่าวถึงชาวนาจอมเจ้าเล่ห์ชื่อ แจ็ค ที่ในสมัยนั้นจะมีจอมปีศาจออกขอพืชผลจากชาวบ้าน และไม่มีบ้านไหนที่จะกล้าปฏิเสธเพราะกลัวต้องคำสาป แต่แจ็คกลับไม่หวาดกลัวและไม่เคยให้อะไรกับปีศาจเลย จนกระทั่งวันหนึ่งปีศาจได้มาปรากฏตัวและสำแดงเดชกับแจ็คเพื่อให้เขาหวาดกลัว แต่นอกจากแจ็คไม่กลัวแล้ว ยังหลอกล่อให้ปีศาจตามขึ้นไปบนต้นไม้และได้เขียนกากบาทกางเขนไว้ ทำให้ปีศาจถูกขังและไปไหนไม่ได้ แจ็คจึงทำข้อตกลงกับปีศาจอย่ามาวุ่นวายกับเขาอีก และห้ามมีคำสาปใดๆหรือพาเขาลงนรก แล้วแจ็คก็ได้ทำการปล่อยปีศาจหลังจากที่ทำการตกลง เมื่อแจ็คตายลงวิญญาณเขาไม่สามารถไปสวรรค์ได้เพราะความดีไม่เพียงพอ แต่ก็ลงนรกไม่ได้ด้วยข้อตกลงกับปีศาจ ทำให้วิญญาณของแจ็คต้องเร่ร่อน ท่ามกลางความมืดและอากาศที่หนาวเหน็บ ปีศาจได้ให้ท่อนไฟจากนรกที่คุกรุ่นกับเขาเพื่อคลายความหนาว และแจ็คก็ได้นำใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอร์นิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อไฟจะได้ไม่ดับ…จากนั้นมาชาวไอริชก็ได้ทำตามโดยการแกะสลักผักกาดturnipให้กลวงเหมือนโคมไฟและใส่ไฟไว้ด้านใน เป็นสัญลักษณ์แห่งการหยุดความชั่วร้าย แต่การจัดฮาโลวีนในอเมริกา ได้ใช้หัวฟักทองแทนผักกาดเพราะหาได้ง่ายกว่ามาก จึงมีการใช้หัวฟักทองแกะสลักมาจนถึงปัจจุบัน 

ประวัติวันฮาโลวีน 

วันฮาโลวีนมีจุดกำเนิดที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์(Celt) หรือ เซลติค (Celtic) ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน เรียกในชื่อ Samhain (โซว์อิน) ที่เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย บางคนก็จะเรียก Festival of the Dead (เทศกาลแห่งความตาย) และในวันที่ 31 ตุลาคม ก่อนที่จะถึงปีใหม่ จะเป็นวันที่ภพภูติผีเปิด ทำให้ทุกมิติภพเปิดถึงกัน โดยเหล่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะถูกเชื้อเชิญอย่างดี แต่จะขับไล่เหล่าผีร้ายอื่นๆ ด้วยเหล่าวิญญาณผีต่างๆจะพยายามสิงร่างมนุษย์เพื่อจะได้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ชาวบ้านจึงต้องปิดไฟในบ้านให้มืด ให้หนาวเย็นไม่เป็นที่ต้องการของเหล่าภูติผี และพยายามแต่งตัวเลียนแบบเป็นผี เพื่อจะได้กลมกลืนและปลอดภัยจากผีร้ายและจากการถูกผีสิง หรือตะโกนส่งเสียงดังให้ผีตกใจและเตลิดหนีไป 

นอกจากนั้นยังเป็นคืนการเฉลิมฉลองสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และอาจนำพืชผลที่เก็บเกี่ยวได้มาบูชาให้ภูติผีวิญญาณ และทำการดับไฟทุกดวงแล้วจุดขึ้นมาใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์ โดยบางตำรายังกล่าวว่ามีการเผาคนที่น่าจะถูกผีร้ายสิง เพื่อให้เหล่าผีทั้งหลายหวาดกลัวและไม่มาเข้าสิงคนเป็นอีก แต่เมื่อชาวโรมันได้ทำการสืบทอดประเพณีมาจากชาวเซลท์ ก็ได้ตัดพิธีการนี้ออกไป แต่นำหุ่นฟางมาเผาแทน และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนเลิกเชื่อคนถูกผีสิง จึงเหลือเพียงแต่การแต่งกายเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดต่างๆ แล้วแต่ความครีเอทและจินตนาการ 

จนเมื่อถึงสมัยที่ชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีนอกรีตนอกศาสนาคริสต์ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 ได้กำหนดวันที่1พฤศจิกายน เป็นวันฉลอง  All Hallows’ Day และได้มีการเปลี่ยนเป็น All Saints’ Day ซึ่งเป็นวันสมโภชนักบุญ และวันที่ 2 พฤศจิกายน เป็น All Souls Day เป็นวันแห่งวิญญาณ คือเป็นวันแห่งการระลึกถึงผู้ที่จากไป และสวดมนต์ให้กับผู้ตาย ส่วนคืนวันที่ 31 ตุลาคม หรือ Hallows’ Eve และได้มีการเรียกเพี้ยนเป็นวัน Halloween มาจนถึงปัจจุบัน

โดยแต่เดิมเทศกาลฮาโลวีนจะจัดขึ้นในประเทศไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ อังกฤษ และประเทศใกล้เคียง แต่เมื่อชาวไอริชได้ทำการย้ายหลักแหล่งไปในตั้งรกรากในอเมริกา และได้นำประเพณีนี้ไปปฏิบัติด้วย ก็เป็นที่ถูกใจของชาวอเมริกาพื้นเมืองดั้งเดิม จึงได้นำไปจัดตามอย่างจริงจังจนเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนถึงทุกวันนี้ 

กิจกรรมในวันฮาโลวีน

นอกจากตกแต่งบ้านด้วยฟักทองแกะสลัก แต่งตัวแต่งหน้าเป็นธีมผีต่างๆ และเดินเคาะขอขนมของเด็กๆที่เรียก ทริค ออร์ ทรีสแล้ว ยังมีอีกกิจกรรมที่นิยมในวันฮาโลวีน คือการนำแอปเปิลและเหรียญหกเพนซ์ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกของสองสิ่งนี้ได้และใช้ปากคาบเหรียญหกเพนซ์ขึ้นมาได้ และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิลให้ติดได้ในครั้งเดียว เชื่อกันว่าผู้นั้นจะโชคดีตลอดปี

อีกความเชื่อหนึ่งที่ทางด้านสาวๆอังกฤษนิยมทำในเวลเที่ยงคืนของวันฮาโลวีน คือการออกไปหว่านและไถกลบเมล็ดป่านขนิดหนึ่งพร้อมกับท่องคาถาและอธิษฐาน โดยมีใจความว่าให้เมล็ดป่านที่หว่านนั้น ให้บันดาลปรากฎลักษณะของผู้ชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตให้เห็น หลังจากนั้นจะเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายของตน ก็จะเห็นลักษณะรูปร่างของผู้ชายคนนั้น 

ปัจจุบันกิจกรรมในวันฮาโลวีนจะมีการแข่งขันประชันการแต่งกายแต่งหน้าผี กิจกรรมที่เด็กๆหลายคนชื่นชอบและรอคอยเพราะจะได้ขนม อีกทั้งยังได้แต่งตัวกันสนุกสนาน ซึ่งปัจจุบันเทศกาลฮาโลวีนไม่ได้มีเพียงแค่ทางยุโรปและอเมริกาเท่านั้น แต่ได้มีการขยายเป็นวงกว้างแทบทั่วโลก และแน่นอนว่าไทยเราเองก็ไม่พลาด เพราะไทยเราเป็นประเทศสุขนิยมชื่นชมเทศกาล อะไรสนุกพี่ไทยจอยด้วย แม้จะเจอวิกฤติไทยเราก็พร้อมจะปรับและเอ็นจอยได้เสมอ อีกไม่กี่วันก็คงจะได้เห็นคนแต่งผีไทยบ้างผีต่างชาติบ้างต้อนรับวันสีดำส้มที่เป็นสีสัญลักษณ์วัน Halloween

เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อนถึงแม้ว่าจะมี 3 ฤดู แต่ปัจจุบันนี้แทบจะเรียกได้ว่า 2 ½  ฤดู เพราะเราสัมผัสความหนาวได้ไม่บ่อยและระยะเวลาก็สั้นลงเรื่อยๆทุกปี บางปีนี่หลายๆคนต้องเดินทางเพื่อไปปะทะลมหนาวถึงภาคเหนือและแถบอีสานบางจังหวัดเลยทีเดียว เพราะหาความหนาวในเมืองกรุงไม่ค่อยจะเจอ แต่ถึงแม้ว่าเราจะโหยหาฤดูหนาวดังเช่นที่เคยมีมา แต่เมื่อเวลาหนาวมาทีก็เล่นสั่นไปถึงขั้วหัวใจจนต้องโบกมือลาน้องน้ำกันสักพัก 

 

ยิ่งกรมอุตุฯเตือนว่าหนาวที่ใกล้จะถึงนี้อาจหนาวได้ถึง 19 องศาฯในบางพื้นที่ นอกจากต้องเตรียมเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ อุปกรณ์คลายหนาวต่างๆ และเตรียมร่างกายให้แข็งแรงเพื่อพร้อมรับมือความหนาวแล้ว การได้ดื่มเครื่องดื่มดีๆ ที่ไปช่วยสร้างความอบอุ่นและเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ง่ายๆและสร้างความสุขเล็กๆได้ไม่น้อยเลย จะมีเครื่องดื่มอะไรบ้างเราไปดูกันเลย 

กาแฟ

คอกาแฟคงถูกใจเมนูแก้วนี้กันถ้วนหน้า เพราะเป็นเครื่องดื่มแก้วโปรดดื่มกันประจำกันอยู่แล้ว การได้สูดกลิ่นกาแฟหอมๆ ลิ้มรสกลมกล่อมสักแก้วจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น และกาแฟมักจะเป็นเครื่องดื่มคลายหนาวยอดฮิตอันดับต้นๆ ทั้งหาดื่มง่าย และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายหากได้รับในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากกาแฟจะช่วยกระตุ้นประสาทส่วนกลางทำให้ตื่นตัว ยังช่วยขับไล่ความปวดเมื่อยล้าเนื่องจากไข้หวัด ป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้โดยแนะนำให้ดื่ม 2แก้ว / วัน ช่วยป้องกันโรคพาร์กินสันและนิ่วในถุงน้ำดีโดยมีคำแนะนำให้ดื่ม 34แก้ว / วัน แต่ถ้าอยากดื่มเพื่อความสดชื่นตื่นตัวมีคำแนะนำให้ดื่ม 2 แก้ว / วัน แต่ทั้งนี้ควรดื่มเป็นกาแฟดำร้อนถึงจะช่วยคลายหนาวและได้รับประโยชน์ของกาแฟเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

ชาร้อน

ในใบชามีสารโพลิฟินอล (Polyphenol) คาร์โบไฮเดรท และกรดอะมิโน เมื่อสารเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับน้ำลาย จะช่วยกระจายความร้อนในร่างกายพร้อมขับสารพิษออกไป ช่วยขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยบรรเทาอาการหวัดและการปวดศีรษะ ลดความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ มีหลากหลายเมนูชา สามารถเลือกดื่มได้ตามชอบของแต่ละบุคคล ทั้ง ชาตะไคร้ใบเตย ชาใบหม่อน ชากุหลาบ ชาอู่หลง ชามะนาว ฯลฯ แต่ต้องเป็นชาร้อนและไม่ใส่น้ำตาลจะดีที่สุด เพราะทั้งช่วยคลายหนาวและดีต่อสุขภาพ ยกตัวอย่างชาที่นิยมในหน้าหนาว

 

  • ชาเขียวร้อน ชาเขียวที่ใครหลายคนคุ้นเคย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาขียวใส่นมและเป็นแบบเย็น แต่ชาเขียวร้อนที่ไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาล จะให้ประโยชน์ที่มากมายกว่าที่คิด เนื่องจากชาเขียวมีธิโอฟิลลีนและคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาทให้สดชื่นตื่นตัว มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดระดับไขมันเลวและเพิ่มไขมันดี ควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยชะลอการเกิดโรคเบาหวาน ช่วยลดน้ำหนัก 

 

  • ชาคาโมมายล์ ดอกคาโมมายล์อุดมไปด้วยสารฟาโวนอยด์ น้ำมันหอมระเหย กรดฟิโนลิก มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ เมื่อนำมาทำเป็นชาดื่ม น้ำมันหอมระเหยในดอกคาโมมายล์จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่างกายอบอุ่น จิตใจสงบ นอนหลับสนิท ชาคาโมมายล์ยังช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ลดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปากและลำคอ เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด บรรเทาอาการเจ็บคอ ไอ มีเสมหะ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของเพศหญิงได้ด้วย 

 

น้ำขิง

ขิง สมุนไพรไทยที่อยู่คู่ครัวใช้ประกอบอาหารและยามานาน ด้วยสรรพคุณของขิงที่มีประโยชน์นานัปการ น้ำขิงอุ่นๆที่ให้ความเผ็ดร้อนเล็กๆช่วยปลุกให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ให้ความอบอุ่นแก่ภายในร่างกาย ด้วยน้ำขิงมีฤทธิ์ช่วยในการขับเหงื่อ ขยายหลอดลมให้เลือดไหลเวียนสะดวก มีวิตามินซี ช่วยบรรเทาอาการหรือป้องกันหวัดได้ และยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ละลายเสมหะ จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการใช้เป็นเครื่องดื่มคลายหนาวได้เป็นอย่างดี 

น้ำมะนาว / น้ำมะนาวน้ำผึ้ง

มะนาว มีวิตามินซีสูง วิตามินเอ วิตามินบี สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดซิตริกที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่น การดื่มน้ำมะนาวอุ่นๆตอนเช้าและก่อนนอนดีกับสุขภาพ ดีต่อระบบลำไส้ กระตุ้นให้ระบบขับถ่ายดี เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ช่วยแก้หวัด ลดไอ เจ็บคอ น้ำมะนาวน้ำผึ้งจะช่วยบรรเทาอาการไอและเจ็บคอได้ดี การดื่มน้ำมะนาวสม่ำเสมอยังช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส ลดกลิ่นปาก และยังเป็นผู้ช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ง่ายๆเพียงแค่บีบมะนาวสักซีกผสมน้ำอุ่นดื่มแก้หนาวและได้ประโยชน์มากมาย 

น้ำมะตูม 

มะตูมเป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ทางยาอีกชนิดหนึ่ง ช่วยบำรุงธาตุ รักษาธาตุไฟ แก้หวัด แก้ร้อนใน ช่วยบรรเทาอาการไข้จับสั่นและหลอดลมอักเสบ เป็นยาระบาย รักษาอาการท้องผูก ท้องร่วง ท้องเดิน โรคลำไส้ อากาศหนาวๆ มีมะตูมผงหรือมะตูมอบแห้งติดบ้านไว้ชงหรือต้มน้ำดื่มคลายหนาวก็ดีไม่น้อย หากเป็นมะตูมอบแห้งก็เพียงนำมะตูมแห้งประมาณ 56 ชิ้นต้มน้ำและอาจใส่น้าตาลเล็กน้อยหากใครชอบหวานแต่ไม่ควรมากเกินไป เพราะเดี๋ยวจะได้สุขภาพแย่แทน ส่วนใครสามารถดื่มได้โดยไม่ต้องเติมหวานก็จะดีมากๆ 

น้ำกระเจี๊ยบแดงพุทราจีน

น้ำกระเจี๊ยบพุทราจีนเป็นการรวม 2 คุณประโยชน์จาก กระเจี๊ยบแดง + พุทราจีน เข้าไว้ด้วยกัน เพราะนอกจากจะประสานสรรพคุณให้ดี 2 เท่า การเติมพุทราจีนลงไปเพื่อช่วยลดการกัดกระเพาะของกระเจี๊ยบแดงด้วย โดยกระเจี๊ยบแดงช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงธาตุ แก้กระหายน้ำ แก้ไอ ละลายเสมหะ แก้ดีพิการ ลดความร้อนในร่างกาย ช่วยลดอาการเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน ส่วนสรรพคุณของพุทราจีนจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาฝ้าฟาง ตาบอดในเวลากลางคืนเพราะมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงประสาทและสมอง และเมื่อนำกระเจี๊ยบแดงกับพุทราจีนจีนต้มด้วยกัน โดยอาจเติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยหรือไม่เติมก็ได้เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า แล้วกรองเอาแต่น้ำ ดื่มตอนอุ่นๆจะช่วยคลายหนาวได้ดี หรือถ้าต้มไว้จำนวนมากแล้วดื่มไม่หมด ก็สามารถบรรจุขวดน้ำเก็บใส่ตู้เย็นไว้ดื่มครั้งต่อไป ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น 

 

น้ำเต้าหู้ / นมถั่วเหลือง

น้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองมีโปรตีน ไขมันไม่อิ่มตัวสูงถึง 63% จึงให้พลังงานกับร่างกายแต่ดื่มเท่าไรก็ไม่อ้วน  มีวิตามินอีสูง ต้านทานอนุมูลอิสระ ดื่มน้ำเต้าหู้อุ่นๆทุกเช้าจะช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่ง ชะลอความแก่ ป้องกันโรคกระดูกพรุน ท้องผูก ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้และริดสีดวง นอกจากนี้น้ำเต้าหู้ยังมีสารไอโซฟลาโวน ที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ดีต่อสุขภาพผู้หญิงเป็นอย่างยิ่ง ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

 

โกโก้ร้อน / ช็อกโกแลตร้อน 

อีกเครื่องดื่มที่อยากนำเสนอมากๆ สำหรับผู้ที่รักในรสชาติของโกโก้หรือช็อกโกแลต เพราะนอกจากกลิ่นหอมๆชวนดื่มแล้ว แต่ยังมีประโยชน์อีกมากมาย มีสารฟลาโวนอยด์ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้ให้ออกซิเจนและเลือดลำเลียงสู่สมองได้ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดการเกิดโรคต่างได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด สารโพลีฟินอลช่วยให้หลอดเลือดแดงแข็งแรง เพิ่มไขมันคอเลสเตอรอลชนิดดี(HDL) ช่วยลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดได้ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นดาร์กโกโก้หรือดาร์กช็อกโกแลต หรืออาจเติมนม / น้ำผึ้งสักเล็กน้อยหากใครไม่ชอบขมจนเกินไป

 

และอีกมากมายเมนูเครื่องดื่มที่ช่วยคลายหนาวแถมยังมีประโยชน์กับร่างกาย เพียงเลือกให้ถูกกับสุขภาพร่างกายและดื่มให้ถูกวิธี ทานอาหารที่มีประโยชน์ พร้อมทั้งออกกำลังกายสม่ำเสมอ เตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม เพียงเท่านี้ก็พร้อมรับมือลมหนาวที่จะมาปะทะกับร่างกายแล้ว ขอให้สุขภาพดีถ้วนหน้าตลอดลมหนาวค่ะ 

เมื่อภัยมีอยู่รอบตัวไม่เว้นแม้แต่ภัยจากไซเบอร์ หลังจากที่พบว่าใน 17 วัน พบยอดเงินผิดปกติผ่านบัตรกว่า 130 ล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 117 ตุลาคม 2564 ตรวจสอบพบการตัดเงินที่ผิดปกติจากการใช้จ่ายผ่านบัตรกว่า 10,700 ใบ เป็นเงินมูลค่า 130 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 8090% ที่ตัดเงินจากบัตรเดบิต จากการทำธุรกรรมและชำระค่าสินค้า-บริการกับร้านค้าออนไลน์จากต่างประเทศและจากการจ่ายผ่านเครื่อง EDC (เครื่องที่รับชำระเงินได้ทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต สแกน QR Code , Airpay , ewallet หรือแม้แต่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ ที่เรามักจะเห็นได้ตามร้านค้าต่างๆและห้างสรรพสินค้า จะมีทั้งแบบรูดแถบบัตรและแบบเสียบบัตรเข้าเครื่อง) เป็นหลัก

จากภัยโดนแฮกข้อมูลและดูดเงินไปจนมีผู้เสียหายสูญเงินไปจำนวนมากหลายรายในขณะนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นในกรณีบัตรเดบิต เพราะมีการผูกไว้กับเงินในบัญชีและไม่ต้องใช้ otp ยืนยัน แต่ถ้าเป็นกรณีบัตรเครดิตจะเป็นการใช้ก่อนจ่ายทีหลัง จึงเกิดปัญหาได้น้อยกว่า แต่ในกรณีแบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบการเงินชี้แจงว่า สามารถเกิดขึ้นได้ไม่เพียงแค่บัตรเดบิตเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับบัตรเครดิต กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์  ecommerce หรือการผูกบัญชีไว้กับแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ต่างๆ 

 

ขั้นตอนการชำระเงินผ่านบัตรเดบิตและเครดิต 

-กดเลือกวิธีชำระ เดบิต / เครดิต 

-กรอกข้อมูลผู้ถือบัตร 

-ตรวจสอบรายการสั่งซื้อ 

-กดยืนยันการชำระเงิน 

-ชำระเงินสำเร็จ 

 

ข้อแนะนำไม่ให้ถูกจารกรรมการเงินทางไซเบอร์ 

เหลือเงินทิ้งไว้ในบัญชีให้น้อยที่สุด ให้มีเงินติดไว้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละเดือน เช่น สำหรับตัดค่าบัตร พอหมดก็เติมใหม่สำหรับโอนจ่าย ณ ตอนนั้น พยายามอย่าผูกบัตรกับช้อปปิ้งออนไลน์ หรือ แพลตฟอร์ม ecommerce และไม่ควรให้คนอื่นรู้เลขรหัส ccv บนบัตรเด็ดขาด และควรทำการขอให้ทางธนาคารหรือแหล่งการเงินที่มีบัญชีส่ง OTP ทุกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันจะมีการใช้จ่ายตัดยอดเงินในบัตรโดยไม่ต้องใช้บัตร ไม่ต้องเซ็นต์ชื่อ เรียกว่า CNP (Card Not Present) เพียงแค่มีข้อมูลดังนี้…

ข้อมูลที่โจรสามารถนำไปใช้ในการจารกรรมได้  

-ชื่อ-นามสุกล หน้าบัตร (Name Surname)

-เลขบัตร 16 หลัก (Card number)

-เดือน / ปี ที่บัตรหมดอายุ (Expiration date)

-รหัส CCV บนบัตร (Card Verification Value Code

 

เมื่อรู้ข้อมูลเหล่านี้ก็สามารถทำการใช้บัตรได้ และบางที่ก็ใช้เพียง ccv ก็ใช้บัตรได้ทันทีเหมือนเป็นเจ้าของบัตรเอง 

 

CCV คืออะไร? CCV คือรหัสที่อยู่บนบัตรเครดิตเพื่อแสดงตัวตนเจ้าของบัตร จะมีตัวเลขอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังบัตร ขึ้นอยู่กับประเภทของบัตร ถ้าเป็นบัตร Visa และ Master Card รหัส ccv จะเป็นตัวเลข 3 ตัวอยู่ด้านหลังบัตรเยื้องไปทางขวาหลังลายเซ็นต์เจ้าของบัตร ส่วนบัตร American Express จะมีรหัส ccv เป็นตัวเลข 4 ตัวอยู่ด้านหน้าบัตรทางขวามือ 

CCV สำคัญอย่างไร? รหัส CCV จะช่วยป้องกันในการที่ผู้อื่นหรือโจรนำไปใช้บัตรทางออนไลน์ เพราะจะต้องรู้รหัสและกรอกเลขเพื่อทำการตัดยอดเงิน แต่ถ้าใครสักคนเห็นรหัส CCV หลังบัตร ก็สามารถนำไปใช้ได้ ดังนั้นควรขูดทิ้งหรือปิดทับให้แน่นแบบถาวร แล้วจดจำรหัสไว้จะเป็นการดีกว่า 

 

OTP (One Time Password) เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการรักษาความปลอดภัยจากการจารกรรมข้อมูลและเงินในบัญชีที่ผูกไว้กับบัตร ในกรณีที่บัตรถูกขโมยหรือหายแล้วมีคนนำไปใช้ เมื่อมีการกรอกข้อมูลบนบัตรจรครบ OTP จะเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ผู้ถือบัตรจะต้องทำการใส่เพื่อทำการยืนยันในตัดยอดเงินในบัตร โดยจะมีการขอรหัส otp ก่อนทำการตัดยอดเงินในการใช้บัตรทุกครั้ง แต่ปัจจุบันจะมีการขอรหัสเมื่อมีการใช้ยอดเงินที่สูงเท่านั้น หากชำระยอดเงินต่ำระบบจะทำการตัดเงินทันทีหลังจากใส่ ccv โดยไม่มีการขอ OTP อีก

OTP คืออะไร? OTP คือ รหัสผ่านที่ใช้ครั้งเดียวที่ระบบสร้างขึ้นเพื่อความปลอดภัยสำหรับในการใช้ธุรกรรมทางออนไลน์ ซึ่งเป็นเลขชุด 6 หลัก โดยจะมีการส่งแจ้งทาง SMS ไปทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้เจ้าของบัญชีทำการยืนยันตัวตนก่อนทำการเข้าถึงข้อมูลหรือทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ และมีเวลาจำกัดในการดำเนินการ เพื่อป้องกันความปลอดภัยในการถูกจารกรรมข้อมูล จึงไม่ควรบอกเลข OTP ให้คนอื่นรู้ 

 

ควรเช็ค URL ของเว็บไซต์ทุกครั้งก่อนทำการชำระเงินช้อปปิ้งออนไลน์ ว่าขึ้นต้นด้วย https ที่คุ้มครองทุกการทำธุรกรรมการเงินทางออนไลน์ 

อย่าผูกบัตรไว้กับระบบอัตโนมัติเพื่อไม่ให้ระบบจำรหัสบัตรไว้ จะทำให้เสี่ยงต่อการโดนแฮกข้อมูลและการโดนจารกรรมได้ เมื่อทำการใช้บัตรเพื่อจ่ายค่าบริการหรือสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะทำการจองห้องพักโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน ชำระค่าสินค้าใดๆก็ตาม ควรยอมเสียเวลาสักนิดในการเข้ารหัสเมื่อจะทำการใช้จ่ายผ่านบัตรในแต่ละครั้ง และนำข้อมูลในบัตรออกจากระบบทันทีหลังจากเสร็จสิ้นจากการใช้งาน หรือถ้าจำเป็นต้องผูกไว้กับบัญชีเพื่อใช้จ่ายในการตัดยอดชำระค่าบริการรายเดือน เพราะบางครั้งก็ลืมวันกำหนดชำระ เช่น ค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ  ช่องหนังออนไลน์ เกมส์ที่ต้องมีการเติมเงินและซื้อออฟชั่น ฯลฯ ก็ให้ผูกไว้กับบัญชีที่มียอดเงินจำนวนน้อยๆ เลี่ยงกับการผูกบัตรไว้กับบัญชีเงินเดือนหรือบัญชีที่มียอดวงเงินสูง 

 

สำหรับ sms alert การแจ้งเตือนยอดชำระจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและการบริการของแต่ละสถาบันการเงิน บางแห่งอาจจะมีบริการฟรีเดือนแรกและคิดค่าบริการในเดือนต่อไป ทำให้เจ้าของบัญชีที่อาจมีวงเงินในบัญชีไม่มากทำการยกเลิกเพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนที่คิดว่าไม่จำเป็น แต่บางคนก็ยอมจ่ายเพื่อแลกกับการได้รู้ความเคลื่อนไหวทางการเงินในบัญชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีวงเงินค่อนข้างสูง 

 

หากไม่มีหรือไม่ได้สมัครป๊อบอัพ sms alert ไว้ ควรทำการตรวจสอบยอดเงินเข้า-ออกในระบบทางมือถือทุกสิ้นวัน หรือขอ statement กับทางสถาบันการเงินที่มีบัญชีทุกเดือน เพราะมีผู้เสียหายหลายคนที่กว่าจะรู้ว่าโดนเข้าแล้ว ก็สูญเงินไปแล้วในจำนวนไม่น้อยเลย 

พฤติกรรมของแฮ็กเกอร์ 

ส่วนใหญ่ที่ยอดเงินหายไปมักจะเป็นยอดเงินต่ำๆ ตั้งแต่ 20 บาท 30 บาท 40 บาท ฯลฯ แต่ตัดถี่ๆ ภายในระยะเวลาติดๆกันไม่กี่นาทีแต่รวมแล้วสูญเงินไปเป็นจำนวนหลักพัน หรือเวลาที่ห่างกันข้ามวันเพื่อretakeไม่ได้ และระบบก็ไม่ค่อยเตือนในยอดต่ำและที่มีการตัดเงินถี่เกินไป ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นช่วงเวลากลางคืน อาจเป็นไปได้ว่าการโจรกรรมที่เกิดจากต่างประเทศซึ่งอยู่คนละช่วงเวลากับประเทศไทย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากลางวันจะไม่เกิดขึ้น เพราะโจรไม่มีวันหยุดและการปล้นขโมยก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ฤกษ์ยามแบบโจรบ้านเราสมัยก่อน ยิ่งโจรไซเบอร์ยิ่งสามารถทำได้ง่ายและตลอดเวลาเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้นเอง 

 

ถึงแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาปฏิเสธว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากข้อมูลรั่วไหลจากธนาคาร แต่เป็นความผิดปกติจากการที่ผู้ถือบัตรนำไปผูกกับร้านค้าออนไลน์ ทั้งที่มีเจ้าของบัญชีอีกหลายรายบอกว่าไม่เคยไปผูกกับร้านค้าใดๆ ไม่เคยใช้จ่ายทางออนไลน์ หรือแม้แต่บางคนก็ไม่มีแม้แต่บัตรเครดิตและบัตรเดบิตก็ตาม แต่ก็ยังมิวายตกเป็นผู้เสียหายด้วยเช่นกัน แต่จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ และยังไม่สามารถสาวไปถึงต้นเรื่องการโจรกรรมได้ ด้วยเหตุที่ต้นทางการจารกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นมาจากต่างประเทศ 

ดังนั้นเราจึงต้องทำการป้องกันตัวเองให้มากที่สุดตามที่ได้แนะนำไว้ข้างต้น และสำหรับผู้ที่เสียหายสามารถเข้าทำการแจ้งความได้ โดยการไปขอ statement กับทางธนาคารและรวบรวมเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ๆ จะทำการตรวจสอบและประสานงานกับส่วนของธนาคารอีกทีหนึ่ง 

 

ที่สำคัญอย่าลืมจดจำรหัสบัตร ccv ไว้และทำการขูดออกหรือปิดทึบอย่างถาวรเสีย เพราะตัวเลขเหล่านี้เป็นมาตรฐานสากล ทางธนาคารไม่สามารถแก้ไขให้ได้ หากห่วงว่าจะจำรหัสไม่ได้ ให้จดหรือถ่ายรูปไว้ ซึ่งน่าจะสะดวกสำหรับผู้ที่ถือบัตรหลายใบด้วยกัน ส่วนผู้ที่มีบัตรไม่กี่ใบหรือใช้อยู่เพียงใบเดียวยิ่งจดจำได้ง่าย และเมื่อทำการใส่รหัสหรือข้อมูลในการชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆในแอปพลิเคชั่นต่างๆ ให้ทำการนำออกจากระบบทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการชำระ หรือผู้ที่เคยไปผูกหรือใส่ไว้แบบถาวรเพื่ออำนวยความสะดวกนั่น ควรรีบนำข้อมูลออกเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนเอง เพราะสมัยนี้อะไรก็ไว้ใจไม่ได้ จงยึดหลักคำ“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”ไว้จะดีที่สุด

 

เพราะช่วงนี้เป็นฤดูฝน ฝนตกทุกวันไม่เว้นวัน อีกทั้งน้ำท่วมครอบคลุมหลายจังหวัด ทำให้มีโรคที่มากับหน้าฝนและโรคที่มากับน้ำสกปรก เพราะน้ำท่วมขังหลายวันประกอบกับขยะที่เกิดจากประชาชนทิ้งไม่เป็นที่ ทำให้ลอยปะปนกับน้ำบ้าง อุดตันตามท่อระบายน้ำบ้าง ทำให้บริเวณหลายแห่งที่มีน้ำท่วมขังเริ่มเน่าและสกปรกมากขึ้น 

 

ในฤดูฝนทุกๆปีหรือแม้แต่ช่วงที่มีฝนตกติดต่อกันหลายวันที่เกิดจากอิทธิพลของพายุต่างๆ มักจะมีโรคที่มากับหน้าฝนเป็นประจำ ด้วยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความชื้นในอากาศ เป็นเหตุให้โรคที่มากับฝนหลายชนิดแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว ควรดูแลป้องกันตนเองอย่างไรจากโรคติดต่อในฤดูฝน

โรคที่มากับฤดูฝน

 

1.โรคระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ 

  • โรคไข้หวัด (Common Cold) เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่มีหลากหลายสายพันธุ์ในอากาศ แต่เมื่อเป็นไข้หวัด มักจะเกิดจากสายพันธุ์เดียว และเมื่อหายจากไข้หวัด ร่างกายจะมีการสร้างภูมิต้านทานไวรัสชนิดนั้นขึ้นมา และเมื่อร่างกายอ่อนแอก็จะเป็นไข้หวัดจากไวรัสหรือแบคทีเรียที่ไม่ใช่สายพันธุ์เดิม อาการที่พบได้ทั่วไปคือ ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอแห้งหรือมีเสมหะ เมื่อไอมากๆอาจเจ็บบริเวณลิ้นปี่ อาจมีอาการหรือโรคอื่นแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิบอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ วิงเวียนศีรษะจากหวัดลงหู หูชั้นกลางอักเสบ สำหรับเด็กเล็กบางคนอาจมีอาการชัก การติดต่อไข้หวัดได้จากสารคัดหลั่ง น้ำลาย น้ำมูก เสมหะ อาจด้วยวิธีการไปสัมผัสกับผู้ป่วยหรือผู้ที่มีเชื้อหวัด หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยแล้วหายใจเอาละอองฝอยน้ำลายในอากาศจากการไอ จาม เข้าไปก็จะทำให้ติดเชื้อหวัดได้ 

 

  • โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินฟลูเอนซาหรือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี โดยมักจะพบผู้ติดเชื้อในกลุ่มอายุเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี และกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้แก่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ดังนั้น 2 กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มคนที่ควรดูแลสุขภาพและระวังโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่ากลุ่มวัยอื่น อาการที่พบจากไข้หวัดใหญ่ คือ หนาวสั่น ปวดศีรษะ มีอาการคัดจมูก เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีอาการอ่อนเพลียมาก ส่วนใหญ่อาการจะหายได้ใน1-2 สัปดาห์ แต่ถ้ามีโรคแทรกซ้อน อย่างเช่น ปอดอักเสบ อาจทำให้มีอาการรุนแรงจนเสียชีวิตได้ 

*การป้องกันโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ ด้วยการล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น ไม่ใกล้ชิดหรือสัมผัสผู้ป่วย พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ปัจจุบันได้มีการเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มผู้สูงอายุควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 

 

  • โรคปอดอักเสบหรือปอดบวม เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจส่วนล่าง อาจเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งสาเหตุของโรคจะมีความแตกต่างกันไป แต่มักจะเกิดต่อเนื่องมาจากโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในฤดูฝน อาการของโรคปอดอักเสบ เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีอาการหลังจากมีอาการหวัด หากมีไข้สูง ไอ มีเสมหะ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย หากมีอาการเหล่านี้ให้สงสัยไว้เลยว่าอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่หวัดเท่านั้น อาจมีอาการปอดอักเสบร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์ 

2.โรคติดเชื้อในคอ

ต่อมทอนซิลอักเสบ เกิดจากการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย การได้รับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศ ซึ่งอาจเกิดได้ง่ายจากการรับประทานของทอด ของมัน น้ำชา กาแฟ การสูบบุหรี่ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ลดประสิทธิภาพการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกาย อาการของโรคติดเชื้อในลำคอ หากเกิดจากเชื้อไวรัสจะมีอาการหวัดมาก่อน คอแดง ไม่มีจุดขาวที่ต่อมทอนซิล เจ็บคอโดยเฉพาะเวลากลืนอาหาร สีเสมหะ น้ำมูกใส แต่ถ้าเจ็บคอจากเชื้อแบคทีเรีย จะเกิดจากการที่มีอาการเจ็บคอเป็นเวลานาน คอแดงมาก มีจุดสีขาวที่ทอนซิล มีเสมหะ มีไข้ มีน้ำมูกเขียว-เหลือง เสียงพูดเปลี่ยน อาจแหบและแห้ง กลืนลำบาก

 

*การป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อในลำคอ  หากเกิดจากเชื้อไวรัส เพียงงดดื่มน้ำเย็น งดทานของทอด ของมัน อาหารรสจัด ดื่มน้ำอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ ก็สามารถหายได้ภายใน3-5วัน แต่ถ้าเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จะต้องได้รับยาปฏิชีวนะและรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 

3.โรคระบบทางเดินอาหาร

  • โรคท้องร่วงเฉียบพลันหรือท้องเสีย เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ปนเปื้อนมากับอาหารหรือเครื่องดื่มไม่สะอาด ทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องร่วงเฉียบพลัน ถ่ายเหลวหรือเป็นน้ำ มีมูก อาการถ่ายผิดปกติ ปวดท้องแบบบิดเป็นๆหายๆ คลื่นไส้ หรืออาจมีอาการท้องอืดด้วย แม้ว่าโรคท้องร่วงนี้จะไม่มีอันตรายรุนแรง แต่หากมีการถ่ายเหลวต่อเนื่องมากเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ ทำให้อ่อนเพลียหนัก เนื่องจากสูญเสียน้ำและแร่ธาตุ หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะหากรักษาไม่ทัน อาจเกิดอาการช็อกและเสียชีวิตได้ 

 

*การป้องกันโรคท้องร่วงเฉียบพลัน ทำได้โดยการเลือกรับประทานอาการที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารดิบและไม่สะอาด ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก ไม่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม ไม่นำอาหารสดแช่แข็งละลายด้วยการแช่น้ำตั้งทิ้งไว้ เพราะจะทำให้เชื้อโรคบางชนิดสามารถเติบโตได้

 

  • อาหารเป็นพิษ เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อน อาหารเป็นพิษ เกิดจากการดื่มน้ำหรืออาหารที่มีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อโรคต่างๆ ปรสิต เช่น อะมีบ้า หรือจากอาหารที่เป็นพิษอื่นๆ เห็ดพิษ สารเคมี สารหนู สารตะกั่ว อาการของอาหารเป็นพิษ เมื่อรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีพิษเข้าไปประมาณภายใน 2-6 ชั่วโมง จะเริ่มมีอาการปวดท้องแบบบิดเป็นพักๆ แต่จะปวดมากน้อยแล้วแต่ความรุนแรงของเชื้อโรคที่ได้รับ ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง อาจมีการอาเจียนร่วมด้วย 

 

*การป้องกันและรักษา หากมีอาการไม่รุนแรงมาก ให้ดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ซึ่งจะต้องเป็นเกลือแร่สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย ไม่ใช่เกลือแร่สำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่จะทำให้เสียน้ำมากขึ้น ไม่ควรทานยาเพื่อหยุดการถ่าย เมื่ออาการทุเลาสามารถทานอาหารอ่อนๆย่อยง่าย หากมีอาการรุนแรงถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง อาเจียนรุนแรง หน้ามืดจะเป็นลม ควรรีบไปพบแพทย์ การป้องกันทำได้โดยวิธีเดียวกับการป้องกันโรคท้องร่วง ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารที่เก็บไว้หรือแช่ในตู้เย็นนานๆ ไม่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม ไม่นำอาหารสดแช่แข็งละลายด้วยการแช่น้ำตั้งทิ้งไว้ เพราะจะทำให้เชื้อโรคบางชนิดสามารถเติบโตได้

4.โรคทางตา 

โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ เกิดจากเชื้อไวรัส ที่อาจเพราะน้ำสกปรกเข้าตา มือสกปรกหรือสัมผัสเชื้อแล้วเผลอนำมาขยี้ตา การใช้สระว่ายน้ำสาธารณะ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะเจอในกลุ่มเด็กมากกว่าเนื่องจากขาดความระวัง โดยจะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหล เจ็บตา มักมีเมือกขี้ตาสีขาวหรือเหลืองอ่อนจำนวนมาก เพราะติดเชื้อแบคทีเรีย  อาจมีอาการตาบวมร่วมด้วย ถ้าไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อน อาการติดเชื้อก็สามารถหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ 

 

*การป้องกันและรักษาโรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหน้าหรือขยี้ตา ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยหรือที่มีอาการตาแดงแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งรวมไปถึงอย่าพยายามนำมือสัมผัสผู้ป่วยมาสัมผัสใบหน้าและตาตัวเองเด็ดขาด หากมีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้าตาให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที หมั่นทำความสะอาดปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดตัว อย่างสม่ำเสมอ และไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้ป่วยหรือที่มีอาการเยื่อบุตาอักเสบ รวมไปถึงงดการว่ายน้ำในช่วงโรคตาแดงระบาด ในกรณีการรักษานั้นหมอจะให้ยาปฏิชีวนะตามอาการ หากมีอาการปวดหรือเจ็บคอร่วมด้วย หมอจะจ่ายยาบรรเทาอาการปวดและฆ่าเชื้อ และผู้ที่มีอาการตาแดงควรลาหยุดจากงานหรือการเรียนเพื่อพักรักษาตัวอย่างน้อย 3 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น งดการใส่คอนแทคเลนส์จนกว่าจะหายดี ควรใส่แว่นตากันแดดเมื่อต้องเผชิญกับแสง พักผ่อนให้เพียงพอ พักการใช้สายตา รวมไปถึงไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่นอย่างเด็ดขาด 

5.โรคไข้เลือดออก 

เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เป็นโรคในฤดูฝนที่จะแพร่ระบาดได้สูงถึง 3 เท่าในช่วงเวลาปกติ โดยจะมีไข้ประมาณ 2-7วัน ซึ่งโรคนี้ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นหากผู้ที่มีอาการมีไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร มีจุดเลือดออกเล็กๆขึ้นบริเวณตามตัว กระสับกระส่าย ตัวเย็น เหงื่อออก ชีพจรเต้นเร็วและเบา ถ่ายเป็นสีดำเหมือนถ่าน เสี่ยงที่จะมีอาการช็อกได้ ควรรีบนำตัวไปพบแพทย์ สำหรับการดูแลตัวเองหรือผู้อื่นเมื่อมีอาการไข้เลือดออก โดยการทานยาพาราเซตามอลเท่านั้นหากมีอาการปวดศีรษะ ห้ามทานยาแอสไพลินเด็ดขาดเพราะจะยิ่งทำให้เลือดออก เมื่อมีไข้ตัวร้อนให้หมั่นเช็ดตามข้อพับต่างๆเพื่อระบายความร้อน ดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากเหงื่อ ทานอาหารอ่อน แต่ควรงดอาหารที่มีสีดำหรือสีแดงไปก่อน เผื่อในกรณีที่ยังคงอาเจียนจะทำให้มีการวินิจฉัยผิดพลาดได้ เพราะไม่แน่ใจว่าอาเจียนเป็นเลือดหรือสีมาจากอาหารกันแน่ 

 

*การป้องกันจากไข้เลือดออก พยายามอย่าให้โดนยุงกัดโดยเฉพาะเวลากลางวัน หาสิ่งป้องกันการโดนยุงกัด เช่น นอนในมุ้ง ทายาหรือโลชั่นกันยุง ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง อย่าให้มีน้ำขังตามจุดและบริเวณต่างๆรอบบ้าน 

6.โรคฉี่หนู (Leptospirosis)

โรคฉี่หนูเป็นโรคหน้าฝนที่ระบาดมากที่สุด โรคฉี่หนูเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ที่เป็นพาหะอย่าง หนู สุกร สุนัข โค กระบือ และ แรดคูณ ซึ่งสัตว์พาหะเหล่านั้นอาจไม่แสดงอาการ แต่จะมีเชื้อแบคทีเรียและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งเชื้อจะแฝงอาศัยอยู่ตามดิน โคลน ร่องน้ำ คู คลอง หรือแหล่งน้ำท่วมขังต่างๆ โดยแบคทีเรียเหล่านี้จะสามารถแฝงและมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นเดือนๆเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นโรคที่มากับน้ำสกปรก ซึ่งคนจะสามารถรับเชื้อนี้ได้จากทางผิวหนัง เยื่อบุอ่อน เช่น ปาก ดวงตา จมูก โดยเชื้อนี้จะพบได้ในน้ำ อาจติดเชื้อจากการว่ายน้ำ การแช่น้ำท่วมขัง การสัมผัสโดนน้ำที่ปนเปื้อนปัสสาวะหรือเลือดของสัตว์พาหะโดยตรง แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน 

 

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคฉี่หนูนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีอาชีพเกษตร คนงานขุดท่อลอกคูคลอง ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยมีน้ำท่วมขัง ผู้ที่ได้สัมผัสน้ำที่มีการปนเปื้อนแบคทีเรียดังกล่าว อาการของโรคฉี่หนู จะแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ โดยระยะแรก จะมีอาการปวดศีรษะ มีผื่นคัน คลื่นไส้ อาเจียน ตาแดง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะบริเวณ หลัง เอว น่อง  และคอแข็ง   ส่วนระยะที่2 จะปวดศีรษะมาก คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ต่ำๆ เมื่อไข้ลดแล้วก็กลับมามีไข้ได้อีก ช่วงระยะเวลาของอาการไข้อาจนานเป็นเดือน อาจมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ม่านตาอักเสบ ตับและไตทำงานผิดปกติ 

 

*การป้องกันจากโรคฉี่หนู หลีกเลี่ยงการเดินลุยหรือแช่น้ำท่วมขังหรือน้ำสกปรก หากต้องทำงานหรือไม่สามารถเลี่ยงได้ ก็ควรใส่รองเท้าบูทในขณะที่ต้องทำการลุยหรือแช่น้ำ ในกรณีที่มีแผล รอยข่วน รอยถลอกก็เช่นกัน ควรงดการลงน้ำ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องใส่รองเท้าบูทเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าทางบาดแผล รีบทำความสะอาดหรืออาบน้ำทันทีหลังจากมีการย่ำหรือแช่น้ำสกปรกหรือแหล่งที่อาจมีเชื้อฉี่หนูปนเปื้อน หากมีไข้สูงเฉียบพลันและปวดบริเวณน่องมาก ให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำ หรือการสัมผัสน้ำตามแหล่งต่างๆให้กับแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย เพราะโรคฉี่หนูอันตรายหากรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ 

 

เมื่อรู้แล้วว่าโรคช่วงหน้าฝนมีอะไรบ้างก็ควรเพิ่มความระมัดระวังเพื่อจะได้ไม่เจ็บป่วย นอกจากการหลีกเลี่ยงความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคดังกล่าวแล้ว ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และช่วยเสริมภูมิป้องกันให้กับร่างกาย  หาเวลาในการออกกำลังกายตามกำลังและเหมาะสม เพราะเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาจะได้ลดอาการรุนแรงและสามารถหายเป็นปกติได้เร็วนั่นเอง 

 

“โกโก้”เป็นอีกเมนูโปรดของใครอีกหลายๆคน ไม่ว่าจะในรูปแบบเครื่องดื่มหรือเมนูของหวานต่างๆ ด้วยกลิ่นหอมที่น่าหลงไหลและรสชาติเข้มถึงใจแต่หวานละมุน ผลิตภัณฑ์โกโก้มีทั้งแบบโกโก้ผง ผงช็อกโกแลต ช็อกโกแลตแท่ง ดาร์กช็อกโกแลต และการนำโกโก้ทำขนมผสมอาหารหรือชงเป็นเครื่องดื่มหลากหลายเมนู  

 

ยิ่งถ้าได้ชงโกโก้ร้อนดื่มตอนเช้าๆ หรือกินโกโก้ก่อนนอน รวมไปถึงโกโก้เย็นชื่นใจเวลาอากาศร้อนๆก็ดูจะเป็นสิ่งที่ควรค่าจริงๆ แต่คุณรู้ไหมว่านอกจากความอร่อยแล้ว โกโก้มีประโยชน์อะไรบ้าง  ผงโกโก้มีประโยชน์อย่างไร แต่ก่อนจะไปรู้ว่าดื่มโกโก้มีประโยชน์อย่างไร เราไปทำความเข้าใจและรู้ข้อดีโกโก้กันก่อนดีกว่า

ทำความรู้จักกันก่อนว่าโกโก้คืออะไร

โกโก้คือผลผลิตจากเมล็ดโกโก้ที่อยู่ในผลกาเกา(Cacao) ที่เราเรียกกันง่ายๆว่าต้นโกโก้ ซึ่งเป็นพืชแถบอเมริกาใต้ โดยการนำเมล็ดในฝักแช่น้ำหมักไว้แล้วนำไปตากแห้งเพื่อให้ความชื้นลดลง นำไปกระเทาะเปลือกและล่อนเปลือกออก จากนั้นจึงนำไปคั่วจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นหอม รสขมที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะ เรียกว่า“คาเคา นิบส์” (Cacoa nib) แล้วจึงนำไปบดเป็นผงเพื่อให้ได้ผงคาเคา

 

คาเคานิบส์คืออะไร

Cacao nibคือ เมล็ดโกโก้ที่ผ่านกระบวนการคั่วและแกะเปลือกออกจนได้เม็ดสีน้ำตาลหอมกรุ่นและอุดมไปด้วยแร่ธาตุวิตามินต่างๆ ไขมัน ไฟเบอร์ สารอาหาร รวมไปถึงสารต้านอนุมูลอิสระและฟลาโวนอยด์ที่ช่วยในเรื่องการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกายให้ดูอ่อนกว่าวัย กระตุ้นสมองให้หลั่งสารเอ็นโดฟิน(Endorphins)ที่เป็นสารแห่งความสุขและอารมณ์ดี และเนื่องจากผงคาเคาคือแทบจะไม่มีน้ำตาลจึงให้รสขมกว่าดาร์กช็อกโกแลต และ cacao nibs ประโยชน์คือมีไขมันดี โปรตีน แมกนีเซียมสูงเพราะผ่านกระบวนการผลิตน้อยขั้นตอน เป็นช็อกโกแลตบริสุทธิ์ ทานแล้วอิ่มอยู่ท้องนานแต่ให้พลังงานและยังช่วยเผาผลาญไขมัน เป็นที่นิยมกับผู้ลดน้ำหนักและสายเฮลตี้เป็นอย่างมาก

 

คาเคานิบส์กินยังไงและต่างจากผงโกโก้อย่างไร 

คาเคานิบส์เมื่อผ่านการคั่วและแกะเปลือกแล้วก็สามารถนำไปใช้งานหรือทานได้เลยโดยทานเปล่าๆซึ่งคาเคานิบส์จะมีความคล้ายๆถั่วแต่รสขมเข้ม หากคุณสามารถทานรสขมได้ก็หยิบเคี้ยวๆเหมือนถั่วได้เลยแถมประโยชน์ที่ได้ก็มากล้น หรือจะนำไปโรยหน้าโยเกิร์ต ไอศกรีม ใส่สมูทตี้ กาโนล่า ใส่น้ำผึ้ง หรือใส่ขนม ก็จะได้ทั้งความอร่อยเพลินและมีประโยชน์ให้กับร่างกาย แต่ถ้านำคาเคานิบส์ไปบดเป็นผงแล้วสกัดเอาไขมันออกก็จะได้ผงโกโก้นั่นเอง

 

โกโก้แอฟริกากับโกโก้เอเชียแตกต่างกันอย่างไร

โกโก้ยุโรปจะมีกลิ่นหอมอโรม่าลอยแตะจมูกชัดเจน รสชาติเข้มแต่ละมุนกลมกล่อม ทานง่าย สีเข้มสวย เนื่องจากภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโต และดินที่มีสารอาหารตามที่พืชโกโก้ต้องการ ถ้าเป็นโกโก้ทางเอเชียจะมีรสเข้มฝาดขมบาดลิ้น ไม่ค่อยมีกลิ่นหอม และราคาจะถูกกว่าโกโก้จากทางยุโรป แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่รสนิยมในรสชาติของตัวบุคคล และวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ 

ประโยชน์ของโกโก้กับงานวิจัย

จากการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่าประโยชน์ของการกินโกโก้ 1,000 มิลลิกรัม หรือ 2 ช้อนโต๊ะต่อวันจะช่วยให้ระบบการทำงานของสมองดีขึ้น และยังมีผลการวิจัยจากอังกฤษและอิตาลีที่ให้ข้อมูลตรงกันว่าโกโก้ประโยชน์ดีต่อสมอง นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิพนธ์ พวงวรินทร์ ราชบัณฑิต สาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้มีคำขวัญ “Two spoonfuls of cocoa a day keeps Alzheimer away”  ก็คือทานโกโก้วันละ 2 ช้อนโต๊ะจะช่วยให้มีความจำที่ดีขึ้น ความดันโลหิตลดลง ควบคุมค่าระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผงโกโก้ด้วย

นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่าคุณสมบัติโกโก้ช่วยในเรื่องความรู้สึกของสุขภาวะที่ดี เนื่องจากสรรพคุณของโกโก้ที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเซโรโทนินในสมองเพิ่มขึ้น จึงมักถูกนำไปใช้กับหญิงวัยหมดระดู และผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีรอบเดือนก็นิยมดื่มเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด เพราะเป็นช่วงที่ผู้หญิงจะมีสารเซโรโทนินปริมาณต่ำ และด้วยฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ผู้หญิงมีการตอบสนองต่อโกโก้ดีกว่าผู้ชาย โกโก้จึงเป็นตัวช่วยต้านภาวะซึมเศร้าในผู้หญิงได้อย่างดี

ทำไมถึงว่าประโยชน์ผงโกโก้ดีต่อสุขภาพ เพราะผงโกโก้แท้100จะมีสารอาหารโกโก้ประโยชน์ที่คาดไม่ถึงหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ฟลาโวนอยด์ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ สารอีพิคาเทชิน เป็นต้น ถ้าเป็นผงโกโก้แท้ประโยชน์ก็ยิ่งสูงเพราะมีสารอาหารตามคุณสมบัติของโกโก้ เราไปดูกันว่าคุณประโยชน์ของโกโก้มีอะไรอีกบ้าง

สรรพคุณโกโก้ 

กินโกโก้มีประโยชน์อย่างไร…เรามาดูกันว่าประโยชน์ของโกโก้แท้และสรรพคุณผงโกโก้เมื่อดื่มหรือทานเป็นประจำอย่างเหมาะสมมีดังนี้

  • ช่วยต้านมะเร็ง เนื่องจากสรรพคุณของผงโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์(Flavonoids) สารโพลีพีนอลส์(Polyphenols) สารสารไนอาซีน(Niacin) สูงกว่าอาหารทั่วไป โดยสารเหล่านี้จะช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายจากแบคทีเรีย ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งที่มีอยู่แล้วแพร่กระจายเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งตาย 
  • ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ สารฟลาโวนอยด์ในโกโก้มีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจมีสรรพคุณการป้องกันการอุดตันในเลือด  ลดการปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดซึ่งดีต่อสุขภาพหัวใจ และโกโก้มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และกรดโอเลติก (Oleic acid) ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง 
  • ลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เพราะสารฟลาโวนอยด์ในโกโก้ 100 ประโยชน์ช่วยขยายหลอดเลือดทำให้เลือดไหลเวียนดี 
  • ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน สารโพลีฟีนอลส์ในโกโก้ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร ดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลได้ดีขึ้น ช่วยสลายน้ำตาลกลูโคสทำให้น้ำตาลในเลือดมีความสมดุลและเพิ่มความต้านทานต่ออินซูลินได้ 
  • ป้องกันภาวะสมองเสื่อม สารโพลีฟีนอลส์และสารฟลาโวนอยด์ในผงโกโก้ สรรพคุณช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบสมอง ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีและช่วยป้องกันโรคประสาทเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ 
  • ช่วยให้อารมณ์ดี ลดซึมเศร้า ประโยชน์โกโก้ผงช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น 
  • ช่ายสร้างสมดุลของเกลือแร่ในเลือด ช่วยปรับโพแทสเซียม แมกนีเซียม และ โซเดียมในเลือดให้สมดุล 
  • ประโยชน์โกโก้100ดีต่อสุขภาพฟัน สารทีโอโบรมีนในโกโก้ช่วยต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ฟันแข็งแรง แต่ต้องเป็นโกโก้ที่ไม่ใส่น้ำตาล
  • ช่วยการลดน้ำหนัก โกโก้ให้คาร์โบไฮเดรตต่ำ กินแล้วอิ่มนาน ป้องกันการสะสมไขมันและเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย แต่ต้องเป็นดาร์กช็อคโกแลตเท่านั้นนะ
  • มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ

 

ทานโกโก้อย่างไรให้ได้ประโยชน์โกโก้แท้ 

  • ทานโกโก้วันละ 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ดื่มโกโก้ร้อนด้วยโกโก้แท้100%โดยไม่ผสมนมหรือน้ำตาล
  • หากอยากผิวสวยให้ทานโกโก้ติดต่อกันเป็นเวลา12 สัปดาห์ 

โกโก้มีคาเฟอีนไหม หากคุณรู้สึกง่วงๆเพลียๆยามบ่ายแต่ไม่อยากดื่มหรือไม่ชอบดื่มกาแฟ สามารถทดแทนด้วยการดื่มโกโก้ร้อนสักแก้ว เนื่องจากโกโก้มีคาเฟอีนอ่อนๆ แต่จะให้คาเฟอีนประมาณ 27 กรัม ของโกโก้แก้วขนาด 8 ออนซ์ หรือโกโก้ร้อน1แก้วจะมีคาเฟอีนประมาณ 812 มิลลิกรัม ดังนั้นผู้ที่มีประวัติแพ้คาเฟอีนก็ต้องระมัดระวังในการเลือกทานผลิตภัณฑ์โกโก้หรือมีโกโก้เป็นส่วนประกอบ เพื่อได้รับประโยชน์และโทษของโกโก้ไม่ส่งผลต่อร่างกายหากทานในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อไม่ให้เกิดผลต่อทารกในครรภ์ตามที่แพทย์แนะนำ

 

ประโยชน์ของโกโก้ร้อน ศาสตราจารย์ Chang Yong Lee แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้ทำการศึกษาวิจัยและพบว่า น้ำร้อนจะช่วยขับให้สารอนุมูลอิสระต่างๆและสรรพคุณโกโก้ได้ละลายออกมาเต็มที่ ทำให้สรรพคุณโกโก้ร้อนส่งผลดีต่อสุขภาพ และได้รับประโยชน์ของโกโก้ผง100

 

วิธีชงโกโก้ร้อนเพื่อสุขภาพให้อร่อยด้วยวิธีง่ายๆ

อุ่นน้ำด้วยไมโครเวฟสัก30วินาที จากนั้นใส่ผงโกโก้ลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ซึ่งประโยชน์ ของการดื่มโกโก้ร้อนอย่างแท้จริงคือเพียงแค่โกโก้กับน้ำร้อนเท่านั้น แต่ถ้าหากไม่ชอบรสเฝื่อนขมโกโก้เพียวๆอาจตามด้วยนมสดที่ไม่มีน้ำตาล100ml นมข้นหวาน 1 ช้อนชา แล้วคนให้โกโก้ละลายจนหมด เพียงเท่านี้ก็จะได้ประโยชน์โกโก้ร้อนแสนอร่อยแล้ว

การดื่มโกโก้ร้อนประโยชน์ได้เต็มที่และเข้าถึงรสชาติดั้งเดิมของโกโก้ได้มากกว่าเมนูโกโก้เย็น เพราะเครื่องผสม เช่น นม น้ำตาล จะไปกลบกลิ่นและรสของโกโก้ลงอย่างน่าเสียดาย อีกทั้งน้ำแข็งทำให้ต่อมรับรสของลิ้นชา การรับรู้รสชาติก็ดรอปลงเช่นกัน ร้านเครื่องดื่มส่วนใหญ่จึงไม่จำเป็นต้องใช้โกโก้เกรดคุณภาพพรีเมียมสำหรับเมนูเย็น แต่สำหรับเมนูร้อนนั้น กลิ่นและรสชาติจะฟ้องเลยว่า โกโก้ชงเองที่ใช้เกรดดีหรือไม่

แต่ด้วยสภาพอากาศของประเทศไทยที่ร้อนอบอ้าวเสียจนบางครั้งก็นั่งจิบอะไรร้อนๆไม่ไหว ความต้องการจะดื่มอะไรเย็นๆชื่นใจดับร้อนก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ และบางคนก็อาจจะชื่นชอบรสโกโก้เย็นหวานมันจริงๆ แม้ว่าโกโก้เย็นประโยชน์จะไม่เทียบเท่ากับประโยชน์ของการดื่มโกโก้ร้อน โกโก้ริชก็มีสูตรโกโก้เย็นด้วยวิธีชงโกโก้แบบเข้มข้นมาฝาก 

โกโก้เย็นสูตรเข้มข้น

ส่วนผสมที่ต้องเตรียมมีดังนี้ 

  • ผงโกโก้แท้โกโก้ริชสีมาตรฐาน  3 ช้อนโต๊ะ 
  • ครีมเทียม 2 ช้อนโต๊ะ 
  • นมสดรสจืด 1 ถ้วยตวง
  • นมข้นหวาน ¾ ถ้วย 
  • นมข้นจืด 1 ช้อน 
  • น้ำร้อน 1+½  ถ้วย
  • น้ำธรรมดา ½ ถ้วย 
  • วิปปิ้งครีม / เชอรี่ หรือ ช็อกคอมพาวน์คาเธ่ย์ (สำหรับตกแต่ง มีหรือไม่มีก็ได้) 
  • น้ำแข็ง 

วิธีทำโกโก้เย็นเข้มข้น

ใส่ผงโกโก้โกโก้ริชลงในแก้วที่เตรียมไว้แล้วตามด้วยน้ำร้อน คนให้ผงโกโก้ละลาย แล้วใส่นมสด+นมข้นหวาน+ครีมเทียม+นมข้นจืด จากนั้นคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดีแล้วนำไปรินใส่แก้วที่ใส่น้ำแข็งเตรียมไว้ ตบท้ายด้วยวิปปิ้งครีมและตามด้วยผงโกโก้หรือช็อคคอมพาวน์และแต่งด้วยผลเชอรี่ 

และถึงแม้ว่าการดื่มโกโก้ร้อนจะดีต่อสุขภาพมากกว่า แต่ประโยชน์ของโกโก้100เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ชงทำให้ประโยชน์ของโกโก้เย็นก็ยังมีอยู่ แต่ขึ้นกับปริมาณและวัตถุดิบที่นำมาเป็นส่วนผสมด้วย เช่น โกโก้เย็นที่ชงด้วยนมสดแทนนมข้นหวาน โกโก้เย็นที่ผสมด้วยน้ำผึ้งแทนน้ำตาล เป็นต้น 

นอกจากชงโกโก้ให้อร่อยเป็นเครื่องดื่มแล้ว ผงโกโก้ยังเป็นที่นิยมในการนำไปเป็นวัตถุดิบหรือประกอบในเบเกอรี่และขนมต่างๆ ด้วยคุณภาพโกโก้แท้จากแอฟริกาทำให้ได้ขนมสีสวย รสชาติอร่อย และกลิ่นหอมเฉพาะตัว อีกทั้ง cocoa ประโยชน์ก็มากกว่าที่คิด ด้วยช่วงนี้อาจมีหลายๆคน work from home เราจึงมีสูตรเบเกอรี่เมนูช็อกโกแลตเค้กโดยเชฟฟิน มาฝากสำหรับผู้รักโกโก้ได้ลองทำทานเองที่บ้าน มาเริ่มกันเลย…

เมนูช็อกโกแลตเค้ก by เชฟฟิน 

ส่วนผสม Chocolate Cake 

  • ผงโกโก้ริชสีเข้ม                     3           ช้อนโต๊ะ  
  • แป้งเค้กร่อนแล้ว 1 ครั้ง           2            ถ้วย 
  • ผงฟู                                     ½           ช้อนชา
  • เกลือป่น                                1           ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา                           1 ½      ช้อนชา
  • เนยสดชนิดจืด                       ½           ถ้วย
  • น้ำตาลทรายป่น                     1  ⅔       ช้อนชา
  • ไข่ไก่                                     3           ฟอง
  • วานิลลา                                1           ช้อนชา
  • เนยสดชนิดจืด                       ⅔            ถ้วย 
  • เนยขาวสำหรับทาพิมพ์ 
  • พิมพ์กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  นิ้ว 
  • กระดาษไข 

ขั้นตอนการทำ

  • ผสมของแห้งเข้าด้วยกันก่อน โดยการเทแป้งเค้กที่ร่อนแล้ว1ครั้งลงในชามผสมตามด้วยเกลือป่น เบกกิ้งโซดา และผงฟู แล้วร่อนเพื่อให้ส่วนผสมเข้าด้วยกันแล้วนำไปพักไว้ก่อน
  • ผสมเนยกับน้ำตาลทรายละเอียดให้เข้าด้วยกันโดยการตักเนยใส่เครื่องตีแป้งเค้ก แล้วปั่นเนยในระดับความเร็วปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายตามลงไประหว่างการตีเนย ใช้เวลาในการตีเนยให้ฟูประมาณ 56 นาที 
  • ระหว่างรอเครื่องตีเนย สามารถตอกไข่ใส่ชามแล้วตีไข่ในชามรอได้เลย
  • เมื่อเนยขึ้นฟูให้ใส่ผงโกโก้ทำเค้ก (แนะนำใช้ผงโกโก้แท้จากแอฟริกาจะให้เนื้อเค้กเนียนนุ่มและกลิ่นหอมน่ารับประทาน) ใช้ระดับความเร็วต่ำในการตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ตามด้วยไข่ไก่ วานิลลา และแป้งที่ผสมเรียบร้อยแล้วและพักไว้ก่อนหน้านี้ โดยใช้สูตรแป้ง 3 ส่วน นม 2 ส่วน ค่อยๆเทใส่สลับกันไประหว่างแป้งและนม 
  • เมื่อเครื่องตีจนดูว่าเนียนดีแล้วก็นำมาตีมืออีกครั้งเพื่อให้เนื้อเนียนนุ่มยิ่งขึ้น เสร็จสิ้นจากการตีแป้งด้วยมือ ก็ทาเนยขาวหรือน้ำมันพืชลงก้นพิมพ์เค้กปิดทับด้วยกระดาษไขแล้วทาทับเนยขาวลงบนกระดาษไขอีกรอบ เทเนื้อเค้กลงไปในพิมพ์เพียงครึ่งแม่พิมพ์ เพื่อเหลือพื้นที่ให้เค้กได้พองฟู เคาะไล่อากาศเล็กน้อยแล้วนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ180 องศา ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีแล้วนำออกจากเตาอบ เพียงเท่านี้ก็ได้เค้กช็อกโกแลตพร้อมเสิร์ฟ หรืออาจนำผงโกโก้โรยหน้าเค้กก่อนเสิร์ฟ

โกโก้คุณภาพดีคุ้มค่าต่อการลงทุนในการหาซื้อมาติดบ้านไว้ รวมไปถึงกิจการร้านค้าไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ หรือคาเฟ่ต่างๆ เพราะผงโกโก้ที่ทำได้ทั้งเมนูขนม เบเกอรี่ ของหวาน อาหาร และเครื่องดื่ม ต้องเป็นโกโก้ผงสรรพคุณที่ครบครัน ทั้งในเรื่องรส กลิ่น สีสัน มีประโยชน์ครบถ้วนด้วยสารอาหาร และไขมันโกโก้ตามมาตรฐาน ซึ่งไขมันโกโก้สูงประโยชน์ยิ่งสูงและราคาสูงตาม อย่าได้ดูว่าราคาแพงยิ่งดี แต่ให้ดูที่ปริมาณไขมันโกโก้แทน 

โกโก้มีประโยชน์หรือโทษอย่างไร

ในข้อสงสัยนี้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจได้ เพราะด้วยสรรพคุณของโกโก้แท้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและการใช้งานได้หลากหลาย แต่นั่นต้องเป็นในปริมาณที่เหมาะสมตามที่มีงานวิจัยออกมาจากหลายๆสถาบันระดับโลกด้วยกัน และอย่างที่ทราบไปแล้วว่า ประโยชน์โกโก้แท้จริงคือการทานโกโก้ที่ไร้น้ำตาลและนมข้นหวานเป็นส่วนผสม แต่เนื่องจากขนมช็อกโกแลตหรือของหวานแปรรูปจากโกโก้ที่วางจำหน่ายทั่วไป มักมีส่วนผสมที่ว่ามานี้ในปริมาณมากเพื่อเพิ่มรสชาติ ดังนัันจึงควรระวังในการที่จะทานของกินเล่นเหล่านี้ เพราะหากทานมากไปอาจจะมีผลเสียต่อสุขภาพนั่นเอง 

 

ประโยชน์ของโกโก้ต่อผิว

ข้อดีของโกโก้หรือcacao ประโยชน์ไม่ได้มีดีเพียงแค่ไว้ทานเท่านั้น แต่แพทย์หญิง Ava Shamban ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้กล่าวว่า โกโก้สรรพคุณมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนังได้และยังใช้ในด้านความงามได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้โกโก้จึงมีบทบาทในผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม ไม่ว่าจะเป็นเวชสำอางค์ด้านผิวพรรณ เครื่องทำความสะอาดผม บำรุงเล็บ เครื่องแต่งหน้า เช่น ครีมบำรุงหน้า ลิปบำรุงฝีปาก รวมไปถึงทางด้านเวชภัณฑ์ยาทางการแพทย์  โกโก้ริชจึงมีสูตรโกโก้บำรุงผิวด้วยตัวเองง่ายๆที่บ้านมาฝากคุณสาวๆในบทความนี้ด้วย โดยสามารถนำผงโกโก้ชงดื่มประจำมาเป็นส่วนผสมในสูตรได้เลย 

3วิธีทำสวยด้วยผงโกโก้ 

  • มาส์กหน้า
  • อุ่นผงโกโก้ประมาณ 50 กรัมจนเป็นของเหลวแล้วตัก1ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะและไข่แดง 1 ฟองเข้าด้วยกัน พอกให้ทั่วผิวหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะพบว่าผิวหน้าเนียนนุ่มใสและยังรู้สึกผ่อนคลายจากกลิ่นโกโก้ระหว่างบำรุงผิวอีกด้วย
  • นำผงโกโก้ 1ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1ช้อนโต๊ะ ข้าวโอ๊ตป่น 1ช้อนชา และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้าด้วยกันแล้วพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก 
  • ขัดผิว 
  • ผสมผงโกโก้กับน้ำและเติมเกลือทะเล  2 ช้อนชาและใส่นมลงไป แล้วนำไปขัดผิว เกลือจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและโกโก้กับนมจะช่วยบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นนุ่มลื่น
  • บาล์มริมฝีปากนุ่ม
  • ผสมขี้ผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกันแล้วนำไปเข้าไมโครเวฟ 2 นาที จึงใส่ผงโกโก้ 1 ช้อนชาลงไปคนผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วตักใส่ตลับ พักไว้สัก1ชั่วโมงก็นำมาใช้เป็นลิปบาล์มได้เลย

จากบทความนี้จะเห็นได้ว่าโกโก้มีประโยชน์อย่างไรบ้างและสรรพคุณโกโก้มีมากมายที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อยเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องเลือกผงโกโก้แท้มีคุณภาพดี เป็นโกโก้ที่มี cocoa butter ประโยชน์สูง ตามมาตรฐานที่แพทย์แนะนำอย่างเช่นโกโก้ริช และเมื่อเรารู้ถึงประโยชน์ของโกโก้กันไปแล้ว ต้องการจะรู้ถึงวิธีการเลือกซื้อโกโก้ให้ได้คุณภาพดี ต้องดูจากอะไรบ้าง เราจะนำมาฝากกันในบทความต่อไป

และก่อนจะจากกันไปอย่าลืมว่าการจะได้ประโยชน์โกโก้ที่แท้จริงจากการทานโกโก้จะต้องไม่กระหน่ำด้วยน้ำตาลหรือนมที่เป็นสาเหตุให้อ้วนหรือโรคอื่นๆตามมาได้ และต้องควบคุมในการทานในปริมาณที่พอดี เพราะผงโกโก้ประโยชน์มากมายจริงแต่ทุกสิ่งย่อมมีทั้งคุณและโทษหากไม่ระมัดระวัง