ชวนใครสักคนทานขนมแล้วเขาปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าเขาทำลดน้ําหนัก IF ไหมคะ แถมมีบ่นให้ฟังด้วยว่าเขาลดความอ้วนแบบ IF มาพักใหญ่แล้วก็ยังไม่ลดสักที ก็มีปรึกษาเราว่าทำยังไงดี ทางนี้เองก็เคยกิน IF แต่เพื่อสุขภาพไม่ใช่เพราะจะลดน้ำหนัก เลยพอเข้าใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่จุดประสงค์ต่างกัน เลยต้องหาข้อมูลเพิ่มสักหน่อย บางคนอาจเข้าใจว่าการทําIFคืออะไร แต่บางคนก็อาจยืนงงว่าทําIFคือการลดน้ำหนักแบบไหน ทำไมถึงฮิตในหมู่คนต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่รักสุขภาพ 

 

การทําIFหรือ intermittent fasting คือวิธีการจัดการทานอาหารให้เป็นเวลา โดยแบ่งช่วงเวลาในการทานและการงดมื้ออาหาร(ทำฟาสติ้ง) วิธีทำifไม่ใช่การอดอาหารทั้งวัน และไม่ได้จำกัดประเภทอาหารที่ทาน แต่fastingคือการแบ่งช่วงเวลาทานอาหารเท่านั้น 

การทํา IF มีกี่แบบ 

หลักการทำ IF หรือลดน้ำหนักแบบ IF มี 4 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ 

 

1.วิธีการทํา IF แบบ 5:2 (The twice a week method 5:2 )

เป็นการทำfasting แบบงดอาหาร2วัน / สัปดาห์ โดยการเลือกวันอดอาหารเพียง 2 วัน และจะต้องทานอาหารรวมกันใน 2 วันนั้นให้ได้ 500 แคลอรี เช่น อดอาหารวันพุธกับวันศุกร์ ในวันพุธและศุกร์จะต้องทานอาหารรวมกันได้ 500 แคลอรี่ อาจจะทานวันพุธ 300 แคลอรี และวันศุกร์ 200 แคลอรี่ เป็นต้น ซึ่งการทำfasting 5:2 นี้จะต้องเน้นอาหารที่มีไฟเบอร์และโปรตีนสูง 

 

2.วิธีการทำ IF แบบวันเว้นวัน (Alternate day fasting) 

การทําฟาสติ้งแบบวันเว้นวัน เป็นการงดอาหารแบบสลับวัน อย่างเช่น วันนี้ทานอาหารตามปกติ พรุ่งนี้จำกัดการทานอาหารเพียงแค่ 500 แคลอรี ทำสลับกันไปแบบวันเว้นวันตลอดระยะเวลาทำIF 

 

3.วิธีการทำ IF ด้วยการงดอาหารแบบจำกัดช่วงเวลา (Time restriceted eating) 

วิธีทํา if แบบนี้จะเป็นที่นิยมแพร่หลาย  หลักการทำ if สูตรงดอาหาร 16:8 คือการทานอาหาร 8 ชั่วโมง และงดอาหาร 16 ชั่วโมง เช่น การงดอาหารตั้งแต่ 2 ทุ่ม ไปจนถึงเที่ยงอีกวัน แล้วก็ไม่รับประทานอาหารอีกจนกว่าจะครบ 16 ชั่วโมง สำหรับที่ใครๆหลายคนเคยมีคำถามว่า ทําifกินน้ําได้ไหม? ทําifกินกาแฟได้ไหม? หรือ ทําifกินกาแฟดําได้ไหม? ซึ่งทําฟาสติ้งวิธีนี้สามารถดื่มน้ำและกาแฟดำได้ตามที่ต้องการ  

 

4.ทํา IF 24 ชม. อดอาหารแบบทั้งวัน (The 24 hour fast) 

การทำฟาสติ้งแบบอดอาหาร 24 ชม. เช่น อาจจะงดอาหารตั้งแต่เช้าวันนี้ไปจนถึงมื้อเช้าของอีกวันอาจจะมีผลข้างเคียงการทำif ด้วยวิธีนี้ส่งผลต่ออารมณ์ ทำให้อ่อนล้า ขาดสมาธิ อาจเคยได้ยินว่าทําifแล้วหิว ทําifแล้วมึนหัว ทำifแล้วง่วงนอน ซึ่งอาจเป็นเพราะการเลือกทำifด้วยวิธีนั่นเอง 

ประโยชน์ของการทําIF

 

1.ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์ โรคพากินสัน จากงานวิจัย Johne Hopkins School of Medicine ข้อดีของการทำif หรือการลดแคลอรี่อย่างน้อย 2 วัน / สัปดาห์ จะทำให้สมองส่วนฮิปโปแคมปัสมีการปรับตัวและเชื่อมต่อกับเซลล์ประสาทส่วนอื่นๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้การลดแคลอรี่ยังส่งผลดีต่อสมอง

 

2.ช่วยลดคลอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ลดไขมันในเลือด (LDL ไขมันที่ไม่ดี) ไตรกลีเซอไรด์ ซึ่ง if ทำแบบวันเว้นวันจะช่วยปรับคลอเลสเตอรอลให้ลดลงได้ 

 

3.ทำifลดน้ำหนักและทําifลดไขมันหน้าท้อง เพราะการทำifเร่งเผาผลาญไขมันได้อย่างดี จึงมีใครหลายๆคนเลือกทำfasting 

 

4.ลดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆและทำให้อายุยืน เวลาการทําifอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน แต่ลองทำฟาสติ้งสัก 12 ครั้ง / สัปดาห์ จะเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะผู้หญิง เพราะจะช่วยปรับฮอร์โมนและอารมณ์ให้มีความสมดุล 

 

5.ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด การทําifแบบถูกต้องจะช่วยปรับระดับอินซูลินในเลือดให้สมดุล และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพราะฟาสติ้งจะควบคุมไม่ให้น้ำตาลมากเกินไปในแต่ละวัน จึงเป็นอีกวิธีที่ช่วยผู้ที่มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดสูง

 

ในเมื่อการทำ Intermittent Fasting  ดีและมีประโยชน์ แล้วทำไมทำ IFแล้วน้ำหนักนิ่ง อาจเป็นไปได้ว่าคนที่ทำ IF มีภาวะดื้ออินซูลิน จึงทำให้ลดน้ำหนักยากมาก เพราะร่างกายเรามีฮอร์โมนที่เรียกว่า ฮอร์โมนกลูคากอน มีหน้าที่เผาไขมันและทำงานสลับอินซูลิน หากอินซูลินไม่ลดต่ำลง ฮอร์โมนกลูคากอนก็จะไม่สามารถเผาไขมันให้คุณใช้งานได้ 

ดังนั้นวิธีทํา I F ให้ได้ผลสำหรับผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน เพื่อให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นควรทำ 4 ข้อต่อไปนี้ร่วมกับการทำ intermittent fasting ที่เป็นเหตุผลว่าทำไมทำ I F แล้วน้ำหนักไม่ลดสักที 

 

1.งดน้ำตาลและแป้งแปรรูป เช่น ข้าวขัดสี ขนมปัง เพราะคาร์โบไฮเดรตกลุ่มนี้จะกระตุ้นอินซูลินสูงมาก 

 

2.ต้องมีวินัยในมื้ออาหาร ทานโปรตีนให้ถึง ห้ามทานจุบจิบ เพราะจะไปกระตุ้นการหลั่งสารอินซูลินบ่อยขึ้น ทำให้มีอินซูลินในเลือดสูงจนไม่สามารถเผาไขมันได้ 

 

3.เพิ่มการทานผักให้มากกว่า 200 กรัม เพื่อเพิ่มใยอาหารในร่างกาย ให้ไปขัดขวางแป้งไม่ให้เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ ช่วยลดระดับน้ำตาลอินซูลิน 

 

4.ห้ามเครียด ในข้อนี้สำหรับผู้ที่ต้องการทํา if ลดน้ําหนัก จะต้องหลีกเลี่ยง ความเครียดทุกทาง ตั้งแต่การกิน หากการกินอาหารที่ไร้ประโยชน์ ทำให้ขาดสารอาหาร การออกกำลังกายควรออกกำลังกายเมื่อร่างกายพร้อม ไม่หักโหม กินดี นอนพอ จะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้  การวิตกกังวลตลอดเวลา เช่น การเครียดจากสภาพเศรษฐกิจ โรคระบาด การเสพข่าว และสิ่งแวดล้อมต่างๆ อาจส่งผลต่อสภาวะจิตใจให้คอยวิตกและเกิดความเครียด ส่งผลกระทบกับคอติซอลหลั่งมากผิดปกติ หรือการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึกตื่นเช้า นอนน้อย ทำให้เสียโอกาสช่วงเวลาที่มีการเผาผลาญไขมันตอนที่ร่างกายมีการนอนหลับลึก 

 

ดังนั้นการทำ I F ต้องพยายามอย่าให้อยู่ในสภาวะ 4 ข้อนี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำ IF เท่าไร น้ำหนักก็ไม่ลดลงสักที 

 

 

รู้กันอยู่แล้วว่าผักนั้นดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ยิ่งตอนนี้เทรนด์รักสุขภาพได้รับความนิยม ทำให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพและรับประทานผักผลไม้กันมากขึ้น สีสันของผักนอกจากจะให้ความสวยงามแล้ว ผักสีต่างๆยังให้สารประโยชน์ที่แตกต่างกัน เรามาดูกันว่าประโยชน์ของผัก5สีมีสารอาหารอะไรบ้าง

ทำไมต้องผักผลไม้ 5 สี

องค์การอนามัยโลกชี้ว่า การทานผลไม้5สี วันละ 400 กรัมขึ้นไป / วัน โดยผักและผลไม้5สีที่เราทานจะต้องประกอบไปด้วยถั่วหรือธัญพืชไม่น้อยกว่า 30 กรัม ประโยชน์ของผลไม้ 5 สีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น ลดอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ลดภาวะการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งควรทานผักผลไม้ให้ได้หลากหลายชนิด เพราะการทานผักหรือผลไม้ซ้ำๆเดิมๆ นอกจากจะน่าเบื่อจำเจแล้ว ยังได้สารอาหารและประโยชน์ผักผลไม้ 5 สีไม่ครบถ้วน

fresh raw garlic ready to cook

ผักสีขาว-ผักสีน้ำตาล / ผลไม้สีขาว-ผลไม้สีน้ำตาล ; ฟลาโวนอยด์ 

ผักสีขาวจะมีสารแซนโทน(Xanthone) กรดไซแนปติก(Synaptic) และฟลาโวนอยด์หลายชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต ต่อต้านการเกิดเนื้องอก ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดหัวเข่า กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ชะลอวัยให้หนุ่มสาวได้อย่างดี ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย บำรุงผิวพรรณ 

ผักผลไม้สีขาว : กระเทียม ต้นกระเทียม ขิง ข่า ขมิ้นขาว ขึ้นฉ่าย ผักชีฝรั่ง ใบบัวบก ดอกกะหล่ำ  ผักกาดขาว หัวไชเท้า หัวปลี ถั่วงอก เห็ดเข็มทอง เห็ดฟาง หอมหัวใหญ่ ดอกแคขาว งาขาว ยอดมะพร้าว จมูกข้าวสาลี ลูกเดือย แก้วมังกร ลิ้นจี่ ลางสาด เงาะ ลองกอง

ผักสีเขียว / ผลไม้สีเขียว ; คลอโรฟิลล์

ผักสีเขียวมีคลอโรฟิลล์ ลูทีน Antioxidant สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยสร้างอินซูลินให้กับร่างกาย ลดคลอเลสเตอรอล กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว มีสารสังกะสี ธาตุเหล็กช่วยบำรุเลือด แก้โลหิตจาง มีใยกากอาหารสูง ช่วยกระตุ้นระบบการขับถ่าย มีแคลเซียมช่วยให้ฟันและกระดูกแข็งแรง บำรุงสมองและเสริมสร้างความจำ

ผักผลไม้สีเขียว : ผักใบสีเขียวต่างๆ คะน้า ผักโขม ผักปวยเล้ง ผักเคล กวางตุ้ง ชะอม บรอกโคลี ตำลึง พริกหวานสีเขียว พริกเขียว ถั่วลันเตา ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือพวง กระเจี๊ยบเขียว แอ๊ปเปิลเขียว กีวี องุ่นเขียว 

ผักสีส้ม-ผักสีเหลือง / ผลไม้สีส้ม-ผลไม้สีเหลือง ; เบต้าแคโรทีน

ผักผลไม้สีส้มและสีเหลืองมีสารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี มีสารซีแซนทีนในกลุ่มแคโรทีนอยด์บำรุงสายตา ลดความเสี่ยงเป็นต้อกระจก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีสารที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในร่างกาย ต้านการอักเสบ กระตุ้นการกำจัดเซลล์มะเร็ง ป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ลดไขมันในเส้นเลือด 

ผักผลไม้สีส้ม-เหลือง : แครอท ข้าวโพดอ่อน ฟักทอง พริกหวานสีเหลือง สับปะรด มะละกอสุก ขนุน กล้วย ข้าวโพด ลูกพลับ มะม่วงสุก แคนตาลูป

ผักสีแดง / ผลไม้สีแดง ; ไลโคพีน 

ผักผลไม้สีแดงมีสารไลโคพีน (Lycopene) และสารแอนโทไซยานิน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด บำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ลดไขมันที่ไม่ดี LDLCholesterol ลดการแข็งตัวของเลือด ลดความดันโลหิต 

ผักผลไม้สีแดง : มะเขือเทศ หอมแดง กระเจี๊ยบแดง กะหล่ำปลีสีแดง พริกหวานสีแดง พริกแดง แอ๊ปเปิลแดง บีทรูท เชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แตงโม ทับทิม องุ่นแดง

ผักสีม่วง / ผลไม้สีม่วง ; แอนโทไซยานิน 

ผักผลไม้สีม่วงที่เต็มไปด้วยสารแอนโทไซยานิน Anthocyanin เป็นสารที่ให้สีม่วงและปกป้องรังสีอัลตร้าไวโอเลต ผักสีม่วงประโยชน์มากมายในด้านต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและวิตามินอีถึง 2 เท่า ลดคลอเลสเตอรอล ยับยั้งเซลล์มะเร็งต่างๆ ลดการเกิดไขมันในหลอดเลือด ลดไขมันที่ไม่ดี LDLCholesterol เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผนังหลอดเลือด ขยายเส้นเลือด ช่วยป้องกันเส้นเลือดฝอยไม่ให้เปราะแตกง่าย ชะลอการเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตัน ลดภาวะการเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาต ช่วยต้านไวรัส ยับยั้งเชื้ออีโคไลในระบบทางเดินอาหาร ชะลอความเสื่อมถอยของเซลล์  บำรุงเส้นผมให้เงางาม 

ผักผลไม้สีม่วง : กะหล่ำปลีสีม่วง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสีนิล ข้าวเหนียวดำ มะเขือม่วง ดอกอัญชัน เผือก หน่อไม้ฝรั่งสีม่วง ลูกหว้า แครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ลูกพรุน ลูกพลัม ชมพู่มะเหมี่ยว มันม่วง องุ่น ลูกฟิก 

 

จะเห็นได้ว่าผลไม้และผัก 5 สีประโยชน์มากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทานให้หลากหลาย และล้างให้สะอาดก่อนทานเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกและสิ่งปนเปื้อน หรือผักชนิดใดสามารถนำไปผ่านความร้อน ก็ควรทำแบบปรุงสุกก่อนทาน นอกจากนี้ประโยชน์ของผักผลไม้ 5 สี ยังเป็นตัวช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อย่างดีในช่วงสถานการณ์โรคระบาด อย่าง โคโรน่าไวรัส เพราะผักผลไม้ส่วนใหญ่มีสารอาหาร แร่ธาตุต่างๆ สังกะสี วิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ได้ต่อสู้กับเชื้อโรคเมื่อหลุดรอดเข้าสู่ร่างกาย เป็นปราการด่านแรกและสำคัญมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การล้างมือสม่ำเสมอ ใส่แมสก์ทุกครั้งที่ออกนอกบ้านหรือต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น การเว้นระยะห่าง ก็ยังคงต้องปฏิบัติเสมอ พร้อมกับการทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเช่นผักห้าสีและผลไม้ต่างๆ เพราะสุขภาพของเราเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อสุขภาพกายดีไร้โรคภัยไข้เจ็บ ก็จะส่งผลให้มีสุขภาพใจดีตาม ช่วยให้มีแรงมีกำลังที่จะสู้ต่อไปได้ในแต่ละวัน 

 

มลพิษคือ ความสกปรก กาก ตะกอน หรือมวลสารและวัตถุที่มีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ดังนั้น Air pollution หรือ มลพิษทางอากาศหมายถึง การเกิดสภาวะทางอากาศมีสิ่งสกปรกหรือสารพิษเจือปนในอากาศเกินมาตรฐาน ทำให้อากาศอยู่ในขั้นวิกฤติ ตัวอย่างมลพิษทางอากาศ เช่น มลภาวะทางอากาศฝุ่นpm 2.5 ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์(CO) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมไปถึงวัตถุอันตรายอื่นๆในชั้นบรรยากาศโลก ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต จนทำให้เกิดโรคหรือการเจ็บป่วยและอันตรายต่อชีวิตได้ 

สาเหตุการเกิดมลพิษทางอากาศคืออะไร?

โดยมลพิษทางอากาศเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันของครัวเรือน มลพิษทางอากาศจากรถยนต์ สารมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การเผาไหม้ขยะมูลฝอย มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม มลพิษที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น การเกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมีจากการเน่าเปื่อยของสสารอินทรีย์ทำให้เกิดก๊าซมีเทน แอมโมเนีย คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น อีกทั้งควันพิษทางอากาศเกิดจากไฟป่า หรือ ภูเขาไฟระเบิด อย่างที่เกาะลา ปาลมา ประเทศสเปนที่นอกจากสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินบริเวณใกล้เคียงยังเกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

 

มลพิษทางอากาศมีกี่ประเภท?

ไม่ว่ามลพิษทางอากาศpptและมลพิษทางอากาศpdf การเกิดมลพิษทางอากาศมี 2 ประเภทมลพิษทางอากาศภายนอกและมลพิษอากาศภายใน 

 

มลพิษทางอากาศภายนอก ได้แก่ 

  • มลพิษจากสิ่งแวดล้อมภายนอกอาคาร เช่น น้ำมัน ถ่านหิน เป็นต้น 
  • แก๊สที่ทําให้เกิดมลพิษทางอากาศ เช่น ก๊าซมีเทน ไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์
  • โอโซนระดับพื้นดิน ปกติโอโซนจะก๊าซที่ดีมากถ้าเกิดในที่สูง จะช่วยปกป้องรังสียูวีและรังสีอันตรายต่างๆ ไม่ให้ลงมายังโลก แต่จะอันตรายอย่างมากถ้าเกิดในที่ต่ำ  เมื่อเราสูดหายใจเข้าไป จะทำให้เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนที่รุนแรง ซึ่งจะสร้างความเสียหายกับเยื่อเมือกและเนื้อเยื่อทางเดินหายใจของสิ่งมีชีวิต ทั้ง คน สัตว์ และพืชต่างๆ เรียกได้ว่า โอโซนจะดีเมื่ออยู่สูง แต่เลวร้ายเมื่ออยู่ต่ำ 

 

มลพิษทางอากาศภายใน ได้แก่ 

  • ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของแก๊สหุงต้ม อย่าง คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นต้น 
  • สารก่อภูมิแพ้จากชีวภาพ สัตว์ และสิ่งของ เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ เชื้อรา แมลงสาบ หนู เป็นต้น

 

มลพิษทางอากาศมีผลกระทบกับสุขภาพอย่างไร?

ฝุ่นละอองที่เป็นปัญหาหลักในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากสภาพการจราจรที่คับคั่ง มีการเผาไหม้ของยานหนะ ที่เรียกได้ว่าเป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดจากมนุษย์ ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน ที่สามารถเล็ดลอดระบบทางเดินหายใจ เข้าสู่ร่างกายคนเราไปสู่ปอดและถุงลม ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง เกิดการอักเสบ และยิ่งเป็นฝุ่นละอองที่เกิดจากก๊าซบางชนิด เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก็ยิ่งมีอันตรายต่อดวงตา ผิวหนัง และ ระบบทางเดินหายใจ 

มลพิษทางอากาศได้แก่แก๊สอะไรบ้าง?

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ที่มีฤทธิ์กัดกร่อน จะทำให้มีการระคายเคืองกับผิวหนัง เยื่อบุในตา เมื่อทำการสูดดมก๊าซซัลเฟอร์เข้าไป จะละลายของเหลวในระบบทางเดินหายใจ เกิดกรดซัลฟิวริก ส่งผลกระทบกับระบบภายในร่างกาย หากได้รับเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เกิดหลอดลมอักเสบเรื้อรัง 
  • ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ เมื่อหายใจเอาก๊าซชนิดนี้เข้าไป จะส่งผลต่อการถ่ายเทออกซิเจนจากปอดไปยังอวัยวะต่างๆลดลง ทำให้เลือดขาดออกซิเจน และถ้ารับคาร์บอนฯจำนวนมาก จะส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน มีผลกระทบการมองเห็น ผู้ที่มีอาการทางโรคหัวใจ และหอบหืด เมื่อผู้ที่มีอาการดังกล่าว ทำการหายใจก๊าซนี้เข้าไป จะทำให้อาการกำเริบได้ 
  • ก๊าซโอโซน มีฤทธิ์กัดกร่อนต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ระคายเคืองตา การอักเสบของเนื้อเยื่อจมูกและปอด ทำให้ความสามารถของปอดในการรับก๊าซออกซิเจนลดลง ทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายและเร็วในคนชรา เป็นโรคหืด โดยเฉพาะในเด็ก ผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรังและหอบหืดจะมีอาการกำเริบได้ง่ายและบ่อยมากขึ้น

มลพิษอากาศเป็นพันธมิตรกับโควิดได้อย่างไร? 

เมื่อไม่นานมานี้กรมมลพิษทางอากาศได้ร่วมมือกับกรมควบคุมโรค ร่วมเปิดสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยอัตโนมัติ เนื่องจากมลพิษต่างๆทางอากาศส่งผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งมีผลให้อาการผู้ป่วยโควิดหนักขึ้นและอาจเร่งให้ให้เกิดการแพร่เชื้อได้เพิ่มขึ้น สรุปมลพิษทางอากาศเป็นพาหนะของเชื้อโควิด-19 ให้ไปสู่คนอื่นและกระจายเป็นวงกว้างได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง 

 

แม้ว่าตะไม่มีการยืนยันว่ามลพิษทางอากาศนี้จะเกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 อย่างไร แต่จากรายงานมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่มีการร่วมมือกันในหลายภาคส่วน เพื่อศึกษาเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษอากาศจากควันไฟป่ากับโควิด โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจาก 92 เขตในรัฐแคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน และโอเรกอน ที่มักจะเกิดไฟป่า เป็นมลพิษทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ได้แก่ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (ที่เป็นสารตั้งต้นของPM2.5) ฝุ่นPM2.5 และ ฝุ่นPM10 ตั้งแต่เดือนมีนาคม-ธันวาคม ปี 2020 ซึ่งใน 3 รัฐนี้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 2 หมื่นคน ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตก็มีจำนวนมากเช่นกัน 

 

เนื่องจากควันไฟป่าจะทำให้มีการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? นั่นเป็นเพราะสารพิษทางอากาศในควันไฟป่าที่ประกอบไปด้วย  

 

  • ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้ำมัน ถ่านหิน ซึ่งมีอันตรายต่อปอดเป็นอย่างมาก และยังเป็นสารตั้งต้นของฝุ่นPM2.5 เพราะเป็นตัวตั้งต้นก็ย่อมแน่นอนว่าต้องมีความน่ากลัวกว่าฝุ่นPM2.5 เข้าไปอีก 
  • มลพิษทางอากาศpm2 5 เป็นฝุ่นจิ๋วที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน สามารถเล็ดลอดจากขนจมูกมุ่งตรงไปสู่ปอดได้ และมีอันตรายต่อชีวิตมากกว่าที่คิด 
  • ฝุ่นPM10 ฝุ่นที่มีอานุภาคเล็กกว่า 10 ไมครอน เล็กจนขนจมูกก็ยังไม่สามารถกรองได้ ทำให้หลุดรอดเข้าไปทำอันตรายต่อปอดได้ 

 

และด้วยคุณสมบัติของสารมลพิษในอากาศ ที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปสู่ปอดได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นยานพาหนะอย่างดีให้กับเชื้อโควิด-19 ไปสู่ปอด ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยโควิดอยู่แล้วและได้มีการสูดหายใจควันไฟป่าเข้าไปจะทำให้อาการทรุดหนักลงไปอีก รวมไปถึงการที่เชื้อโควิดอาศัยมลพิษทางอากาศรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น มลพิษทางอากาศจากยานพาหนะ มลพิษทางอากาศจากโรงงาน มลพิษทางความร้อน แล้วเกาะกลุ่มกับมลภาวะต่างๆ เช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย เพื่อให้เป็นพาหนะเข้าสู่ร่างกายเราและแพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว 

 

และเมื่อเรารู้ว่าการเกิดมลพิษทางอากาศเป็นพันธมิตรอย่างดีของเชื้อโควิด ร่วมมือกันเปลี่ยนโลกให้เป็นโรค เราจึงต้องหันมาหาวิธีการบําบัดมลพิษทางอากาศ และใส่ใจดูแลคุณภาพอากาศกันอย่างจริงจังมากขึ้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องหันมาร่วมมือกัน ถึงเวลาแล้วหรือยังเพื่อสุขภาพของเราทุกคน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะรักโลกนี้ให้มากขึ้น เพราะถ้าคิดว่ายังไม่ถึงเวลา…ก็อาจถึงเวลาที่โลกจะไม่รักเราเช่นกัน

 

เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากเป็นเจ้าของแบรนด์ เป็นเจ้าของกิจการ และเป็นนักธุรกิจ แน่นอนว่าการเป็นเจ้าของแบรนด์เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และการลงทุนก็ไม่ได้สูงอย่างเมื่อก่อน สามารถลงทุนเล็กๆ เริ่มจากการทำแบรนด์สบู่ในหลักพันบาทก่อนแล้วค่อยเพิ่มปริมาณเมื่อเป็นแบรนด์ติดตลาดแล้วก็ยังได้ แต่ก่อนจะเริ่มทำแบรนด์ จะต้องทำเตรียมอะไรบ้างและมีขั้นตอนอย่างไร เราไปรู้กันเลย ….

1.งบประมาณที่จะลงทุน 

อันดับแรกคือต้องมีเงินทุน อย่านำเงินที่ใช้ในแต่ละเดือนมาใช้ในการลงทุน แต่ให้ใช้เงินเก็บที่ไว้สำหรับการลงทุนผลิตเท่านั้น ถ้ามีงบการผลิต100% ต้องแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับการผลิต 30% และสำหรับการตลาด 70% ถ้ามีการแบ่งสัดส่วนได้ชัดเจน จะทำให้มองเห็นภาพรวมและการจัดการงบได้ง่ายขึ้น เป็นสัดส่วน ชัดเจน หากการเงินสะดุดจะได้รู้ว่ามาจากจุดไหน จะไปต่อได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการจัดการงบประมาณด้วย เพราะบางกรณีสินค้าได้รับการตอบรับดี สินค้าขายดี ลูกค้าต้องการเพิ่ม แต่เงินทุนหมด ไม่สามารถทำการผลิตเพิ่ม หรือมีสินค้าล็อตใหญ่ แต่เงินทุนการเจาะตลาด การโฆษณาไม่พอ ก็ปิดกั้นช่องทางระบายสินค้า ทำให้ขายสินค้าไม่ได้ สินค้าค้างสต็อค 

 

2.เลือกประเภทสบู่ที่จะผลิตเป็นแบรนด์ขาย 

โรงงานรับผลิตสบู่ส่วนใหญ่จะมี 2 สูตรใหญ่ๆคือ สบู่สูตรสำเร็จ และ สบู่พัฒนาสูตรเฉพาะ คือ สูตรที่พัฒนาขึ้นตามต้องการ สูตรสำเร็จจะเป็นสูตรที่โรงงานพัฒนาไว้อยู่แล้ว จะมีให้ลูกค้าได้ทดสอบ โดยมีลิสรายการต่างๆให้เลือก หากลูกค้าชอบก็สามารถสั่งผลิตเพื่อทำแบรนด์ได้เลย และสบู่พัฒนาสูตรเป็นสบู่ที่ผลิตขึ้นจากการวิจัยและพัฒนาสูตรตามที่ผู้ที่ต้องการทําสบู่แบรนด์ตัวเองกำหนด เช่น สี กลิ่น รูปลักษณ์ สรรพคุณ ซึ่งแน่นอนว่าระยะเวลาและราคาตั้งต้นในการลงทุนย่อมต่างกัน 

 

สบู่พัฒนาสูตรจะใช้ระยะเวลาในการผลิตนานกว่า และต้นทุนการผลิตก็สูงกว่า เพราะต้องมีการวิจัยขึ้นมาใหม่หมด ทั้งวัตถุดิบ องค์ประกอบ การทดสอบ ฯลฯ  เมื่อลูกค้าแจ้งสูตรสบู่ที่ต้องการ ผู้รับผลิตก็จะนำไปประชุมและให้ฝ่าย R&D วิจัยและพัฒนาตามที่ลูกค้าต้องการ หลังจากวิจัยและพัฒนาสูตรแล้ว R&D จะให้สูตรที่ได้กับลูกค้าเพื่อทำการเทส โดยสามารถเทสได้ประมาณ 3 รอบ หากเทสแล้วยังไม่พอใจ สามารถพัฒนาสูตรได้เรื่อยๆในระหว่าง 3 รอบนี้หรือตามจำนวนครั้งที่ทางโรงงานกำหนด เพราะในการพัฒนาและปรับสูตรจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม หลายๆโรงงานจะกำหนดจำนวนครั้งที่ปรับสูตรและเทส 

ในการเลือกสารสกัด คนที่อยากทำแบรนด์สบู่บางคนอาจมีสูตรหรือสารสกัดบางตัวที่ต้องการอยู่แล้ว แต่บางคนอาจยังไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรดี ทางโรงงานจะมีทีมงานที่คอยให้คำแนะนำอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลตรงจุดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสูตรสารสกัดหลักๆมาให้เลือก โดยให้ลูกค้าเลือกส่วนสารสกัดเพียงบางส่วน อาจ 45 อย่างจากทั้งหมด แล้วทางโรงงานก็จะเลือกส่วนประกอบอื่นๆที่จะช่วยบำรุงหรือทำให้สบู่มีประสิทธิภาพอย่างที่ลูกค้าต้องการจนครบองค์ประกอบทั้งหมดของสูตรนั้นๆ

 

เมื่อเลือกสูตรได้แล้วก็จะทำการเลือก ขนาด โดยทางโรงงานจะมีหลายขนาดให้ลูกค้าได้เลือก ตั้งแต่ขนาดเล็ก 25 กรัม  30 กรัม  50 กรัม 70 กรัม 100 กรัม ต่อไปก็จะเป็นการเลือก รูปทรงสบู่ โรงงานจะมีรูปทรงให้เลือกหลากหลาย แต่ถ้าลูกค้ามีทรง-ขนาด หรือฟร้อนท์บนสบู่ที่ต้องการอยู่แล้วที่โรงงานไม่มี โรงงานอาจรับทำให้แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพราะจะต้องทำบล็อก ทำตัวปั๊มขึ้นมาใหม่ตามออเดอร์ลูกค้า สี การเลือกเฉดสี เช่น สีฟ้า สีฟ้าอ่อน สีฟ้าเข้ม  กลิ่น  อุปกรณ์เพิ่ม เช่น ถุงตาข่ายเพิ่มฟอง 

การเลือกจดอย. ให้โรงงานแจ้งจดอย.ให้ จะมีค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วย ซึ่งการให้โรงงานแจ้งจดอย.ให้จะมีโอกาสผ่านได้สูงกว่าการแจ้งจดด้วยตัวบุคคลที่เราแจ้งเอง 

 

การเลือกแพ็กเกจจิ้ง ในกรณีที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจหรืออาจมีงบที่ยังไม่มาก อาจเลือกการใช้สติ๊กเกอร์แปะหน้า หรือเพิ่มราคาอีกหน่อยเพื่อทำเป็นกล่อง โรงงานจะมีการออกแบบให้โดยฝ่ายดีไซน์ เพียงลูกค้าแจ้งลักษณะที่ต้องการ หรือสามารถออกแบบเองแล้วให้ฝ่ายโรงงานทำตามแบบก็ได้ โดยพยายามเลือกออกแบบให้ตรงกับเป้าหมายลูกค้า อย่างทำสบู่เด็กก็ออกแบบที่น่ารัก ทำสบู่ผิวหน้าก็อาจเน้นรูปสารสกัดที่ช่วยเรื่องผิวหน้า ค่าใช้จ่ายก็ผันตามละเอียดดีเทล เช่น ค่าโลโก้ 

 

ระหว่างรอขั้นตอนการผลิตสบู่ วางแผนการตลาดจะทำการตลาดที่ไหน อย่างไร ช่องทางไหน ราคาโปรโมชั่นเปิดตัว กรณีต้องการตัวแทนขายสบู่ ให้คำนวณเรทราคาต้นทุนต่อก้อนหรือต่อชิ้นก่อน เมื่อรู้เรทราคาต่อก้อน ก็คิดค่าเรทราคาตัวแทน 

 

วางแผนการสั่งออเดอร์ซ้ำ เมื่อจำหน่ายแล้วสินค้าเหลือประมาณ 30% ก็ทำการสั่งผลิตเลย เพื่อไม่ให้สินค้าขาดสต็อก เพราะจะต้องเผื่อระยะเวลาของขั้นตอนการผลิต จะได้มีสินค้าทันจำหน่าย ยิ่งสั่งผลิตจำนวนมากก็ยิ่งได้เรทราคาต่อชิ้นลดลง จะได้กำไรเพิ่มขึ้น 

การคิดเรทราคา เราจะต้องรู้ต้นทุนทั้งหมดก่อน จำนวนสินค้าทั้งหมดกี่ก้อน ให้คิดคำนวณราคาต่อก้อนก่อน เช่น สั่งผลิตล็อตแรกจำนวน 1000 ก้อน ค่าเนื้อสบู่ก้อนละ 12 บาท ค่ากล่อง 8 บาท/กล่อง แสดงว่า ต้นทุนสบู่ราคา 20 / ก้อน  หลังจากนั้นก็ตรวจสอบคุณสมบัติสบู่มีอะไรบ้าง เช่น ไม่มีคุณสมบัติอะไรพิเศษเป็นสบู่ผิวขาวเท่านั้น อาจตั้งราคาขายต่อก้อนได่ไม่มาก หรือการสร้างแบรนด์น้องใหม่คนยังไม่รู้จัก อาจใช้ระบบตัวแทนdealerที่ช่วยกระจายสินค้า ก็ต้องคำนึงส่วนค่าตัวแทนตรงนี้ด้วย ดังนั้นการตั้งเรทราคาปลีกนอกจากจะต้องดูเรื่องต้นทุนต่อก้อนแล้ว ยังต้องดูส่วนประกอบ คุณสมบัติของสบู่ ฯลฯ ซึ่งในขั้นตอนนี้สามารถทำการปรึกษาทีมงานโรงงานได้ เพราะจะมีผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยคำนวณในส่วนของรายละเอียดเรื่องต้นทุนและกำไรได้อย่างดี  

 

สบู่กลีเซอรีนคือสบู่ที่มีเบสกลีเซอรีนผสมอยู่ กลีเซอรีนคือ สารธรรมชาติที่เป็นของเหลว ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ผลิตได้จากน้ำมันธรรมชาติ เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว นิยมนำไปประกอบในการผลิตยา ผลิตสบู่ เครื่องสำอาง ฯลฯ สำหรับสบู่กลีเซอรีนจะใช้เวลาในการผลิตนานกว่าสบู่ก้อนชนิดอื่น ประมาณ 34 สัปดาห์ เพราะต้องใช้เวลาในการปล่อยให้เซ็ตตัวเอง ไม่สามารถอัดความร้อนได้ 

 

จะทำแบรนด์ขายแข่งกับตลาด แบรนด์เราต้องแตกต่าง และ ต้องดีกว่า มีองค์ความรู้ ความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้รับ สินค้าไอเดีย สินค้าที่อิงวัฒนธรรม-ความเชื่อ และเทรนด์ที่กำลังนิยม จะสามารถตีตลาดได้ในหลายๆประเทศ โดยจะต้องทำการศึกษาข้อมูลในแต่ละพื้นที่ว่าอะไรเป็นที่สนใจของในพื้นที่นั้นๆ เช่น ต้องการนำสินค้าส่งออกขายที่จีนก็ต้องหาอะไรที่จีนนิยม อย่างการนำเศษทองคำใส่ลงไปเป็นส่วนผสม เพราะชาวจีนมีความเชื่อในเรื่องของทอง การใช้สมุนไพรทำสบู่ เพราะกระแสนิยมรักษ์โลก เป็นต้น 

เรามีวิธีทำสบู่สมุนไพรในบ้านได้ด้วยตัวเอง่ายๆมาฝากค่ะ

การทำสบู่จากมะขาม

วิธีทำสบู่มะขาม นำเบสไปต้มโดยใช้ไฟอ่อน อย่าใช้แรงเพราะจะทำให้กลีเซอรีนติดขอบหม้อเป็นฟองและติดขอบภาชนะได้ คนช้าๆไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อกลีเซอรีนละลายดีแล้ว ใส่น้ำมะขามที่เตรียมไว้ลงไป คนให้เข้ากันช้าๆ เติมน้ำหอมหากต้องการกลิ่นเพิ่ม ใส่สารเพิ่มฟอง และสารกันเสีย คนให้ละลายเข้ากันดี แล้วเทใส่พิมพ์ตอนร้อนๆ อย่ารอให้เย็นเพราะสบู่จะแข็งตัวเสียก่อน ปล่อยทิ้งไว้ให้สบู่เซ็ตตัวในแม่พิมพ์ เมื่อเซ็ตตัวดีแล้วก็แกะออกจากพิมพ์  

 

การทําสบู่จากว่านหางจระเข้

ส่วนผสมและสิ่งที่ต้องเตรียมได้แก่ ว่านหางจระเข้ กลีเซอรีน วาสลีน หม้อสำหรับต้ม ไม้พายสำหรับคน แม่พิมพ์ วิธีทำสบู่ว่านหางจระเข้ นำกลีเซอรีนหั่นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่หม้อนำไปต้ม ระหว่างที่รอกลีเซอรีนละลาย ปลอกเปลือกว่านหางจระเข้และล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ก่อนนำไปปั่นให้ละเอียด เมื่อกลีเซอรีนละลายดีแล้ว ตักน้ำปั่นว่านหางจระเข้ใส่ลงในหม้อต้มกลีเซอรีน ค่อยๆตักลงไปและคนไปด้วยเพื่อให้เข้ากันได้เร็วขึ้น เมื่อทุกอย่างละลายและเข้ากันดีแล้ว ก็ยกหม้อต้มลงจากเตาหรือปิดไฟในกรณีใช้หม้อไฟฟ้า ทาวาสลีนที่ก้นแม่พิมพ์ให้ทั่ว แล้วตักหรือเทสบู่ลงแม่พิมพ์ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อมั่นใจว่าสบู่เซ็ตตัวดีแล้ว ก็นำออกจากพิมพ์นำไปใช้ได้ปกติ

 

วิธีทําสบู่ขมิ้นน้ำผึ้ง  

ให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ กลีเซอรีนแบบใส ผงขมิ้นชัน น้ำผึ้ง น้ำเปล่า หัวน้ำหอมสำหรับทำสบู่

ส่วนขั้นตอนการทำก็ง่ายมาก เริ่มจากการนำกลีเซอรีนใส่น้ำตั้งไฟอ่อน คนกลีเซอรีนไปในทิศทางเดียวกัน ใส่ผงขมิ้น และน้ำผึ้งตามลงไป คนให้เข้ากันช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดฟอง เมื่อเข้ากันดีแล้วก็ยกลงจากเตา เติมหัวน้ำหอมหลังจากที่คลายร้อนลงแล้ว อย่าเติมน้ำหอมตอนที่ยังร้อนจัด 

 

การทำสบู่ด้วยตัวเองใช้เองหรือแจกจ่ายเป็นอะไรที่ไม่หนักเกินไป แต่ถ้าต้องการทำขายก็สามารถทำได้ แต่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องปริมาณออเดอร์ และจำนวนยอดผลิตสินค้า ด้วยข้อจำกัดจากแรงงานคนและสภาพภูมิอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะบางครั้งความชื้นก็มีผลต่อการเซ็ตตัวและคุณภาพของสบู่บ้างเล็กน้อย 

เมื่อต้องการจะทำแบรนด์ อย่าทำตามกระแส แต่ให้ใช้ความรู้สึกที่รักหรือต้องการทำจริงๆ นำไปสู่การทำแบรนด์ออกมา เพราะทำอะไรด้วยความรัก จะมีแรงจูงใจและพยายามศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยความรักความต้องการทำจริงๆ จะทำให้ไม่เบื่อไม่ท้อเร็วเมื่อเจออุปสรรค เลือกผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าจะต้องใช้เสมอ ไม่ว่าเศรษฐกิจะดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ผู้บริโภคก็ยังต้องการที่จะใช้ เพราะเป็นสินค้าที่ต้องใช้อยู่แล้ว และมีคุณภาพเป็นที่พอใจ ทำให้ลูกค้าก็ต้องการซื้อใช้อยู่เสมอ ถ้าทำเพราะกระแสตลาด อาจจะบูมเร็วจริงแต่ก็อาจดับเร็วได้เช่นกัน ต้องมีความอดทนสูงในการรอคอยผลตอบรับ และอดทนต่ออุปสรรคเพราะในการทำธุรกิจแรกๆ จะยังไม่มีการตอบรับ ต้องใช้ความรักและความอดทนรอ และไม่หยุดพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อให้สินค้าแบรนด์มีคุณภาพที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ที่อาจมีกระแสแฟชั่นหรือนวัตกรรมใหม่ๆ สามารถตามได้ทันและผลิตออกมาได้ตามความต้องการของตลาดจริงๆ 

 

เชื่อว่าโกโก้และช็อกโกแลตเป็นเมนูของหวานและขนมรวมไปถึงเครื่องดื่มโปรดของใครๆหลายคนและหลายวัยเลยทีเดียว เพราะทั้งเข้มข้น หวานหอม อร่อย กลิ่นหอมชวนหลงไหลจริงๆ จนผลิตภัณฑ์ความงามและการบำรุงหลายประเภทยังต้องนำไปเป็นส่วนผสมและเพิ่มกลิ่นของผลิตภัณฑ์ 

ผลิตภัณฑ์ที่เป็นช็อกโกแลตและโกโก้มีหลากหลายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตอัลมอนด์ ขนมเบเกอรี่รสช็อกโกแลต ช็อกโกแลตแท่ง ไอศกรีมช็อกโกแลต ดาร์กช็อกโกแลต ช็อคโกแลตบาร์ ช็อคโกแลตเฮอร์ชี่ โกโก้คีโต ช็อกโกแลตไมโล

ขนมปังช็อกโกแลต ช็อกโกแลตปั่น หรือแม้แต่เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มหรือขนมหวานต่างๆ และอีกมากมายสารพันเมนูที่มันเยอะมากจริงๆแค่เท่าที่เขียนมาก็ทำให้ต่อมน้ำลายในปากสั่นระรัวแล้ว 

 

แต่เคยงงไหมเวลาที่ไปร้านเครื่องดื่มแล้วอ่านเมนู โกโก้ปั่น ช็อกโกแลตเย็น คอฟฟี่โกโก้ และตามร้านเบเกอรี่ที่มีขนมวางเรียงราย ขนมปังโกโก้ ช็อกโกแลตหน้านิ่ม ฯลฯ แม้กระทั่งจะไปหาซื้อผงโกโก้ชงดื่มหรือจะทำขนมอบเองที่บ้าน อ่านบนบรรจุภัณฑ์ ก็จะมีผงโกโก้และผงช็อกโกแลตให้เลือกอีก โกโก้ริช โกโก้ทิวลิป โกโก้ดัทช์ โกโก้ตรานางพยาบาล ผงช็อกโกแลตแท้ อ้าววว แล้วโกโก้กับช็อกโกแลตต่างกันยังไง บทความนี้มีคำตอบมาให้ได้กระจ่างและได้มีข้อมูลในการเลือกซื้อในครั้งต่อไปค่ะ 

 

โกโก้และช็อกโกแลตเป็นแฝดคนละฝา มีที่มาแห่งเดียวกันก็คือเมล็ดกาเกา(Cacao) ที่มาจากต้นโกโก้ (Cocoa tree) โดยการนำเมล็ดในฝักไปแช่น้ำหมักก่อน แล้วทำให้เมล็ดโกโก้แห้ง แกะเปลือกออกแล้วก็นำไปคั่วโกโก้ จนได้เมล็ดโกโก้สีน้ำตาลเข้มที่มีกลิ่นหอมและรสขม เมล็ดโกโก้คั่วนี้จะเรียกว่า“คาเคา นิบส์” (Cacoa nibs

 

Cacoa nib สามารถนำไปใช้ได้เลย ซึ่งอาจจะนำไปเป็นช็อกโกแลตรูปแบบต่างๆ เช่น ช็อกโกแลตแท่ง โรยขนม โรยเครื่องดื่ม แต่ถ้านำไปบดเป็นผงแล้วนำผงบดที่ได้ไปใช้เลยเรียกว่า“ผงช็อกโกแลต”แต่ถ้านำไปสกัดเอาไขมันโกโก้ (cocoa butter) ออกจนเกือบหมดก็จะกลายเป็น“ผงโกโก้” 

โกโก้ผงจะมีรสที่ขมและเฝื่อนบาดลิ้นในขณะที่ช็อคโกแลตจะมีรสนุ่มละมุนและหอมมันกว่า เพราะยังมีไขมันโกโก้บัตเตอร์อยู่ครบถ้วน แต่เพราะเหตุนี้โกโก้จึงเป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าช็อกโกแลต แต่ต้องเลือกโกโก้ที่เป็น โกโก้ High Fat แต่ ไม่ต้องตกใจ คำว่าโกโก้ high fat คำนี้ไม่ได้แปลว่าจะทำให้โรคอ้วนถามหาหากรับประทานเข้าไป แต่ high fat cocoa นี้เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งยิ่งสูงก็ยิ่งดี 

 

เพราะอะไรถึงกล่าวว่า ไขมันโกโก้หรือโกโก้บัตเตอร์ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะโกโก้บัตเตอร์นอกจากจะช่วยเพิ่มความฟินในการทานโกโก้หรือช็อกโกแลตอร่อยยิ่งขึ้น ด้วยความมันและนุ่มจนแทบละลายในปาก และมีกลิ่นหอมฟุ้ง แต่เจ้าโกโก้บัตเตอร์ตัยังมีแร่ธาตุมากมายที่ดีต่อร่างกาย อีกทั้งมีความพิเศษในเรื่องของการบำรุงผิว ที่ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวแห้งขาดน้ำกลับนุ่มลื่นเนียน ฟื้นฟูสภาพโครงสร้างเส้นผมที่ชี้ฟูให้กลับมานุ่มลื่น ด้วยคุณประโยชน์มากมายของเนยโกโก้นี่เองที่ทำให้เป็นที่ต้องการหลายอุตสาหกรรม เพื่อนำไปใช้งานหรือเป็นวัตถุดิบและส่งผลให้ราคาแพง

 

เราไปทำความรู้จักถึงสายพันธุ์ของโกโก้กันสักหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าโกโก้เป็นพืชเขตร้อนที่ปลูกและเติบโตได้ดีในป่าฝนเขตร้อนชื้นที่มีฝนตกชุกชุมมากกว่า 2,000 มิลลิเมตรต่อปีและดินที่ใช้ปลูกต้องมีปริมาณธาตุไนโตรเจนสูง ชอบร่มเงาใต้ไม้ใหญ่ โดยสายพันธุ์หลักๆของโกโก้มี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ 

1.คริโอลโล (Criollo) ผลอ่อนมีสีแดงหรือเขียวแต่เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง โกโก้เมล็ดมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น เป็นสายพันธุ์จากอเมริกากลางที่ส่วนใหญ่เติบโตในแถบอเมริกาประเทศโคลัมเบีย เอกวาดอร์ และเวเนซุเอรา มีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก

 

2.ฟอรัสเทอร์โร่ (Forastero) สายพันธุ์นี้มีผลสีเขียวแต่ผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีผลยาวและเปลือกหนา เนื้อเมล็ดแบนมีสีม่วงเข้ม สายพันธุ์นี้จะนิยมปลูกในแอฟริกาตะวันตก และ เม็กซิโก

 

3.ทรินิทาริโอ (Trinitario) สายพันธุ์ที่เติบโตในเกาะตรินิแแดด แต่ปัจจุบันสามารถปลูกได้ที่อินโดนีเซีย ศรีลังกา และ อเมริกาใต้ โดยสายพันธุ์นี้มีผลใหญ่สีเขียวแกมแดง ก้นแหลม เมล็ดใหญ่ เนื้อเมล็ดสีม่วงและมีกลิ่นหอม 

Cocoa pods and cocoa beans and cacao powder with leaves isolated on white background.

ประเทศกาน่าและประเทศโกตดิวัวร์นับได้ว่าเป็นประเทศที่ส่งออกผลโกโก้อันดับต้นๆของโลก เนื่องจากทั้งสองประเทศนี้ภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นโกโก้ ทำให้เมล็ดโกโก้มีคุณภาพเยี่ยมจนเป็นโกโก้ที่ดีที่สุด และยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันด้วยสภาวะโลกร้อน ทำให้อากาศแห้งแล้งและปริมาณน้ำลดลง ส่งผลกระทบต่อต้นกาเกาให้ผลผลิตน้อยลง และราคาโกโก้ก็เริ่มสูงขึ้นตามไปด้วย 

 

จากที่เกริ่นมาข้างต้นเรื่องต้นกาเกาหรือต้นโกโก้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจแถบทางอเมริกาโดยเฉพาะประเทศกาน่าและไอวอรีโคสต์ แต่ในประเทศไทยก็ได้รับการสนับสนุนให้ปลูกต้นโกโก้เพื่อเป็นผลผลิตทางการเกษตรและด้านเศรษฐกิจ อย่างเช่นที่ชุมพร นครศรีธรรมราช จันทบุรี เชียงราย โดยมีผู้นำโกโก้เข้ามาในปลูกในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2446 แต่ไม่นานก็ไม่เป็นผลเท่าที่ควร จึงมีการเลิกล้มและหันไปทำการปลูกพืชชนิดอื่น แต่ทว่าปัจจุบันได้มีการรื้อฟื้นและปลูกต้นโกโก้แซมกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เป็นสวนผสมที่ให้ผลผลิตและราคาดี จนไม่พอต่อความต้องการของตลาดที่กำลังขยายตัว โกโก้จึงได้รับความสนใจจากกระทรวงการเกษตรและการส่งเสริมจากภาครัฐอีกครั้ง 

 

โกโก้และช็อกโกแลตไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย และไม่ได้เป็นเพียงแค่ขนมทานเล่นเพลินๆเท่านั้น แต่ผงโกโก้แท้มีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงหลายชนิด เป็นแหล่งสารโพลีพอลส์ สารไนอาซีน สารฟลาโวนอยด์ แมกนีเซียม แมงกานีส และอื่นๆอีกมากมาย แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของโกโก้ที่เราเลือกรับประทานด้วยว่าเป็นแปรรูปโกโก้ชนิดใด หากเป็นโกโก้สำเร็จรูปแบบ 3 in 1 ที่ผสมน้ำตาลและครีมเทียม หรือผสมด้วยนมข้นหวานในปริมาณมาก แทนที่จะได้ประโยชน์จากสารอาหารในโกโก้ อาจได้โรคเพิ่มจากความหวานของนมและน้ำตาลแทน 

 

มีแพทย์หลายท่านที่ได้กล่าวถึงประโยชน์ของโกโก้หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสมทางสื่อหลายช่องทางเลย  ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันสักหน่อยว่าประโยชน์โกโก้มีอะไรบ้างและถ้าหากรับประทานโกโก้แท้ดีอย่างไร 

 สรรพคุณของโกโก้  

สารฟลาโวนอยด์ในโกโก้ช่วยขยายตัวของหลอดเลือดทำให้เลือดไหลเวียนดี ช่วยลดความันโลหิตสูง ช่วยป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ทั้งสารฟลาโวนอยด์และสารโพลีพีนอลส์เป็นสารต้านอนุมูสอิสระสูงที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้แพร่กระจาย

 

โกโก้มีกาเฟอีนและธีโอโบรมีน ซึ่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง(central nervous system) ให้ตื่นตัวตลอดเวลา โดยสารธีโอโบรมีนจะมีฤทธิ์การกระตุ้นระบบประสาทน้อยกว่าคาเฟอีนมาก แต่สารนี้กลับมีฤทธิ์ขับปัสสาวะแรงกว่า จึงใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้  กาแฟจะมีคาเฟอีนและธีโอโบรมีนมากกว่าโกโก้ หรือจะกล่าวได้ว่า ช็อกโกแลตแท่งขนาด 50 กรัม จะมีธีโอโบมีนประมาณ 250 มิลลิกรัมเท่านั้น และเจ้าธีโอโบรมีนนี้ยังช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรียในช่องปากและดีต่อสุขภาพฟัน ดังนั้นผู้ที่ไม่ชอบดื่มกาแฟ หรือหมอสั่งงดกาแฟ อาจทำการปรึกษาแพทย์เพื่อหันมาดื่มโกโก้ร้อนแทน

 

นอกจากนี้โกโก้ยังมีฤทธิ์ที่ช่วยกระตุ้นให้หลั่งสารเซโรโทนินในสมองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ที่ดื่มโกโก้มีความสุข โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีการตอบสนองต่อโกโก้ดีกว่าผู้ชาย ด้วยฮอร์โมนเพศหญิงนั่นเอง การได้ดื่มโกโก้ร้อนเป็นประจำจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการมีประจำเดือนได้ และยังเป็นที่นิยมดื่มในหญิงวัยหมดระดู รวมไปถึงสตรีหลังมีระดูใหม่ๆ เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายมีสารเซโรโทนินในสมองปริมาณต่ำ

ประโยชน์โกโก้มีมากมายแต่ก็ต้องอยู่ในความพอดี จากข้อมูลวิชาการการดื่มโกโก้ในปริมาณสูงทุกวัน จะส่งผลให้มีความจำดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคความจำเสื่อม โดยอ้างอิงจากศาสตราจารย์ นายแพทย์ สก็อต เอ สมอลล์ แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ทำโครงการวิจัยให้ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 5069 ปี จำนวน 37 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ดื่มโกโก้ปริมาณสูง(ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) กับกลุ่มดื่มโกโก้ปริมาณต่ำ ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน เมื่อทำการตรวจวัดภาพถ่ายสมองด้วย FMRI และวัดค่า metabolism ของสมอง ปรากฏว่ากลุ่มที่ดื่มโกโก้ปริมาณสูงมีสมรรถภาพสมองดีขึ้นเทียบเท่าคนอายุ 3040 ปี ในขณะที่กลุ่มดื่มโกโก้ปริมาณต่ำกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 

Glass of chocolate milk on the dark background.

ดื่มโกโก้ตอนไหนดี

จากการวิจัยยังพบอีกว่าประโยชน์ของโกโก้ร้อนช่วยในเรื่องของอาการนอนหลับยาก การที่ดื่มโกโก้ร้อนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น โกโก้มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นประสาทให้เกิดความผ่อนคลาย บรรเทาโรคซึมเศร้า และยังช่วยลดระดับความเครียดได้อีกด้วย อย่างเช่นในประเทศฝรั่งเศสมักจะนิยมใช้โกโก้ร้อนในการรักษาผู้ที่มักมีอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิดง่าย และสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นในโกโก้ที่มีค่าสูงกว่าไวน์แดงถึง 3 เท่าจะถูกปล่อยออกมาเมื่อถูกความร้อน

 

ประโยชน์ของการดื่มโกโก้ร้อนทุกเช้าช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี หากคุณดื่มถูกวิธี นั่นคือชงโกโก้ให้อร่อยแต่มีแคลอรี่ต่ำ โดยไม่ใส่น้ำตาลหรือนม มีเพียงแค่น้ำร้อนและผงโกโก้100 หรืออาจเพิ่มเติมเพียงนมสดเท่านั้น และอย่าไปห่วงเรื่องโกโก้ที่มีไขมัน ในทางกลับกันโกโก้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เพราะไขมันโกโก้เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพที่ทางการแพทย์ให้การยอมรับและแนะนำ ยิ่งโกโก้มีโกโก้บัตเตอร์ 2224% ยิ่งเป็นโกโก้พรีเมียม

 

เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบชงโกโก้ร้อนดื่มสลับกับการดื่มกาแฟ เช้าดื่มกาแฟพอเวลาบ่ายๆก็โกโก้ร้อนสักแก้ว หรือไม่ก็ตอนเช้าดื่มโกโก้แล้วตกบ่ายก็ตามด้วยกาแฟเพราะเป็นเวลาอาการง่วงมักจะมาเยือนค่ะ และโกโก้ร้อนประโยชน์ได้รับเต็มๆหากชงเพียงแต่น้ำร้อนโดยไม่เติมน้ำตาลหรือนม แต่ถ้าอยากได้รสชาติโกโก้ที่ลดขมลงอีกหน่อย อาจเติมนมสดแทนจะดีกว่านมข้นหวานหรือน้ำตาล 

 

เมื่อรู้ประโยชน์โกโก้ดีขนาดนี้แล้วก็ต้องหามาไว้ทานกันบ้างดีกว่า แต่ไปดูกันหน่อยว่าเราจะหาซื้อช็อกโกแลตที่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่คนก็จะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เดินเข้าร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านก็เจอ มีมากมายหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อกันตาลาย และถ้าต้องการจะซื้อผงโกโก้ล่ะ ผงโกโก้ซื้อที่ไหนได้บ้าง ผงช็อกโกแลตยี่ห้อไหนอร่อย ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตมีรูปแบบใดบ้างที่รอให้เราได้เลือกซื้อเลือกทาน 

 

ผงโกโก้แปรรูปเป็นเครื่องดื่มได้สารพัดเมนูไม่ว่าจะเป็นเมนูโกโก้เองหรือนำไปผสมกับวัตุดิบอื่นๆ เช่น โกโก้นมสด ช็อกโกแล็ตเย็น คราฟต์ช็อกโกแลต โกโก้วิปชีส มัจฉะลาเต้โกโก้ โกโก้นมเย็น มอคค่า และอีกหลายเมนูที่รังสรรได้จากผงโกโก้  ถ้าอย่างนั้นไปดูกันว่า โกโก้มียี่ห้ออะไรบ้างอร่อย โกโก้ยี่ห้อไหนดีชงขาย  ผงโกโก้100ยี่ห้อไหนดี ผงชงโกโก้ยี่ห้อไหนอร่อย ผงโกโก้สีดำดียังไง โกโก้ยี่ห้อไหนเข้มข้น ผงโกโก้ทำบราวนี่ยี่ห้อไหนดี 

 

ถ้าไปเดินตามซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านสะดวกซื้อ อย่างผงโกโก้ในเซเว่น เราจะเห็นได้ว่ามีโกโก้ยี่ห้อมากมายให้เลือกซื้อ  มีตั้งแต่ผงโกโก้สีมาตรฐาน ผงโกโก้สีเข้ม ผงโกโก้สีดำ โกโก้ผงชงดื่ม ผงโกโก้ทำขนม ผงโกโก้ทำบราวนี่ โกโก้ผงทำเบเกอรี่ หรือแม้แต่ผงโกโก้คีโต เยอะจนตาลายขนาดนี้แล้วจะเลือกซื้อผงโกโก้ยี่ห้อไหนดี มีทั้งโกโก้กระป๋อง โกโก้ดัทช์ โกโก้ทิวลิป โกโก้นางพยาบาล ผงโกโก้ตรามือ ผงโกโก้โลตัส ผงโกโก้แมคโคร โดยผงโกโก้ราคาจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ประเภทของโกโก้ และรูปแบบการผลิต แล้วแต่ว่าใครรักใครชอบยี่ห้อไหน หรือสะดวกในราคาไหน 

 

นอกจากการหาซื้อโกโก้ผงชงดื่มเองแล้ว มีเจ้าของกิจการร้านอาหาร หรือร้านเครื่องดื่มขนาดใหญ่และขนาดเล็กก็ต้องคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่เหมาะสมเข้าร้าน เพื่อนำมาเป็นตัวชูโรงรสอร่อยให้กับเมนูของร้านมัดใจลูกค้า ถ้าชงดื่มเองก็ต้องแล้วแต่รสลิ้นของตัวบุคคล แต่พอต้องเดาใจรสนิยมของคนทั่วไปเพื่อที่จะผันตัวมาเป็นลูกค้าประจำร้าน ก็ต้องมีเลือกผิดเลือกถูกกันบ้างในช่วงแรกๆ กว่าที่จะเลือกได้และเข้าที่เข้าทาง 

เรามีวิธีการเลือกซื้อโกโก้ผงมาฝาก จากที่ทำการหาข้อมูลมาบ้างแล้ว ทำให้รู้ว่าผงโกโก้ทั่วไปหรือผงโกโก้เกรดมาตรฐานจะมีโกโก้บัตเตอร์ 1112% ส่วนผงโกโก้เกรดพรีเมียมจะมีโกโก้บัตเตอร์ 2224% บางคนอ่านข้อมูลที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์แล้วเจอไขมันโกโก้สูงก็ตกใจ จากที่ตอนแรกหยิบโกโก้ถุงหนึ่งแล้วมีโกโก้บัตเตอร์2224% ก็เปลี่ยนไปเลือกที่มีไขมันโกโก้ต่ำกว่า ด้วยความเข้าใจว่าโกโก้ที่ไขมันสูงไม่ดีต่อสุขภาพและราคาผงโกโก้ก็สูงกว่า เราจะบอกให้ว่าคุณพลาดแล้ว…

 

 อย่างที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นๆแล้วว่า โกโก้ยิ่งไขมันสูงยิ่งดียิ่งมีคุณภาพ และได้รับการยืนยันจากคณะแพทย์ที่ทำการวิจัยมาแล้วหลายประเทศ จึงไม่แปลกหากปริมาณโกโก้บัตเตอร์สูงก็ยิ่งมีราคาสูง ถ้าคุณเลือกซื้อผงโกโก้เพื่อชงดื่มเอง คุณจะไม่เสียดายเลยหากคุณยอมลงทุนเพิ่มการจ่ายอีกนิด เพื่อให้ได้โกโก้ผงเกรดคุณภาพ มีประโยชน์สูงสุด และเพลินไปกับความอร่อยของรสโกโก้แท้ เหมือนที่ว่ายิ่งเราลงทุนผลที่ได้ก็ยิ่งคุ้มค่า (แม้แต่เรื่องอาหารการกินก็ตาม) 

 

ผงโกโก้ยี่ห้อไหนทำขนม…โกโก้ที่มีไขมัน1012%เป็นผงโกโก้ที่มีไขมันตามมาตรฐานที่แพทย์แนะนำ ดีและมีประโยชน์เช่นกัน เหมาะกับการนำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่นนำผงโกโก้ทำเบเกอรี่ ผงโกโก้ทำบราวนี่ ผงโกโก้สำหรับเมนูเครื่องดื่มต่างๆ ผงโกโก้โรยขนม หรือนำไปทำซอสช็อกโกแลต เป็นต้น และราคาจะประหยัดกว่า ซึ่งเหมาะทั้งผู้ที่จะซื้อใช้เองส่วนตัว หรือร้านค้าต่างๆที่ซื้อเพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบประกอบในกิจการ 

โกโก้ยี่ห้อไหนดีชงขาย…นอกจากปริมาณของโกโก้บัตเตอร์แล้ว การเลือกสีและประเภทของโกโก้ให้เหมาะกับการใช้งานก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นผงโกโก้ที่มีไขมัน1012% แต่ก็ต้องอ่านบนฉลากที่ผลิตภัณฑ์ระบุไว้ให้ดีว่าเป็นผงโกโก้เหมาะสำหรับการใช้งานอะไร อย่างเช่น ผงโกโก้ โกโก้ริชซองสีแดง เป็นผงโกโก้ชนิดสีน้ำตาลแดงเข้ม ที่เหมาะสำหรับเครื่องดื่มโดยเฉพาะ เพราะเขาการันตีว่า เป็นผงโกโก้100เปอร์เซ็นต์ ชงละลายง่าย กลิ่นหอมนุ่มละมุน รสชาติเข้มข้น สีเข้มสวย และราคาก็ไม่แรง ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้กับร้านเครื่องดื่มได้ดี 

ส่วนตัวแล้วเราจะชอบโกโก้ริชโกลด์ ซีเล็คชั่น ที่เป็นโกโก้กระป๋องสีทูโทนน้ำตาล-ขาวมีขอบทองหน่อยๆ เพราะเขาจะเป็นโกโก้ High Fat ที่มีไขมันโกโก้ 2224% แต่ที่สำคัญไปกว่าก็คือ เพียงเปิดฝากระป๋อง กลิ่นหอมช็อกโกแลตก็ลอยแตะจมูกทันที เมื่อชงก็ละลายง่ายมาก กลิ่นละมุนสุดๆ รสเข้มข้นแต่นุ่ม ไม่เฝื่อนติดคอ ฟินสำหรับคนรักโกโก้อย่างเราเลย 

 

เรากล่าวถึงเรื่องผงโกโก้กันไปแล้ว ทีนี้เรามาดูช็อกโกแลตรูปแบบอื่นๆกันบ้าง เอาจริงๆแล้ว ช็อกโกแลตแบ่งได้หลายชนิด ได้แก่            

 

1.Cacao Mass หรือ โกโก้แมส / คาเคาแมสคือ ช็อกโกแลต100 จากเมล็ดโกโก้ที่บดจนเป็นเนื้อเนียนโดยไม่ปรุงแต่งอะไร ใช้เป็นเบสในการผลิตช็อกโกแลตต่างๆ ช็อกโกแลตบาร์ ผงโกโก้ ขนม เบเกอรี่ เครื่องดื่ม ช็อคโกแลตหัวใจ และ ไอศครีม บางคนก็เรียกช็อกโกแลตก้อน

 

2.Dark Chocolate ดาร์กช็อกโกแลตคือ ช็อกโกแลตที่มีคาเคาแมสและน้ำตาล เป็นส่วนผสมโดยไม่มีนม ทำให้มีรสที่ขมกว่าช็อกโกแลตทั่วไป ถ้าสรุปคร่าวๆ มีส่วนผสมหลักๆคือ ไขมันโกโก้ (cocoa butter) นมสกัดไขมัน (milk solid) น้ำตาลหรือสารให้ความหวาน และอาจแต่งกลิ่นวนิลา(flavour) ดาร์กช็อกโกแลตสามารถแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้อีก เช่น Semesweet โดยจะมีโกโก้ไม่น้อยกว่า35  BitterSweet จะมีโกโก้เป็นส่วนประกอบไม่น้อยกว่า50  Unsweetened หรือ Baking Unsweet  เป็นโกโก้100 จะมีรสขมมาก เหมาะสำหรับใช้ทำขนมเท่านั้น แต่โดยทั่วไปจะนิยมใช้ดาร์กช็อกโกแลต70เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

 

3.ช็อกโกแลตนม (Milk Chocolate) มิลค์ช็อกโกแลต ส่วนผสมคล้ายกับดาร์กช็อกโกแลตแต่จะมีการเติมนมผงสกัดหรือ milk solid เพิ่มเข้าไปด้วย ทำให้มีรสหวานหอมมันกว่าดาร์กช็อกโกแลต 

 

4.ไวท์ช็อกโกแลต (White Chocolate) และ ไวท์ช็อกโกแลตชิพ เป็นช็อคโกแลตขาวแต่ไม่มีรสชาติโกโก้ เพราะมีโกโก้บัตเตอร์ผสมอยู่น้อย มีสีขาวนมและรสชาติค่อนข้างหวานกว่าช็อกโกแลตทั่วไป โดยส่วนผสมหลักๆจะเป็น ไขมันโกโก้ เนื้อโกโก้ นมสกัดไขมัน สารให้ความหวาน 

 

5.ช็อกโกแลตบาร์และช็อกโกแลตแท่ง เป็นขนมหวานสุดโปรดใครหลายๆคนที่หาซื้อได้ง่ายมากๆตามร้านทั่วไปหรือร้านสะดวกซื้อ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีหลากหลายยี่ห้อวางเรียงรายกัน ยิ่งตาลายไม่รู้จะหยิบจะซื้อยี่ห้อไหนดี ยกตัวอย่างยี่ห้อช็อกโกแลตบาร์ที่เชื่อว่าคุ้นหูหลายคนเลย เช่น ช็อกโกแลตkitkat,เฮอร์ชี่ส์,ช็อคแลตdairymilk,

 

6.ช็อกโกแลตเหรียญ เป็นช็อกโกแลตรูปเหรียญบางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเหรียญทองช็อคโกแลตที่หาซื้อได้ง่ายทั่วไป เป็นขนมหวานสุดอร่อยของเด็กๆ แต่จริงๆจะคล้ายกันแต่เชฟหรือคนทำขนมจะนำไปใช้ในการประกอบหรือตกแต่งเบเกอรี่เพราะสามารถนำไปทำการละลายหรือตกแต่งได้เลย โดยไม่ต้องทำการตัดให้ยุ่งยากอีก 

 

7.Couverture chocolate คือ ช็อกโกแลตแท้สำหรับแปรรูปเป็นขนมหวานได้หลายชนิด หรือจะเรียกว่าเป็นสารตั้งต้นช็อกโกแลตที่เชฟมืออาชีพมักนำไปเคลือบหรือหรือขึ้นรูปเป็นช็อกโกแลตตกแต่ง เพราะให้ความเงาสวยและเนื้อไม่แตกหักง่าย บางคนก็เรียก Couverture chocolate ว่า ช็อกโกแลตกระดุม หรือ ช็อกโกแลตเหรียญ 

 

8.Compound Chocolate คือผลิตภัณฑ์เลียนแบบรสชาติช็อกโกแลต มีน้ำมันพืชเป็นส่วนผสมแทนโกโก้บัตเตอร์ ทำให้รสชาติและคุณสมบัติต่างๆด้อยกว่าช็อกโกแลตแท้ จึงไม่เหมาะนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำขนม แต่จะถูกนำไปใช้ช็อกโกแลตเคลือบแข็งหน้าขนมหรือไอศกรีม  

สรุปได้ง่ายๆว่าโกโก้จะมีความเข้มข้นและขมกว่าช็อกโกแลต อย่างถ้าคุณเป็นคนชอบรสเข้มข้นก็อาจเทใจไปทางโกโก้ หรือต้องการทานโกโก้เพื่อสุขภาพ แต่ถ้ารักในรสเข้มแต่หวานมันสักหน่อยก็ย้ายฝั่งไปทางช็อกโกแลต แต่ไม่ว่าจะโกโก้หรือผงช็อกโกแลต ก็ทานอร่อยทานเพลินได้ตามแต่ใจรัก แต่อย่าลืมว่าถึงแม้จะมีประโยชน์มากมายจากการวิจัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ทุกสิ่งมีประโยชน์ก็มีโทษได้เช่นกันหากรับประทานผิดวิธี ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้คุณเอ็นจอยกับของโปรดอย่างมีสุขภาพดี

 

 

 

 

สำหรับใครที่สนใจเรื่องการตลาดหรืออยู่ในวงการ Marketing น่าจะคุ้นเคยกับกลยุทธ์พื้นฐาน Marketing Mix 4ps คือ การผสมผสานพื้นฐานการตลาดที่ช่วยสร้างกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าของการทำธุรกิจ เป็นแนวคิดการตลาดยุคใหม่ ที่นอกจากจะเน้นการพัฒนาในตัวแบรนด์เองแล้ว ยังเป็นกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนทางฝั่งผู้ซื้อมาช่วยสื่อสารและทำการตลาดให้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ที่ทำการตลาดอาจจะคุ้นเคยกับระบบ 4Ps Marketing Mix หรือ 4Ps 

Overjoyed bride woman in wedding dress clenching fists like winner holding multi colored packages bags with purchases after shopping isolated on pink background. Organization of wedding. Copy space

Mix 4ps Marketing ได้แก่ 

1.Product (ผลิตภัณฑ์หรือสินค้า) 

2.Price (ราคา)

3.Place (ช่องทางการจำหน่าย)

4.Promotion (การส่งเสริมการขาย)

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน ส่งผลให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปจากเดิม มีการใช้สื่อโซเซียลมีเดียมากขึ้น ดังนั้นจึงมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่ใช้ 4P ไปใช้เป็น 4E Marketing Mix ที่เน้นการสร้างประสบการณ์จากผู้บริโภค และรู้สึกคุ้มค่าในคุณค่าของสินค้าที่ได้รับ จนมีการโฆษณาบอกต่อให้กับผู้ใกล้ชิด หรือมีการเผยแพร่วงกว้างด้วยระบบอินเตอร์เน็ต

 

Marketing Mix 4E ได้แก่ 

1.Experience (ประสบการณ์)

2.Exchange  (สร้างความคุ้มค่า)

3.Everywhere (สามารถเข้าถึงได้ง่ายทุกช่องทางออนไลน์) 

4.Evangeism (ลูกค้าที่สนับสนุนแบรนด์ หรือเรียกง่ายๆว่าลูกค้าขาประจำ) 

 

การนำกลยุทธ์ 4P 4E Marketing มาปรับใช้ธุรกิจยุคดิจิทัล

1.จาก Product เป็น Experience

เนื่องจากผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้โฟกัสเพียงสินค้าเท่านั้น แต่ใส่ใจถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการบริการหรือสินค้าที่ได้ใช้ด้วย ในที่นี้ก็หมายถึงประสบการณ์จากการใช้สินค้า ที่อาจถูกใจในกลิ่น เนื้อสัมผัสของสินค้า คุณภาพที่ได้ และความพึงพอใจหลังจากการใช้สินค้าหรือใช้บริการ  แล้วมีการซื้อซ้ำในครั้งต่อไป หรือการเข้าไปใช้บริการคาเฟ่ในปัจจุบัน ลูกค้าไม่ได้ต้องการเพียงแค่รสชาติเครื่องดื่มเท่านั้น แต่การบริการที่เป็นมิตรจากพนักงาน การที่พนักงานจำรสชาติที่ลูกค้าชื่นชอบได้ การได้ถ่ายรูปสวยๆจากมุมเก๋ๆในร้านเพื่ออัพรูปลงโซเชียล สิ่งเหล่านี้ก็สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค จนต้องกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำ 

 

เนื่องจากปัจจุบันผู้คนจะแชร์ประสบการณ์ลงบนโลกอินเทอร์เน็ต อย่างเช่นไปทานอาหารร้านหนึ่งแล้วได้รับบริการดีจากพนักงาน หรือรสชาติอาหารอร่อยถูกใจ ก็แชร์ลงโซเชียลมีเดีย และข้อความเหล่านั้นก็สามารถแชร์ต่อๆกันไปได้ทั่วโลก สังเกตได้ว่าเมื่อมีการแชร์ในแง่ดี ผู้คนก็จะซัพพอร์ตและแห่แหนกันไปอุดหนุนสินค้าหรือบริการ แต่ถ้าเป็นการแชร์ข้อความในแง่ลบ เช่น ร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบไม่สะอาดมาปรุงเสิร์ฟลูกค้า ข้อความเหล่านั้นเมื่อถูกแชร์ไป ร้านอาหารร้านนั้นก็โดนตำหนิ และขาดลูกค้าเข้าใช้บริการในที่สุด จะเห็นได้ว่าประสบการณ์จากผู้บริโภคเป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคสื่อดิจิทัล จึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะระหว่างหรือหลังซื้อสินค้าและการใช้บริการ เพราะสำหรับทุกวงการธุรกิจ ลูกค้าคือศูนย์กลางในการออกแบบประสบการณ์ระดับโลก 

 

สิ่งหนึ่งที่ทุกธุรกิจออนไลน์ รวมไปถึงธุรกิจที่ต้องใช้สื่อออนไลน์เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย จะต้องคำนึงถึงเพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับกลยุทธ์ นั่นคือช่วงวัยและยุคสมัย หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า Gen (Generation) ถ้าเทียบ Gen X หรือช่วงอายุที่เราเรียกว่าคนยุค90s ที่เมื่อก่อนจะซื้ออะไรต้องได้เห็นได้สัมผัสจึงจะตัดสินใจซื้อ มีการเปรียบเทียบและใช้เวลาในการตัดสินใจ จึงมีความอดทนในการรอมากกว่า คน Gen Y และ Gen Z ที่เติบโตมาในยุคดิจิทัล ล้อมไปด้วยมือถือ แท็บเล็ต ทำให้ประสบการณ์คนเหล่านี้มีความอดทนน้อยกว่า ไม่ว่าอะไรก็ต้องเร็ว อยากรู้อยากทำอะไรต้องได้เดี๋ยวนั้น ส่งผลให้ Influencer ผู้นำทางความคิดเข้ามามีบทบาทการตลาดทางออนไลน์สูงขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม 

 

เมื่อมีการตรวจสอบสถิติการเล่นโซเชียลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการค้นหาคำ review เพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า เนื่องจากคนชอบดูการรีวิวสินค้าและให้ความเชื่อในตัวผู้ทำการรีวิวมากกว่าที่จะเชื่อในแบรนด์ ทำให้เกิดอาชีพใหม่คือ Influencer ซึ่ง 75% ของผู้ที่ใช้สื่อโซเชียลจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการตามอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้ Influencer สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับแบรนด์ได้มากถึง 65% ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเทรนด์การใช้ Influencer Marketing 

2.จาก Place เป็น Everywhere 

เพราะสมัยนี้จะมีแต่เพียงหน้าร้านอย่างเดียวคงไม่พอ จะต้องเข้าถึงและสามารถหาซื้อได้ทุกช่องทาง เช่น social media หรือ ecommerce เมื่อผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านไปหาซื้อ สร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้าได้ทุกช่องทาง ยอดขายก็เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะทุกช่องทางที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักสามารถเข้าถึงได้ และหรือสามารถตตอบโจทย์ตามสถานการณ์ในขณะนั้นๆได้ อย่างเช่นในช่วงสถานการณ์โรคระบาด ที่ทำให้ผู้คนเลี่ยงการเดินทาง หรือจำกัดการออกนอกเคหสถาน ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อได้อย่างมาก และถ้าสังเกต สินค้าใดที่สามารถหาซื้อได้ง่ายในทุกแพลตฟอร์ม จะมียอดการสั่งซื้อมากกว่าสินค้าที่ขายแต่เพียงหน้าร้านเท่านั้น ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่สินค้าประเภทอาหารทุกประเภท หากมีการจำหน่ายผ่านทางโซเชียล มีบริการเดลิเวอรี่ ก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคนขายแม้ลูกค้าจะไม่ได้มาซื้อเองหรือนั่งทานที่ร้านก็ตาม ซึ่งระบบเดลิเวอรี่ที่เมื่อก่อนจะเห็นเพียงแต่แบรนด์อาหารใหญ่ๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็มีการปรับตัวสามารถสั่งอาหารร้านข้าวแกง หรืออาหารตามสั่งทั่วไปผ่านแอพแล้วให้พนักงานส่งบริการถึงบ้าน เป็นการปรับใช้กลยุทธ์ได้ทุกประเภทธุรกิจและทุกขนาดกิจการจริงๆ 

 

3.จาก Price เป็น Exchange 

ด้วยปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้ามากกว่าเรื่องราคา ทำให้ผู้ผลิตต้องผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์และตอบรับความต้องการของผู้บริโภค โดยคุณค่าของสินค้าจะต้องสัมพันธ์กับราคา อย่างในอดีตที่ผู้บริโภคจะให้ความสนใจและมีการเปรียบเทียบราคา ทำให้สินค้าหลายแบรนด์มีการลดราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่ง เป็นปัจจัยต่อการลดต้นทุนและคุณภาพสินค้าลง เช่น สินค้าชนิดหนึ่งที่ปกติเรทราคาทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 300400 บาท แต่ผู้ผลิตตัดราคาให้ต่ำลงจำหน่ายเพียง 100150 บาท แน่นอนว่าต้องมีคนตัดสินใจซื้อเพราะราคาที่ถูกกว่าแบรนด์อื่น แต่เมื่อได้ใช้สินค้าแล้วกลับพบว่าคุณภาพสินค้าไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ผ่านไปไม่กี่วันสินค้าก็มีการหมดอายุหรือมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ นั่นเพราะเจ้าของสินค้ามีการลดเกรดวัตถุดิบเพื่อเป็นการลดต้นทุนที่ต้องมาขายในราคาต่ำ 

 

แต่เมื่อการเลือกซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้าได้ทั่วถึง จากราคาที่เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ เปลี่ยนมาเป็นคุณภาพของสินค้า และคุณค่าความพึงพอใจที่ได้รับจากการใช้สินค้าและบริการ ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าในการจ่ายเงิน อย่างการที่เรายอมจ่ายในราคาที่แพงกว่าเพื่อซื้อโทรศัพท์ไอโฟน เพราะต้องการใช้ฟังก์ชั่นที่ให้ความคุ้มค่าในการใช้งานของผู้ซื้อมากกว่า ไม่ใช่ว่ายี่ห้ออื่นจะไม่ดี แต่ผู้ซื้อยอมที่จะจ่ายในสิ่งที่ตอบโจทย์การใช้งานและรู้สึกคุ้มค่ากว่าเท่านั้นเอง 

4.จาก Promotion เป็น Evangelism หรือ Evangelists 

Brand Loyalty ผู้ที่สนับสนุนแบรนด์ หรือผู้ภักดีต่อแบรนด์ แน่นอนว่าช่วงแรกๆเราอาจจะเรียกความสนใจด้วย Promotion การลดราคาและแจกกระหน่ำ แต่ไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืนและเจ้าของแบรนด์ก็ไม่สามารถทำได้ตลอด ดังนั้นควรสร้างด้วยคุณค่า-คุณภาพ เอกลักษณ์ของสินค้า และการบริการที่ดี รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ มีกิจกรรมให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ การติดตามผล  เช่น การติดต่อพูดคุยผ่านทางโซเชียล อย่าง เฟสบุค ไลน์ หรือหน้าเว็บเพจแบรนด์ และช่องทางอื่นๆ หรือที่ใครหลายๆคนเรียกว่า แอดมิน ที่คอยทักทายและคอยตอบปัญหากับลูกค้าของแบรนด์ การจัด Workshop ให้ความรู้และทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ซึ่งข้อนี้จะช่วยเปลี่ยนจากลูกค้าขาจรเป็นลูกค้าขาประจำ และยังสามารถเพิ่มเครือข่ายได้จาก Evangelists หรือ Evangelism ทำให้เกิด Word of Mouth (WoM) ที่ลูกค้าช่วยกระจาย บอกปากต่อปาก เป็นการเพิ่มลูกค้าโดยที่แบรนด์ไม่ต้องทำการโฆษณาใดๆ 

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่า 4P จะหมดความสำคัญแล้ว เพราะตราบใดที่ยังมีธุรกิจและการผลิตสินค้า ยิ่งธุรกิจที่เกิดใหม่ ร้านที่เพิ่งเปิดให้บริการ ก็สามารถนำ 4P Marketing มาประยุกต์ใช้กับ 4E Marketing เพื่อสร้างแนวทางให้กับธุรกิจ และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับแบรนด์ เพียงแค่รู้จักนำหยิบยกข้อดีของแต่ละข้อนำมาปรับใช้ให้ถูกต้องกับรูปแบบของสินค้า-บริการ และ เวลาหรือยุคสมัย 

 

เพราะยุคดิจิทัล “การขาย” จึงไม่ใช่เพียงแค่การขายอีกต่อไป แต่เน้นการสร้างความประทับใจให้กับผู้ซื้อ สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าที่จะจ่าย เข้าถึงสินค้าได้ง่าย ไม่ยุ่งยากและซับซ้อน เปลี่ยนจากลูกค้าขาจรเป็นลูกค้าขาประจำ เป็น Brand Loyalty ที่ภักดีในแบรนด์ มีการกลับมาซื้อและใช้บริการซ้ำ 4E Marketing Mix จึงเป็นกลยุทธ์การตลาดที่จะช่วยให้แบรนด์และธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

“ไข่ไก่” เป็นอาหารที่ทุกคนคุ้นเคย เพราะคนนิยมนำไข่มาเป็นวัตถุดิบสำหรับอาหารคาว-หวาน เพราะไข่มีประโยชน์นานัปการและนำไปทำเมนูใดก็อร่อย อีกทั้งทำง่ายใช้เวลารวดเร็ว หรือแม้แต่จะทานไข่ต้มกับนมสดและผลไม้ ก็สามารถทดแทนการทานข้าวได้หนึ่งมื้อแล้ว จึงทำให้ไข่มักจะอยู่ในทุกเมนูอาหารสำหรับทุกเพศทุกวัยก็ว่าได้ แต่บทความนี้ได้รวบรวมข้อสงสัยหรือคำถามที่มักพบเจอพร้อมกับคำตอบเพื่อคลายข้อสงสัยเหล่านั้น มีอะไรบ้างเราไปดูกัน …. 

ไข่ไก่ควรแช่ตู้เย็นไหม…ไข่แช่ตู้เย็นอยู่ได้กี่วัน    

เมื่อไข่ไก่สดออกมาจากแม่ไก่ใหม่ๆ จะมีเมือกบางๆที่เรียกว่านวลไข่เคลือบอยู่ตรงเปลือกไข่เพื่อป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ไม่ให้ปนเปื้อนในไข่ และยังช่วยป้องกัน น้ำ อากาศ รอบนอกที่จะเข้าไปสัมผัสกับภายในไข่ แต่เมื่อปล่อยไว้นานๆนวลไข่จะแห้งลง ทำให้เชื้อจุลินทรีย์ น้ำ อากาศ เข้าไปด้านในไข่จากทางรูพรุนเล็กๆที่เรามองไม่เห็นบนเปลือกไข่และส่งผลให้ไข่เสียได้ การนำไข่แช่ตู้เย็นนั้นเลียนแบบจากการเก็บรับษาของฟาร์ม โดยฟาร์มไข่จะเก็บรักษาไข่ที่อุณหภูมิที่ 18 องศาเซลเซียส จะสามารถเก็บความสดของไข่ไว้ได้นานถึง 30 วัน ถ้าเก็บนานกว่านั้นคุณภาพและสรรพคุณไข่ไก่ก็จะลดลงและเสียได้ในที่สุด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไข่แช่ตู้เย็นเก็บได้นานกว่าไข่ไก่ไม่แช่ตู้เย็น

 

ควรล้างไข่ไก่ไหม…วิธีล้างไข่ไก่ควรจะล้างตอนไหนดี?

คุณเคยตอกไข่เพื่อจะทำอาหารแสนอร่อยทานแต่ต้องเจอกับไข่เสียส่งกลิ่นเน่าไหม

เมื่อซื้อไข่มาแล้วอย่าเพิ่งรีบล้างไข่ไก่ วิธีทำความสะอาดไข่ไก่ที่ดีคือล้างเมื่อจะนำไปทำอาหาร เพราะน้ำจะไปชะล้างนวลไข่บนเปลือกออก ทำให้ไข่มีอายุการเก็บที่สั้นลงและมีเชื้อเข้าไปปนเปื้อนได้ง่ายส่งผลให้ไข่เสียได้เร็วขึ้น 

Top View organic eggs on sack cloth, many eggs on wicker basket and yolk glasses bowl, oil and egg whisk placed on the floor, preparing for cooking food or dessert, copy space

เราควรกินไข่วันละกี่ฟอง?

ไข่ไก่ 1 ฟองจะมีคอเลสเตอรอลประมาณ 200 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับ ของปริมาณคอเลสเตอรอลที่เราสามารถรับประทานได้ คือ 300มิลลิกรัม / วัน ดังนั้นบุคคลทั่วไปที่ต้องการทานไข่ให้ได้โภชนาการที่ดีก็คือทานไข่วันละฟองหรือทานไข่มากกว่านั้น 45 ฟอง ก็ต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพของตัวบุคคล แต่ในกลุ่มคนที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของคอเลสเตอรอล กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวและจำกัดไขมัน เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และกลุ่มผู้สูงอายุ สามารถทานไข่ได้แบบวันเว้นวัน หรือทาน 34 ฟอง / สัปดาห์ และควรรับประทานไข่สุกเท่านั้น เพราะการกินไข่ดิบที่มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ อาจมีสารบางอย่างในไข่ดิบไปรบกวนการดูดซึมไบโอตินในร่างกายได้

 

ไข่แดงหรือไข่ขาวมีประโยชน์กว่ากัน?

ถ้าเรากินแยกกันระหว่างไข่แดงและไข่ขาว ประโยชน์ของไข่แดงคือมีฟอสฟอรัสสูง ในขณะที่ประโยชน์ของไข่ขาวคือมีโพแทสเซียมและโซเดียมสูง และไข่แดงมีวิตามิน A D E K ที่ละลายได้ในไขมันแต่ไข่ขาวไม่มี หากเราทานแต่ไข่ขาวเราก็จะขาดวิตามิน  A D E แต่ถ้าทานแต่ไข่แดงอย่างเดียว เราก็จะไม่ได้รับโพแทสเซียมและโซเดียม การทานไข่ให้ได้สารอาหารจากไข่อย่างครบถ้วนจึงควรทานไข่ทั้งใบคือทานทั้งไข่แดงและไข่ขาว        

 

ทานไข่สุกหรือไข่ดิบดีกว่ากัน? 

การทานไข่สุกจะได้สารอาหารจากไข่ครบถ้วน แต่ถ้านำไข่ไปทอดกับน้ำมันที่มีไขมันสูงหรือเป็นน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัว ก็อาจได้ไขมันสูงจากน้ำมันไปด้วย ดังนั้นการเลือกกินไข่ต้ม ไข่ปิ้ง เพื่อเลี่ยงน้ำมันและดีต่อสุขภาพมากกว่า สำหรับบางคนอาจชื่นชอบการกินไข่ดิบเพราะรสชาติ บางคนเลือกกินแต่ไข่ดิบเพราะเข้าใจว่าประโยชน์ไข่ดิบช่วยเพิ่มพลัง แต่ที่จริงการกินไข่ไม่สุกจะได้สารอาหารเพียง 50 % ลดลงไปถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เพราะร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารไข่ดิบได้เต็มที่ และยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella) ที่เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มักจะมีอยู่ในตัวแม่ไก่ หากเราทานไข่ที่มีเชื้อซาลโมเนลลา จะทำให้เรามีอาการปวดท้อง ท้องเสีย เป็นไข้ หนาวสั่น อาเจียน เวียนศีรษะ ถ้าผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงอาจฟื้นตัวได้ภายใน 23 วัน แต่ถ้ามีอาการนานเกิน 7 วัน ควรไปพบแพทย์  หากผู้ติดเชื้อเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีไข้สูง ถ่ายเป็นเลือด หรือมีภาวะขาดน้ำ ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพราะหากติดเชื้อในกระแสเลือดอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ไข่ต้มกินได้วันละกี่ฟอง? 

บางคนก็ต้มไข่กินเพื่อสุขภาพ บางคนกินไข่ต้มทุกเช้าเพื่อลดน้ำหนัก บางคนก็ชอบแบบไข่ต้มยางมะตูม หรือต้มไข่ออนเซ็น เป็นอาหารเร่งด่วนที่ให้คุณค่าอาหารได้อย่างดี เหมาะมากๆกับทานเป็นมื้อเช้าช่วงเวลาเร่งรีบ อย่างต้มไข่ใส่โจ๊กอิ่มอร่อยและได้ประโยชน์ ทานได้ทุกวัย สามารถทานได้วันละ 12 ฟอง แต่บางคนก็อาจทานไข่ต้มวันละ 34 ฟอง ซึ่งก็ทานได้ตามวัยและกิจกรรมที่ทำ เช่นเป็นนักกฬายกน้ำหนัก เป็นนักเพาะกาย ออกกำลังกายเพื่อเล่นกล้าม 

 

ไข่ต้มควรกินตอนไหน?

การทานไข่ต้มสามารถทานได้ทุกช่วงเวลา แต่ดีที่สุดคือควรทานไข่ต้มตอนเช้า เนื่องจากประโยชน์ของไข่ต้มคือมีโปรตีนสูงแต่ให้ไขมันอิ่มตัวต่ำ ทำให้อิ่มนาน ทำให้คุณมีความอยากอาหารมันๆทอดๆน้อยลงในช่วงระหว่างวัน ไข่มีโคลีนสูงถึง 30 % ของปริมาณร่างกายที่ต้องการ ซึ่งเป็นตัวช่วยอย่างดีในเรื่องของความจำ และไข่ยังมีลูทีน ซีแซนทีน ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงโรคสายตา-ความเสื่อมสภาพของดวงตา ดังนั้นการทานไข่ตอนเช้าก่อนไปเรียน หรือก่อนไปทำงานที่ต้องใช้ความจำ ใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยเรื่องความอยากอาหารของผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก จึงเป็นการตอบโจทย์ที่ดี 

ต้มไข่กี่นาทีจึงจะได้แบบที่ต้องการ?

การต้มไข่เหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายนักหากต้องการระดับไข่สุกให้ได้ดั่งใจ เช่น ไข่ลวกกี่นาที ไข่ออนเซ็นต้มกี่นาที ฯลฯ แต่ถ้ารู้เทคนิคก็จะเป็นเรื่องง่ายทันที เพียงแค่จับเวลาในการต้มไข่ เริ่มจากการต้มไข่ลวกใช้เวลา 2 นาที การต้มไข่ยางมะตูมใช้เวลา 4 นาที ไข่เกือบสุกใช้เวลา 6 นาที ไข่สุกนิ่มใช้เวลา 8 นาที ไข่สุกมากเต็มที่ใช้เวลา10 นาที ส่วนวิธีการต้มไข่ออนเซ็นจะต่างออกไปคือ ตั้งน้ำให้เดือดแล้วปิดไฟเตาหรือยกหม้อลงพักไว้ 1 นาที นำไข่ที่แช่เย็นลงไปในหม้อประมาณ 12 นาที แล้วตักไข่ใส่ลงในน้ำเย็นหรือน้ำที่มีน้ำแข็ง 5 นาที เพียงเท่านี้ก็จะได้ไข่ออนเซ็นแบบญี่ปุ่นที่ไม่ใช่ไข่แข็งแบบไข่ต้ม 

 

ไข่ลดไขมัน ลดน้ำหนักได้จริงไหม? 

ผลจากการวิจัยจากศูนย์ Rochester Centre of Obecity in America และมหาวิทยาลัยลุยเซียนาในสหรัฐฯ การกินไข่เป็นอาหารเช้าช่วยจำกัดปริมาณแคลอรี่ตลอดทั้งวัน ได้ประมาณ 400 กิโลแคลอรี่ การกินไข่ช่วยทำให้อิ่มนาน ไม่หิวบ่อย แต่ให้พลังงาน 85 กิโลแคลอรี่ / ฟอง ส่งผลให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพ โดยการกินไข่วันละ 2 ฟอง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ จะช่วยลดความอยากอาหาร เมื่อทานได้น้อยลงน้ำหนักก็ลดลง แต่ถ้าผู้ที่เป็นเบาหวานทานไข่วันละ 2 ฟองติดต่อกัน 12 สัปดาห์หรือว่า 3 เดือน เมื่อทำการตรวจน้ำตาลจะพบว่า ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดลดลง แต่ไขมันดี (HDL) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ไขมันเลวลดลง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดสำหรับผู้มีภาวะเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง 

 

ประโยชน์ของการกินไข่มีอะไรบ้าง?

ประโยชน์จากไข่มีมากมายดังต่อไปนี้   

  • ไข่มีโอเมก้า 3 ที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ การทานไข่จะได้รับโอเมก้า3 ช่วยในการลดไขมันและความดันโลหิต ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและอัมพาต ช่วยบำรุงสมอง ช่วยบำรุงสายตา ช่วยลดอาการอักเสบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะคนเป็นภูมิแพ้  
  • ไข่มีโปรตีนและกรดอะมิโน ไข่ 1 ฟองมีโปรตีนสูงถึง 6 กรัม ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ส่วนกรดอะมิโนช่วยให้ร่างกายสามารถนำโปรตีนมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใครได้รับบาดคุณสมบัติของไข่จะช่วยให้แผลซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น 
  • ไข่เพิ่มคอเลสเตอรอลดี (HDL) ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง และทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มากกว่าผู้ที่ไม่กินไข่ 
  • ไข่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ โรคความจำเสื่อม โรคมะเร็ง 
  • ไข่มีลูทีน ปกติในดวงตาของคนเราจะมีลูทีนที่ช่วยปกป้องเรติน่า การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาเช่นไข่จะช่วยเพิ่มลูทีนเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคจอตาเสื่อม โรคทางสายตา และภาวะตาบอด 
  • ไข่มีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก ข้อต่อ ฟัน และเล็บ ลดการอักเสบของข้อต่อกระดูก
  • ไข่แดงมีธาตุเหล็ก ประโยชน์ไข่แดงช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ลดภาวะโลหิตจาง บำรุงผิว
  • ไข่มีวิตามินเอที่ช่วยในการมองเห็น ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ และโรคผิวหนังบางชนิด ไข่มีวิตามินดี ที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมและวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายเมื่อเจ็บป่วย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง และยังช่วยบำรุงสมอง 

แต่ละวัยควรกินไข่กี่ฟอง?

ต้องยอมรับว่าไข่เป็นอาหารที่อยู่ในทุกช่วงวัยจริงๆ ตั้งแต่เด็กๆก็กินข้าวกับไข่ กินข้าวกับไข่ต้มบ้าง กินข้าวกับไข่เจียวบ้าง โดยวัยเด็กจะเริ่มตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 78 เดือน สามารถกินไข่ได้ครึ่งฟอง โดยอาจนำไข่บดกับข้าวให้กิน ส่วนเด็กที่อายุ1ขวบขึ้นไปจนถึงวัยทำงานทานไข่ได้ 12 ฟอง แต่สำหรับผู้มีสุขภาพแข็งแรงหรือออกกำลังกายก็อาจทานได้มากกว่านั้นตามกิจกรรมประจำวันแต่อย่ามากเกินไป เพราะไข่ก็มีโปรตีนอยู่แล้ว และถ้าทานร่วมกับเนื้อสัตว์อื่นร่วมอีก อาจทำให้มีปริมาณโปรตีนมากเกินกว่าที่ร่างกายกำหนด โดยโปรตีนนี้เมื่อทำการเผาผลาญจะเกิดเป็นของเสียที่เรียกว่าแอมโมเนีย และเปลี่ยนไปเป็นยูเรียก่อนที่จะถูกขับออกทางปัสสาวะโดยไต เมื่อร่างกายมีของเสียมากเกินไปก็จะทำให้ไตทำงานหนัก ส่วนผู้สูงวัยหากมีสุขภาพปกติก็สามารถทานได้วันละ1ฟองหรือแบบวันเว้นวัน 

เลือกไข่อย่างไรให้สดใหม่เหมือนเพิ่งออกจากฟาร์มไข่ไก่

การเลือกไข่ไก่ที่สดใหม่จะต้องมีหลักการเลือกซื้อไข่ไก่จาก เปลือกไข่สะอาด ไม่มีรอยปริหรือแตกร้าว มีน้ำหนัก ไม่เบาจนเกินไป เปลือกของไข่จะต้องมีสีนวลเหมือนมีแป้งบางๆติดอยู่ จับแล้วรู้สึกสากๆมือ ไข่ไก่ที่สดเมื่อนำไปส่องแสงจะโปร่งแสง และเมื่อเราหมุนไข่ ไข่แดงจะหมุนตามด้วย ไข่สดจะจมน้ำ และไข่ที่มีลักษณะกลมมนจะมีไข่แดงเยอะกว่าไข่ขาว ส่วนไข่รูปร่างเรียวจะมีไข่ขาวมากกว่าไข่แดง

เกรดไข่ไก่ต่างกันอย่างไร

เวลาที่เราไปเลือกซื้อไข่ไก่แน่นอนว่าจะต้องมีหลายขนาดให้เลือก จะมีตั้งแต่ขนาดไข่เบอร์ ไข่เบอร์ 1 ไข่เบอร์ 2 ไข่เบอร์ 3 แน่นอนว่าที่เขาขายตามขนาดแบบนี้ ไข่เบอร์ 0 จะมีขนาดใหญ่สุด และไล่ลำดับลงมา แต่ถ้าพูดเรื่องเกรดไข่ไก่จะเป็น ไข่เกรด AA ซึ่งมีได้หลายขนาดแต่จะเป็นเกรดที่ดีที่สุด มีเปลือกแข็งแรง มีไข่แดงที่กลมและเนื้อของไข่ขาวแน่น  ไข่ไก่เกรดA มีคุณภาพลดหลั่นลงมาและเป็นเกรดที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไข่ไก่เกรดB จะมีไข่แดงมากกว่าไข่ขาว แต่อาจมีรอยเปื้อนด่าง หรือตำหนิเล็กน้อย และไข่ไก่เกรดC จะมีไข่ขาวเหลวเป็นน้ำ เป็นไข่เกรดต่ำสุด ซึ่งจะมีราคาถูกสุด 

 

มีข้อไหนที่ตรงกับความสงสัยของใครกันบ้าง และได้คำตอบแล้วหรือยังเอ่ย หวังว่าบทความนี้จะได้ให้ประโยชน์เรื่องของไข่ๆให้ผู้ที่รักการทานไข่ หรือต้องการทานไข่แต่มีข้อจำกัดที่ไม่มั่นใจจะทานไข่ดีหรือไม่ จะทานเท่าไรยังไงดี ก็หวังว่าจะได้คำตอบจากบทความนี้ไม่มากก็น้อย อยากอ่านเรื่องอะไรอีกนั้นก็ลองแสดงความคิดเห็นไว้ได้นะคะ เผื่อจะได้นำไปเขียนในบทความต่อไปมาให้ได้อ่านกันอีก แล้วอย่าลืมเคล็ดดีๆในการเลือกซื้อไข่ไก่ไปซื้อไข่ในครั้งต่อไปนะคะ เพื่อจะได้ทานไข่ไก่ที่มากประโยชน์อย่างอร่อยค่ะ …… 

ถ้าเราไปเดินห้างสรรพสินค้าหลายๆแห่ง เข้าพักโรงแรมระดับ5ดาว ไปหาหมอที่โรงพยาบาล หรือเคยเข้าโรงงานอุตสาหกรรม จะเห็นว่าพื้นเงาวาว เรียบลื่น ดูสวยงาม คิดว่าหลายๆคนคงจะรู้จักชนิดพื้นแบบนั้นแล้ว แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเป็นการเคลือบพื้น “พื้นEpoxy” และ “พื้นPU

หรือบางคนก็เรียกรวบยอด pu epoxy รวมกันไปเลย แล้วพื้นอีพอกซีคืออะไร แตกต่างจากพื้นทั่วไปยังไง และดีอย่างไร นั่นสิ! สงสัยเหมือนกันใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นเรามารู้ข้อมูลพร้อมกันเลยค่ะ 

 

อีพอกซี (Epoxy) หรือ โพลีอีพอกไซด์ เป็นพลาสติกพอลิเมอร์เธอร์โมเซตติง ที่ขึ้นรูปจากปฏิกริยาจากสารสังเคราะห์ระหว่างอีพอกไซด์เรซินกับโพลีเอมีน อีพอกซี่เรซิ่นจะมีการใช้งานที่กว้างขวาง ทั้งใช้เป็นตัวประสาน ใช้เป็นวัสดุพลาสติกเสริมแรงไฟเบอร์ แต่ในที่นี้เราจะเน้นในเรื่องการนำอีพอกซี่มาใช้ในงานพื้น การเคลือบพื้นและส่วนของสถานที่ ซึ่งการเคลือบพื้นอีพอกซีจะให้พื้นดูผิวมัน ไม่มีรอยต่อ สีสวย ป้องกันเชื้อรา ป้องกันไฟฟ้าสถิตได้ดี ติดตั้งได้รวดเร็ว ทนต่อแรงกระแทก ทนต่อการขัดสีและสารเคมี แต่ไม่ทนต่อตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์ ทาเคลือบผิวคอนกรีตเพื่อความเรียบเงาสวยงาม ทำความสะอาดง่าย สามารถทาเป็นพื้นหยาบเพื่อกันลื่นได้ สามารถเคลือบได้ทั้งพื้นเรียบและพื้นขรุขระเพื่อให้ผิวดูเรียบขึ้น เหมาะกับสถานที่ต้องการความสะอาดและไร้รอยต่อ ทำความสะอาดง่าย ปราศจากฝุ่น เช่น พื้นห้างสรรพสินค้าที่เราเดินช้อปปิ้ง พื้นโรงพยาบาล พื้นห้องยา โชว์รูม คลังสินค้า ห้องเก็บวัสดุ ที่มีการเคลื่อนไหวและกระแทกตลอดเวลา 

แต่..อีพอกซี่เรซิ่นไม่เหมาะกับการใช้งานภายนอกอาคารเพราะไม่ทนต่อแสงแดด ถ้าโดนแสงUV คุณสมบัติในสารเคมีของอีพ็อกซี่จะเสื่อมเร็ว จึงเหมาะกับการใช้งานภายในเท่านั้น มีความลื่นจึงต้องระวังในการเดินบนพื้นอีพอกซีที่เปียก มีอายุการใช้งานประมาณ 8 ปี แต่สามารถซ่อมแซมได้ง่าย โดยการขูดออกและทาทับได้เลย และก่อนทาอีพอกซีควรจะวัดความชื้นของพื้นคอนกรีตก่อน เพราะถ้าพื้นคอนกรีตมีความชื้น แล้วทาทับลงไป เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งความชื้นของพื้นจะดันขึ้นมาที่อีพอกซี่จนทำให้เกิดเป็นฟิล์มและอีพอกซีหลุดลอกออกเป็นแผ่น 

 

พื้นอีพอกซี่จะมีแบบ Epoxy Coating และ แบบปูนขัดสด หรือ Floor Hardener เป็นแบบวิธีขัดสด แล้วค่อยสาดปูนที่เป็น Floor Hardener ซึ่งเป็นปูนชนิดหนึ่งแต่เพิ่มสารที่ให้ความแกร่งและทนทานเข้าไป พื้น ทำให้หน้าปูนมีความแข็ง แล้วค่อยโค้ตติ้งทับอีกชั้น เหมือนบางห้างที่ดูพื้นแล้วเป็นสีปูนแต่มีความเรียบเงา แต่ข้อเสียคือ ด้วยความที่ floor hardener มีความแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่น เมื่อเกิดรอยร้าวก็จะแตกได้ต่อเนื่องเลย ซ่อมแซมพื้นไม่ได้ หรือแม้แต่แบบลอฟท์ขัดสดก็เช่นเดียวกัน 

 

การเคลือบอีพ็อกซี่จะทำการโค้ตติ้งบนพื้นปูนหรือคอนกรีตอีกที epoxy coating จึงสามารถทำทีหลังได้ โดยจะต้องเตรียมพื้นผิวให้เรียบร้อย อีพอกซี่โค้ตติ้งมีความแข็งแรง ทนทานต่อกรดและด่าง และด้วยที่มีความยืดหยุ่นสูงทำให้สามารถปิดทับพื้นที่มีรอยแตก หรือทำปิดซ่อมพื้นได้ และยังทำให้เกิดความเงาสวย 

 

แต่เนื่องจาก Epoxy Coating เป็นสาร Bitumen (สารที่ได้จากการกลั่นปิโตเลียม) ที่มีองค์ประกอบสารตะกั่วปะปนอยู่ จึงควรตรวจสอบให้ดีสำหรับผู้ที่แพ้สารตะกั่วอย่างรุนแรง 

 

การใช้งาน epoxy โดยปกติจะมีสารมา 2 ส่วน เป็น พาร์ท A และ พาร์ท B มาผสมกันตามสัดส่วน และเมื่อผสมเข้าด้วยกันแล้วจะต้องใช้งานให้หมด เพราะที่เหลือจะแข็งจนนำไปใช้งานต่อไม่ได้ การเก็บก็ต้องแยกเก็บส่วน  A และ B แยกไว้ต่างหาก จะผสมเมื่อจะใช้งานเท่านั้น และควรให้ช่างผู้ชำนาญดำเนินการ หากจะทำเองก็อาจทำได้หากทำในส่วนบริเวณเล็กๆ 

 

ที่จริงพื้นอีพอกซี่จะมีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่จะพบโดยส่วนใหญ่ก็จะมี Epoxy Coating มักจะเห็นการทำพื้นอีพ็อกซี่ในห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม ลานจอดรถ โรงพยาบาล ใช้ตีเส้นจราจร และ Epoxy leveling ที่มักนิยมใช้ในสถานที่ต้องการความเรียบไร้รอยต่อ เช่น โชว์รูมรถยนต์ ห้องแลป พื้นโรงงาน พื้นโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ โรงแรมระดับ5ดาว รีสอร์ทหรู ฯลฯ 

 

Epoxy Coating Flooring สามารถทาพื้นปูนและพื้นคอนกรีตได้ทั้งเก่าและใหม่ มีความเงางาม สีสันสดใน ทำความสะอาดและดูแลง่าย เหมาะกับอุตสาหกรรมเบา และเลือกได้ทั้งผิวเรียบและผิวขลุขระ ใช้เคลือบหรือทาบนเบสที่มีความหนาน้อยกว่า 2 มิลลิเมตรลงมา ใช้ A+B แล้วทาได้เลย เหมือนเป็นการทาสี ส่วนใหญ่พื้นโรงงานepoxyราคาตามความหนาของพื้น ถ้าพื้นบางก็ถูกลงมาอีก ส่วน Epoxy self leveling คือ พื้นอีพอกซี่ที่มีความหนาในการใช้งานเกิน 2 มิลลิเมตรขึ้นไป เป็นสีที่ปรับผิวเรียบได้ด้วยตัวเอง เซ็ตตัวเองได้ทันทีเมื่อแห้งบนเบสที่ 2 มิลลิเมตรขึ้นไป เป็นที่นิยมนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมและอาคารบ้านเรือนอาศัย ยิ่งมีความหนาก็ยิ่งมีความแข็งแรงและราคาก็สูงตาม 

 

นอกจากนี้ยังมีชนิดพื้นโพลียูริเทนหรือพื้นPU (Polyurethane) พื้นโพลียูรีเทนคือพื้นยางสังเคราะห์ที่ใช้ทดแทนยาวธรรมชาติ เพราะพียูเป็นสารพอลิเมอร์เทอร์โมเซ็ตติ้งชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับอีพอกซี่ เป็นสารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูง ส่วนใหญ่จะมีความหนา 39 มิลลิเมตร เป็นพื้นที่เหมาะในบริเวณที่ใช้งานหนัก ด้วยลักษณะหยาบ กันลื่นได้ดี มีคุณสมบัติแตกต่างจากพื้น Epoxy คือ พื้นพียูจะมีตัวล่างเป็นตัวเบสและมีหลายเลเยอร์ พื้นพียูจะป้องกันความชื้นไหลซึมผ่านฟิล์มสีจะเหมาะกับพื้นที่ต้องทนความเย็น เคลือบผิวคอนกรีตอุตสาหกรรมที่เปียกและแห้ง ห้องแช่ ห้องเย็นติดลบ ห้องโหลดสินค้า พื้นที่ต้องใช้งานหนัก เหมาะกับโรงงานอาหาร โรงงานอุตสาหกรรม งานแช่แข็ง งานห้องเย็น ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา จึงเหมาะกับสถานที่ต้องการควบคุมฝุ่นและเชื้อโรค เช่น โรงงานอุตสาหกรรมอาหารและยา ทนต่อแรงกระแทก ทนต่อสารเคมี ทำความสะอาดง่าย ด้วยความที่พื้นpuคุณสมบัติมีความแข็งแรงมากกว่าพื้นทั่วไป พื้นpuราคาต่อตารางเมตรจึงค่อนข้างสูงกว่า 

 

แล้วพื้นพียูแตกต่างยังไงกับพื้นอีพอกซี่…พื้นพียูจะมีความทนต่อแสงยูวีได้มากกว่า จึงสามารถใช้ได้ทั้งในอาคารและนอกอาคาร พื้นผิวพียูจะไม่แข็งเท่าพื้นอีพอกซี่ จัดการความชื้นได้ดีกว่า และทนทานต่อสภาพภูมิอากาศและอุณหภูมิได้แบบสุดขั้วกว่า อย่างห้องแช่แข็งที่อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส  ลานสนามกลางแจ้ง แต่พื้นพียูจะยึดติดพื้นคอนกรีตได้ไม่ดีเท่า มีความหนาที่ค่อนข้างต่ำ และส่วนใหญ่โพลียูรีเทนจะเป็นตัวทำละลาย นั่นแสดงว่ามีค่า voc สูง  แต่ในขณะเดียวกันพื้นอีพ็อกซี่จะมีความต้านแรงอัดได้สูงกว่า  ถ้าเทียบกันในเรื่องของพื้นอุตสาหกรรม พื้นอีพอกซีจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับพื้นอุตสาหกรรมหนัก บริเวณที่มีจราจรหนาแน่นอย่างศูนย์ของธุรกิจประเภทโลจิสติกส์ คลังสินค้า แต่พื้นโพลียูรีเทนจะตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมอาหาร อาทีเช่น อุตสาหกรรมอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์นมและชีส เพราะถ้าเลือกใช้พื้นอีพอกซีที่มักจะมีกรดแลกติกอยู่ในสภาพแวดล้อมของโรงงานประเภทดังกล่าว จะถูกกัดกร่อนและมีคราบเหลือง แต่พื้นพียูจะไม่มีปัญหานี้ หรือจะเลือกเป็นการผสมผสานระหว่างทั้งสอง แต่ต้องเลือกช่างที่ชำนาญการโดยเฉพาะเป็นผู้ทำ เพราะจะผิดพลาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไม่ได้เลย หากคุณไม่อยากเสียเงินซ้ำซ้อนในการซ่อมแซมในอนาคต 

ไม่ใช่แค่เพียงพื้นห้างสรรพสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แม้แต่ลานอเนกประสงค์ หรือพื้นpuสนามกีฬาในร่ม เช่น สนามแบดมินตัน สนามบาสเก็ตบอล สนามฟุตซอลล์ ก็เริ่มหันมานิยมใช้เป็นพื้นยางสังเคราะห์PU หรือพื้นโพลียูรีเทน ซึ่งเมื่อก่อนบางสนามจะใช้เป็นพื้นไม้ แต่เพราะพื้นไม้ทำความสะอาดยาก ไม่ค่อยทนต่อแรงขีดข่วน และบางครั้งก็เกิดอุบัติเหตุเพราะพื้นลื่น แต่ในกรณีพื้นพียูจะช่วยเรื่องกันลื่นได้ ช่วยถนอมข้อเท้าและเข่า เพราะดูดซับแรงกระแทกได้ดี มีความแข็งแรงทนทาน และมีความสวยงาม ซึ่งยางสังเคราะห์นี้สามารถใช้ได้ทั้งในร่มและสนามกลางแจ้ง เพราะทนต่อแสงUV ได้ดี เป็นพื้นยางสังเคราะห์ที่มีคุณภาพ และทนทานกว่าพื้นยางสังเคราะห์ชนิดอื่นๆ พื้นยางสังเคราะห์ที่ทำจากยางมะตอยหรืออคริลิค จึงมีการเรียกใช้ช่างเปลี่ยนพื้นพียูกันกันมากขึ้น แน่นอนว่าการจะเปลี่ยนพื้นจะต้องให้ผู้ชำนาญและช่างที่เชี่ยวชาญทำ เพราะหากทำเองหรือไม่มีความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนการทำมากพอ อาจประสบปัญหาตามมาได้ เช่น ทาไม่นานก็สีหลุดร่อน หรือเคลือบพื้นอีพอกซีแล้วก็บวม ต้องมีการเรียกช่างมาแก้ไข ซึ่งอาจต้องเสียค่าซ่อมแซมมากกว่าเดิม 

 

สำหรับบางคนที่อาจชอบลักษณะและคุณสมบัติของพื้นอีพ็อกซี่และพื้นพียู อยากทำพื้นที่บ้านบ้าง ถ้าที่เคยเห็นก็จะมีการทำพื้นอีพ็อกซีหรือพื้นพียูในเชิงพาณิชย์เป็นส่วนใหญ่ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านเกม ร้านคอมพิวเตอร์ ร้านเสริมสวยหรูๆ สำนักงาน ออฟฟิศ ในส่วนราชการบางพื้นที่ และภาคเอกชนหลายแห่ง รวมไปถึงการทำพื้นโรงจอดรถที่บ้าน หรือนำไปใช้ในระบบกันซึม ใช้เพื่ออุดรอยรั่ว-พื้นกันซึมในห้องน้ำ ระบป้องกันการรั่วซึม ระบบกันซึมดาดฟ้า บริเวณในบ้าน หลังคา ชั้นใต้ดินของอาคาร บ้านเรือน โรงงาน โดยทาป้องกันไว้เผื่อรั่วซึมในอนาคต หรือทำกันซึมเพื่อซ่อมแซมปรับปรุง กันซึมมีแบบทา (coating) และแบบเป่าไฟ (membrane) โดยกันซึมแบบทาหรือโค้ดติ้งจะเป็นน้ำยาผสมอะคริลิค มีแบบทนรังสี uv ที่เหมาะกับการทาภายนอกอาคาร หลังคา ผนังด้านนอก และแบบไม่ทนรังสี uv เหมาะกับการทาภายในอาคาร หรือบริเวณที่มีฉาบปิด เช่น ห้องน้ำ แท็งค์น้ำ บ่อเก็บน้ำใต้ดิน สระว่ายน้ำ เป็นต้น 

 

แต่ในกรณีสนใจทำเป็นพื้นบ้านหรือต้องการสอบถามรายละเอียด ไม่ว่าจะราคาทำพื้นepoxyต่อตารางเมตรเท่าไร ข้อมูลเกี่ยวกับการทำพื้นยางสังเคราะห์โพลียูรีเทนราคาประหยัด ราคาอีพ็อกซี่ ทำพื้นpu ทำพื้นepoxy ก็สามารถติดต่อบริษัทรับทำพื้นอีพ็อกซี่ ซึ่งนอกจากรับทำพื้นepoxy  พื้นอีพ็อกซี่ราคามิตรภาพแล้ว ยังรับบริการทาสีอาคาร บริการงานตีเส้นจราจร รับติดตั้งงานระบบกันซึม รับทากันซึมดาดฟ้า ฝ้าเมทัลชีท รับติดตั้งหลังคาเมทัลชีท และหลังคาpolycarbonateราคาถูก เป็นบริษัทที่ได้มาตรฐานสูง  และมีการันตีรองรับ SGS มีทั้ง GMP ,  ISO และ HACCP  ซึ่งเขารับประกันงาน  มีบริการทั้งก่อนและหลังการขาย ดำเนินงานโดยทีมงานมืออาชีพทุกฝ่าย ที่มีประสบการณ์มายาวนาน และบริการมาแล้วทั่วประเทศ 

3d rendering empty room with white wall and floor

เมื่อพูดถึงหลังคาและแผ่นโพลีคาร์บอเนต บางสถานที่ก็นิยมนำไปใช้เป็นแผ่นโพลีคาร์บอเนตกั้นห้อง หรือใช้ในการทำโรงเรือนเพาะต้นไม้ ยิ่งช่วงโควิดระบาด เกิดกระแสการเพาะต้นไม้ขาย สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำให้กับผู้เพาะต้นไม้ จนต้องสร้างโรงเรือนต้นไม้ โดยการขึ้นโครงเสาง่ายๆและใช้หลังคาโปร่งแสงโพลีคาร์บอเนตหรือแผ่นโพลีคาร์บอเนตใสราคาที่ไม่แพงเพื่อทำแบบโรงเรือนเปิด ทำให้มีแสงแดดเข้าสู่ภายในเรือนแต่ไม่แรงจนเกินไป พอเหมาะต่อการเจริญเติบโตของกล้าไม้ได้ดี  

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นระบบโรงงาน สำนักงาน ครัวเรือน ที่สนใจในเรื่องปรับปรุงซ่อมแซมหรือเปลี่ยนพื้น หรือมีรอยรั่วรอยซึมในตัวอาคาร ต้องการทำระบบกันซึม การจะทำเองไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าเป็นบริเวณที่มีเนื้อที่กว้างยิ่งควรใช้บริการบริษัทหรือช่างที่มีประสบการณ์ตรง แต่การจะต้องเลือกบริษัทที่ดูน่าเชื่อถือ จะต้องมีการรองรับมาตรฐานโรงงานอย่าง ISO มีผลงานการันตี อย่าเลือกเพียงเพราะราคาถูก หรือเรียกใช้บริการช่างที่ไม่สามารถตรวจสอบระบบได้ เพราะอาจเสี่ยงในการทิ้งงาน งานไม่มีคุณภาพ หลอกคิดค่าบริการสูงแต่ใช้เกรดวัสดุต่ำ เชื่อว่าไม่มีใครอยากสูญเงินเปล่า หรือเสียเงินซ้ำซ้อนเพราะการซ่อมงานทีหลัง และมานั่งเจ็บใจเข้าทำนองที่ว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย 

 

เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะต้องเคยเจอหรืออาจกำลังเจอคนที่ชอบเอาชนะ ชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ อวดฉลาดและชอบข่มคนอื่น ซึ่งอาจเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก หรือเป็นคนที่ทำงาน และแม้แต่คนในครอบครัว ที่อาจต้องเจอกันทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

 

คนที่ชอบเอาชนะ ที่ชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ชอบคิดว่าตัวเองเก่งและเหนือกว่าคนอื่น ก็มักจะทำให้เรารู้สึกรำคาญหรืออารมณ์เสียบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ได้แต่ส่ายหน้าและปล่อยๆไปถือว่ากำลังบำเพ็ญตบะ ประมาณ มารไม่มีบารมีไม่เกิด อะไรประมาณนั้น เพราะคนประเภทนี้ชอบแข่งขัน พยายามเสนอตัว อวดอ้างสรรพคุณความเก่งความฉลาดของตัวเอง เพื่อข่มคนอื่นให้รู้สึกเหนือกว่า เพราะต้องการการยอมรับจากคนที่เขากำลังข่มและจากคนทั่วไป เพื่อให้ตัวเองรู้สึกชนะ ตัวเองเก่งและถูกต้องกว่าใครๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นไม่ได้ต้องการจะแข่งขันตั้งแต่แรก แต่ต้องทำเฉยปล่อยให้เขารู้สึกเหนือกว่าเพื่อตัดความรำคาญ 

 

แน่นอนว่าแต่ละคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป แต่คนประเภทนี้จะไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่ต่างจากคนอื่น เพราะเชื่อมั่นว่าความคิดของตัวเองถูกต้องและดีที่สุด เมื่อมีใครไม่เห็นด้วยหรือแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับตน ก็จะพยายามโต้แย้งด้วยสารพัดเหตุผลที่อ้างไปเรื่อย หรือไม่ก็พยายามคาดคั้นจนอีกฝ่ายรำคาญและตัดปัญหาด้วยการยอมๆไปเสีย เรื่องจะได้จบๆ แต่ถ้าเราตอบโต้ไปตรงๆ อาจทำให้เกิดปัญหาบานปลายจนถึงขั้นทะเลาะวิวาทได้ แต่ถ้าอยู่เฉยๆก็รบกวนชีวิตประจำวันหรือประสิทธิภาพในการทำงาน และการที่ต้องใช้ความอดทนบ่อยๆก็อาจเสียสุขภาพจิตได้เช่นกัน แต่เมื่อหลีกหนีคนประเภทได้ยากเพราะอาจพักที่เดียวกัน ทำงานที่เดียวกัน ก็จำเป็นต้องรู้วิธีการรับมือกันสักหน่อย 

1. มองโลกในแง่ดี เขาอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนประเภทนั้น ซึ่งอาจเป็นการทำแบบไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้ของตนทำให้คนรอบข้างอึดอัด เพราะเขาคิดว่าเขาเก่งและเขาทำถูกต้องแล้วทุกอย่าง ในขณะที่คนอื่นไม่ได้คิดแบบนั้น แค่ปล่อยผ่านด้วยความรำคาญ อืมม.. ข้อนี้จะทำให้เราวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์กันไป ซึ่งก็ดีนะ คิดแง่บวกก็ดีกว่าคิดแง่ลบ 

2. ทำความรู้จักตัวตนเขาให้มากกว่านี้ก่อน อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับบางคนที่ต้องทำความรู้จักคนประเภทนี้ให้มากขึ้น เพราะความอึดอัดที่เขาสร้างมันไม่น่าเข้าใกล้จนอยากรู้จักมากไปกว่านี้ แต่ถ้าพยายามมองว่าบางทีเขาอาจจะเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง ที่อาจมีปมด้อยอะไรอยู่จึงพยายามสร้างตัวตนให้เด่นให้เหนือกว่าคนอื่น เพื่อลบปมด้อยนั้นและทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่ก็ใช่แหล่ะนะว่าจริงๆเขาควรลบปมด้อยด้วยวิธีอื่นดีกว่า ต้องเป็นคนมีเมตตาสูงนะถึงจะทำข้อนี้ได้ แต่ก็ถือซะว่ากำลังฝึกตนให้เป็นคนมีเมตตาจิต

3. อย่ารีบคัดค้านสิ่งที่เขาพูดหรือการกระทำของเขา เพราะคนประเภทนี้คิดอยู่เสมอว่าตนเองถูกต้องที่สุด เมื่อมีคนทักท้วง ตั้งข้อสงสัย หรือคัดค้าน เขาจะเกิดความรูสึกไม่พอใจทันที เพราะเขาจะคิดว่านั่นคือการแสดงออกว่าเขาผิด เขาก็จะพยายามตอบโต้ด้วยความอยากชนะที่รุนแรงกว่าเดิมทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะคำพูดที่ขัดแย้ง คำถามย้อนกลับ และตามด้วยความคิดความรู้ของตนที่อาจถูกหรือไม่ถูกก็ตาม และต่อให้เขาไม่แน่ใจว่าความรู้ของตนถูก100% หรือไม่ แต่เขาก็จะทำย้อนและแย้งจนอีกฝ่ายรำคาญและยอมจำนนไปเอง นอกเสียจากว่าจะเจอคนที่ชอบเอาชนะเหมือนกัน ถึงจะเป็นมวยถูกคู่ แต่แน่นอนว่าปัญหาก็คงไม่จบง่ายๆเช่นกัน จนกว่าทุกฝ่ายจะยอมเขานั่นเอง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายและลุกลามใหญ่โต(เพราะคนประเภทนี้ไม่ยอมลงง่ายๆ) เราจึงต้องวางเฉย คิดเสียว่าเหมือนกำลังคุยกับเด็กเล็กในร่างผู้ใหญ่ไปล่ะกัน และให้เด็กชนะเหมือนที่เรามักทำกับเด็กๆนั่นเอง 

4. ทำเป็นเห็นด้วยกับเขา เพื่อหลีกหนีการปะทะ การที่คนประเภทพยายามเสนอตัวทำโน่นทำนี่ และชอบข่มคนอื่นเสมอนั้น เพราะอยากเป็นที่ยอมรับในสังคม จึงพยายามทำให้เหมือนตนนั้นเก่งกว่าใครๆ จนฝังความเชื่อไปแล้วว่าสิ่งที่ตนคิดตนทำนั้นถูกต้องที่สุด ดังนั้นการที่จะไปคัดค้านหรือแย้งในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้องกับคนประเภทนี้จึงเป็นสิ่งที่เหนื่อยเปล่า จึงทำเป็นว่าเห็นด้วยและจบเรื่องไป เพื่อให้เขารู้สึกว่าเขาชนะแล้ว แม้ว่าเราจะอึดอัดแต่ก็ดีกว่าต้องทะเลาะกับคนประเภทนี้ เชื่อเถอะ! ไม่คุ้ม!!

 

5. เมื่อต้องคุยงานควรทำเป็นกลุ่มดีกว่า เพราะคนประเภทนี้จะมีนิสัยชอบเอาหน้าเข้าตัวอยู่แล้ว และไม่ว่าเราเสนออะไรไป เขาก็จะมีสิ่งที่ตัดสินใจไว้อยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็จะหาทางจบที่ความคิดและไอเดียตัวเองอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือใครก็ตาม ทางที่ดีเมื่อต้องการจะเสนอไอเดียของตัวเอง พยายามเสนอในกลุ่มหรือในที่ประชุมจะดีกว่า การเสนอไอดีแบบตัวต่อตัว เพื่อให้คนอื่นได้รู้ถึงไอเดียและผลความคิดของเรา และยังช่วยป้องกันไม่ให้เขาแอบอ้างเอาความคิดไอเดียของเราไปเป็นผลงานของเขา หรือโยนความผิดให้เราหากไอเดียเขาไม่เป็นที่ยอมรับ 

 

6. เข้าร่วมสนทนาเฉพาะที่จำเป็น เพราะการเลี่ยงเข้าร่วมวงสนทนาที่ไม่จำเป็น จะเป็นการตัดปัญหาตั้งแต่แรก และช่วยลดทอนจำนวนที่ต้องจำใจไปกับความคิดเห็นของพวกเขา เรียกได้ว่าเกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นจะดีกว่า 

 

7. เตือนตัวเองเสมอว่า เหตุผลไม่สามารถใช้กับคนประเภทนี้ได้ แล้วรีบจบการสนทนาให้เร็วที่สุด เพราะอย่างที่รู้และพูดกันมาหลายข้อแล้วว่า คนประเภทนี้คิดแต่ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้สิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องที่สุด ต่อให้เรามีความรู้ความชำนาญที่แท้จริง หรือมีข้อมูลที่ศึกษามาแล้วก็ตาม แต่จะให้หาเหตุผลมาคุยด้วยก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น เขาจะไม่ยอมรับ และจะยิ่งทำทุกทางเพื่อเอาชนะ หรือจนกว่าอีกฝ่ายจะยอม เรื่องทุกอย่างถึงจะจบ ทางที่ดีเราจึงควรรีบจบการสนทนานั้นเลยดีกว่า จะไม่ได้ไม่ต้องเสียเวลาและสิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ให้กับคนประเภทนี้ ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจว่าข้อมูลเราถูกต้อง แต่สู้ไปคุยกับคนที่มีเหตุผลและยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่นแบบคนโตๆกันแล้วดีกว่า สบายใจและมีอรรถรสกว่าเยอะเลย 

 

8. ให้มองว่าจริงๆเขาเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะคนประเภทนี้อาจต้องการความช่วยเหลือ อยากเป็นที่ยอมรับ อยากเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด อยากเป็นที่สนใจ แต่อาจแสดงออกไม่เป็น ซึ่งจริงๆแล้วเขาอาจอยากทำตัวให้ดีกว่านี้ แต่อาจทำไม่ได้เพราะเขาไม่เคยทำนั่นเอง เราพบเจอคนแบบนี้ในสังคมได้ทุกที่ เพราะบางคนอาจเกิดและเติบโตมาท่างกลางครอบครัวที่ไม่ให้ความสำคัญ หรือมักถูกเปรียบเทียบ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมที่บีบบังคับให้เขารู้สึกมีปมด้อย จนต้องการเป็นที่ยอมรับและแสดงออกมาในรูปแบบของพวกเขา โดยที่เข้าใจว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง 

 

9. สู้ด้วยพลังงานบวก ไม่ใช่พร้อมบวกที่เป็นการพร้อมต่อสู้ต่อกร แต่เป็นพลังงานด้านบวกหรือที่เราพูดสั้นๆว่า คิดบวก  เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่กำลังถูกคนประเภทนี้ข่ม หรือต้องการเอาชนะจากพวกเขา การที่เราโต้ตอบกลับด้วยวิธีเดียวกัน ก็ยิ่งทำให้ปัญหามันบานปลาย และไม่มีทางจบลงได้ง่าย จนลุกลามไปถึงบุคลอื่น กระทบต่องาน หรือสถานที่ แค่ฟังก็รู้สึกถึงพลังงานด้านลบเต็มๆ จะดีกว่าถ้าเราพยายามตั้งสติ มีสติให้มากที่สุด โดยไม่ไปตอบโต้ ไม่ต้องไปใส่ใจ ใช้พลังงานด้านบวกให้ตัวเองเยอะๆ เพราะชีวิตเรามีอะไรมากกว่าแค่ตรงจุดนี้ และมีใครอีกหลายคนที่เราควรให้ค่าให้ความสำคัญ 

 

10. อย่าไปให้ค่าและแพ้อย่างฉลาด ในบางครั้งเราก็ต้องยอมแพ้เพื่อรักษามิตรภาพ แต่บางครั้งเราก็ยอมแพ้เพื่อตัดปัญหา และบางครั้งเราก็ยอมแพ้เพื่อตัดความรำคาญแก่คนหมู่มาก เพราะการชนะไม่ได้สำคัญไปกว่าความสัมพันธ์ที่ดีๆ และการชนะกับบางคนอย่าไปคาดหวัง เพราะนอกจากจะไม่มีทางได้ชนะง่ายๆแล้ว ระหว่างนั้นจะมีแต่การสร้างความรำคาญให้คนรอบข้าง แล้วจะดีตรงไหนหากจะสร้างพลังงานด้านลบให้กระทบกับคนรอบข้าง สำหรับคนที่มีสติและคิดได้ จะเลือกที่จะเป็นฝ่ายแพ้ แต่เป็นการแพ้ที่ฉลาด เพราะการแพ้ก็ไม่ได้ทำให้เราเจ็บป่วย หรือเสียหายอะไรมากมาย แถมยังช่วยรักษาความสงบให้กับตัวเองและผู้คนรอบข้างอีกด้วย ปล่อยให้คนประเภทนี้ชนะไปเถอะ ถ้าทำใจให้เขาชนะไม่ได้ ก็คิดเสียว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” ดีเสียอีก ไม่ต้องบวชก็เป็นพระได้ … 

 

11. พูดเท่าที่จำเป็น เมื่อคนประเภทนี้พยายามมาสร้างกฏเกณฑ์ หรือบอกให้เราทำแบบนั้นแบบนี้ดีกว่า เราก็แค่กล่าวขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่..ไม่จำเป็นต้องทำตามถ้ามันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับชีวิตเราจริงๆ ทำเฉยๆลืมๆไปเสีย แต่ถ้าเป็นคำแนะนำที่ตนคิดจะทำอยู่แล้วก็แค่ขอบคุณเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียวกับเขาคือการอวดฉลาดบอกให้เขารู้ว่าตนรู้อยู่แล้ว การขอบคุณเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติคน แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจ แต่การให้เกียรติคนก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรพึงมี 

คนที่มีนิสัยชอบเอาชนะ อวดฉลาด และชอบข่มคนอื่นอยู่เสมอ จะชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมีความหลงตัวเองอยู่เป็นทุนมหาศาล ไม่ยอมที่จะเสียหน้า หรือต่อให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายคัดค้านความรู้ความคิดของตน ก็จะต้องหาคำ หาข้ออ้างอิงต่างๆนาๆเพื่อยกมาประกอบให้ตนเหนือกว่าเสมอ หากใครที่ต้องเจอคนประเภทนี้อยู่หากทำได้ตาม 11 ข้อที่กล่าวมาอย่างสม่ำเสมอ ยินดีด้วย คุณคือคนที่มีความเมตตาและความอดทนสูงมากคนหนึ่ง แต่ก็นั่นล่ะทุกคนมักจะมีข้อจำกัด หากมีความพยายามสูงแต่มันสวนทางกับการที่ต้องเสียสุขภาพจิต ก็คิดเสียว่าไม่ใช่ที่ของเรา แต่นั่นก็ต้องหลังจากที่คุณลองพยายามดูก่อนนะ เพื่อที่เมื่อเวลาคุณเดินออกไป คุณจะได้ไม่ต้องเสียดาย เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ถ้าเป็นกรณีคนในครอบครัวที่หลีกหนีไปไหนไม่ได้ ต้องหาโอกาสพูดคุยด้วยคำพูดดีๆ ด้วยเหตุผลและความเข้าใจ สถานการณ์ก็อาจจะดีขึ้น และลองสังเกตดูว่าเขามีอาการที่คล้ายกับการเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ เพราะการชอบเอาชนะ การชอบข่มคนอื่น การอยากเหนือกว่าคนอื่น การอยากเป็นที่ยอมรับ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุของอาการโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน แต่..บางคนก็แค่ชอบความรู้สึกที่ได้เป็นคนชนะและเหนือกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง 

สาวๆคนไหนที่มีลิปสีเดียวแท่งเดียวบ้างคะ? …. คิดว่าคงไม่มี หรือถ้ามีก็คงน้อยมาก อย่างน้อยก็ต้องมีสีที่ใช้ประจำและลิปมันหรือลิปบาล์มไว้กันปากแห้งหรือทารองพื้นก่อนลงสีโปรด เพราะฉะนั้นในกระเป๋าสาวๆส่วนใหญ่ก็มักจะมีลิปมากกว่า 1 ใช่ไหมคะ 

 

เพราะลิปสติกนอกจากจะเป็นไอเท็มที่เสริมแต่งความงามสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้แล้ว สีลิปสติกยังช่วยปลุกพลังหรือเป็นตัวแทนแห่งอารมณ์ในช่วงต่างๆได้อีกด้วย อย่างถ้าวันไหนที่รู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ การทาลิปสีแดง ไม่ว่าจะเป็นลิปสีแดงสด ลิปสีแดงไวน์ หรือแดงเฉดไหนก็ตาม เหมือนมีมนต์ขลังที่จะช่วยปลุกพลังให้ฮึกเหิมและพร้อมจะลุยต่อได้ แถมยังให้ลุคที่เซ็กซี่และเข้มแข็งในขณะเดียวกัน ไม่เชื่อคุณก็ลองสังเกต working woman แถวหน้า ส่วนใหญ่พวกเธอเหล่านั้นจะเฉิดฉายด้วยลิปสติกสีแดง!

ถ้าคุณต้องการให้ความรู้สึกลุคคุณหนูแต่เรียบหรูดูแพง สีลิปสติกก็ช่วยเปลี่ยนลุคให้คุณได้ดั่งใจ โดยส่วนใหญ่สีที่ครองใจสาวๆเมื่อยามต้องการลุคแบบนี้จะเป็นสีลิปโทนส้ม ไม่ว่าจะเป็นลิปสีส้มนู้ด ลิปสีส้มอิฐ ลิปสีพีช และสีลิปโทนชมพู ลิปสีชมพูทุกเฉด ไม่ว่าจะเป็น ลิปชมพูตุ่น ลิปสีชมพูกุหลาบ ลิปสีชมพูกะปิ หรือแม้แต่ลิปสีน้ำตาลตุ่นๆที่ให้ลุคผู้หญิงอบอุ่นได้แม้ไม่ต้องอยู่ใกล้ 

 

ถ้าพูดถึงในด้านเศรษฐกิจแล้วธุรกิจเครื่องสำอางแทบทุกประเภทมีผลปันกำไรที่สูงและยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องซึ่งสวนกระแสกับบางธุรกิจ เพราะเครื่องสำอางสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงและเป็นวัฒนธรรมที่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะเข้าใจว่า “ผู้หญิงอย่าหยุดสวย” ทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ต่างๆมีการพัฒนาสูตรอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภค ลิปสติกเองก็มีการพัฒนาสูตรและรูปแบบหลากหลาย จนเป็นลิปสติกนวัตกรรมใหม่ เช่น ลิป3D ลิปกันน้ำ ลิปจูบไม่หลุด ลิปปากฉ่ำ ลิปลอก ลิปขยี้เปลี่ยนสี ลิปสติกแก้ปากดำ และอีกสารพัดรูปแบบที่แต่ละแบรนด์มีการคิดค้นและผลิตออกมาจำหน่ายเพื่อเรียกยอดซื้อจากผู้บริโภค

 

ถ้าเป็นหลายปีก่อนส่วนใหญ่เราจะเห็นลิปสติกแบรนด์เคาน์เตอร์ต่างๆ และกว่าจะซื้อได้สักแท่งต้องไปที่เคาน์เตอร์หรือในห้างสรรพสินค้าและจะมีพนักงานคอยแนะนำรายละเอียดผลิตภัณฑ์ แบรนด์เคาน์เตอร์ยี่ห้อลิปที่มีมานานและรู้จักมักคุ้นหูกันอย่าง ลิปrevlon ลิปmaybelline ลิปสติกchanel  ลิปสติก dior ลิปสติกmac ลิปลอรีอัล ซึ่งทุกคนที่เคยได้ซื้อย่อมรู้เรทราคา ถึงแม้ว่าราคาจะเป็นตัวปัจจัยที่ทำให้คุณไม่สามารถซื้อลิปได้บ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่ซื้อลิปสติกแท่งใหม่หรือสีใหม่ ลิปแท่งเดิมก็ใช่ว่าจะหมดแล้วเสียเมื่อไหร่  

ปัจจุบันมีลิปสติกแบรนด์น้องใหม่จากนักธุรกิจหน้าใหม่มากมาย เพราะใครก็สามารถที่จะเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางได้ไม่ยากแล้วตอนนี้ โดยไม่จำเป็นต้องมีโรงงานเป็นของตนเอง แค่เพียงมีทุนจำนวนหนึ่ง ก็สามารถจ้างโรงงานรับผลิตแบรนด์เครื่องสำอาง โรงงานผลิตลิปสติกสร้างแบรนด์ แต่ต้องหาโรงงานที่มีมาตรฐานการผลิตรองรับไม่ว่าจะเป็น ISO / GMP / HALAL หรือ อย. เพราะถ้าจ้างโรงงานที่ไม่มีมาตรฐาน แม้ว่าค่าจ้างผลิตลิปสติกราคาถูก แต่สินค้าไร้คุณภาพก็ทำให้แบรนด์คุณไปไม่ถึงฝั่ง 

 

เดี๋ยวนี้มีโรงงานรับจ้างผลิตลิปสติกโดยบริการคิดสูตรใหม่ๆให้กับลูกค้าแบบ 1 สูตร / 1 แบรนด์ ทำให้เป็นสูตรเฉพาะที่ไม่ซ้ำใคร โรงงานหลายแห่งในประเทศไทยที่จะช่วยให้คุณได้เป็นเจ้าของแบรนด์สมปรารถนา ไม่ว่าคุณจะต้องการสร้างแบรนด์ลิปสติกเกาหลี ลิปสติกออแกนิก ลิปสติกพาเลท ลิปสติกแบบซอง ลิปสติกจิ๋ว ลิปสีนู้ดผิวแทนแบบสายฝอ  ฯลฯ โรงงานผลิตลิปที่มีคุณภาพก็สามารถสร้างแบรนด์ลิปสติกได้ทุกประเภท เพียงแค่แจ้งรายละเอียดที่ต้องการ แต่นั่นก็ต้องหลังจากที่คุณมั่นใจจะทำแบรนด์ลิปและมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของลิปสติกอยู่แล้ว 

แน่นอนสำหรับสาวๆ ลิปสติกเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย แหม..ก็ทากันอยู่ทุกวัน อย่างน้อยก็ลิปมันทาตอนปากแห้งล่ะเนอะ แต่รู้ไหมว่าจริงๆแล้วมีลิปสติกประเภทอะไรบ้าง ยิ่งถ้าใครที่คิดอยากจะทำแบรนด์ลิปขายก็ต้องรู้เรื่องนี้กันสักนิดก่อน เพื่อที่จะได้จับตัวใดตัวหนึ่งเป็นเมนโปรดักส์ และเป็นความรู้เผื่อได้อธิบายกับลูกค้าตอนทำการขาย  

 

โดยส่วนใหญ่เนื้อลิปสติกทั่วไปจะมีหลายแบบแต่สามารถจัดเข้าประเภทแบบง่ายๆได้ดังนี้ 

 

  • ลิปแมตต์ (Matte Lipstick) หรือลิปแมทคือลิปสติกที่ครองใจสาวๆอันดับต้นๆ เพราะให้สีแน่น เป็นลิปที่ติดทน เม็ดสีชัด ทาได้เต็มฝีปาก และลิปแมตต์สีสดยังช่วยให้เรียวปากดูเล็ก มีหลากเฉดสีให้เลือก ลิปสีนู้ดจะได้รับความนิยมมาก มักถูกเรียกว่าเป็นลิปสติกสายฝ. เนื้อแมตต์แห้งด้าน ไร้ความแวววาว ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแป้งมากกว่าน้ำมันทำให้ปากแห้งได้ง่าย จึงไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากแห้ง เพราะจะทำให้เห็นร่องริมฝีปากชัด ต้องรองพื้นด้วยลิปบาล์มก่อนลงลิปแมตต์ หรือเลือกใช้ลิปแมตต์ที่มีส่วนผสมของอโลเวราและวิตามินอี เพื่อให้ทาลิปติดทนได้สวยเรียบเนียน

 

  • ลิปลิควิดหรือลิปจิ้มจุ่ม (Liquid Lipstick) เป็นเทรนด์มาแรงมากหลายปีที่ผ่านมาและยังคงไม่แผ่วความแรงลงเลย ด้วยที่เนื้อนุ่ม เกลี่ยง่าย ทาสะดวกด้วยแปรงที่มีมาพร้อมในแท่ง ซึ่งลิปลิควิดนี้มีทั้งเนื้อแมตต์ที่เป็นลิปสติกที่ติดทนนาน แต่ไม่แห้งจนตกร่องปากแบบเนื้อแมตต์ดั้งเดิม และลิปลิควิดเนื้อครีมที่เนื้อนุ่มละมุนเบาบางปาก แต่เม็ดสีแน่นไม่แพ้ลิป bullet และลิปลิควิดแบบนี้สามารถทาได้ทั้งแบบเต็มและแบบ ombre ที่ไล่เฉดสีละมุนสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการสีจัดเต็ม ซึ่งก็มีเฉดสีให้เลือกเยอะมากจนอาจแยกสีไม่ออกเมื่ออยู่ในแพกเกจ แต่เมื่อสวอชสีลิป จะเห็นได้เลยว่าโทนสีเดียวกันแต่สีต่างกัน ยิ่งเป็นลิปสีนู้ดก็ยิ่งทาสวย  ทำให้ลิควิดลิปเป็นที่นิยมและครองใจสาวๆทุกวัย 

  • ลิปสติกเนื้อครีม (Cream Lipstick) ด้วยเนื้อที่เป็นครีมจึงให้ความรู้สึกเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นปาก มีความเงาวาว เม็ดสีชัด เป็นชนิดลิปที่มีมานานตั้งแต่ยุคแรกๆ และก็ยังได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นลิปสติกตัวหลักๆเลยก็ได้ แต่ด้วยความเงาวาว และช่วยเพิ่มมิติริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม จึงอาจไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากอวบอิ่มมากเกินไป 

 

  • ลิปกลอสและลิปทินท์ (Gloss & Tint Lipstick)ส่วนใหญ่สาวๆจะใช้ 2 ชนิดนี้ด้วยกัน โดยทาทินท์ไว้ด้านในริมฝีปากแล้วทับด้วยกลอสอีกที เนื่องจากลิปกลอสให้ความมันวาว เนื้อสีบางๆ ในขณะที่เนื้อทินท์สีชัดกว่า แต่จะไม่มันวาวเท่าลิปกลอส เมื่อใช้ด้วยกันทำให้ลิปสีสวย ให้ลุคที่ดูสวยใสธรรมชาติ ดูเป็นสาวสายเกามากๆ โดยลิปกลอสที่ดีจะต้องให้ความชุ่มชื่น บำรุงและฟื้นฟูริมฝีปากให้นุ่ม น่าสัมผัส ในขณะที่ลิปทินท์ควรมีคุณสมบัติที่บางเบาสบายปากแต่ให้เม็ดสีแน่น

 

  • ลิปเนื้อเชียร์และซาติน (Sheer and Satin Lipstick) เป็นเนื้อลิปที่อยู่ระหว่างเนื้อครีมกับเนื้อลิปมัน ให้ความมันวาว แต่สีจะไม่จัดจ้าน เม็ดสีจะไม่ค่อยแน่นเท่าลิปแมตต์ อาจใช้แทนลิปบาล์ม เพื่อให้ความชุ่มชื้นพร้อมกับสีสันเป็นธรรมชาติ และสามารถทาทับได้ตลอดวันโดยไม่เป็นคราบ 

 

  • ลิปมันและลิปบาล์ม (Balm Lipstick) เป็นลิปที่ไว้ทาเพื่อให้ความชุ่มชื้น บำรุงแก่ริมฝีปาก ไร้สี เป็นลิปสีธรรมชาติ มีทั้งลิปสติกผู้ชายและผู้หญิง แต่บางยี่ห้ออาจมีสีอ่อนๆ ทาแล้วมีสีระเรื่อริมฝีปากอวบอิ่ม ดูสุขภาพดี 

 

  • ลิปฟรอสตี้ (Frosty Lipstick) เป็นลิปที่ผสมกลิสเตอร์ ทำให้ทาแล้วมีความเป็นประกายมุก เป็นลุคสาว80’s แต่ก็ไม่มันวาวจนเกินไป เหมาะกับสาวๆที่ต้องการความชุ่มชื้น แต่ลิปแบบนี้จะต้องเลือกใช้ให้เข้ากับสีผิวไม่อย่างนั้นอาจจะดูป่วยได้ 

 

  • ลิปที่ให้ความแวววาว (Shine Lipstick) เป็นลิปสติกที่มีกลิสเตอร์ ให้ความเป็นประกาย และมีความมันวาวเหมือนฟรอสตี้ ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม แต่ลิปแบบนี้ไม่เหมาะกับริมฝีปากที่แห้งลอก เพราะจะเน้นให้เห็นข้อบกพร่องของริมฝีปากชัดเจน 

 

  • ลิปไลเนอร์ (Liner Lipstick) ลิปไลเนอร์หรือดินสอเขียนขอบปาก เป็นตัวช่วยอย่างดีสำหรับสาวๆที่จะทำให้การแต่งแต้มริมฝีปากเป็นมืออาชีพเข้าไปอีก โดยลิปตัวนี้จะมาในรูปแบบดินสอหรือแบบแท่งหมุน เพื่อใช้เขียนขอบปากให้ริมฝีปากมีความคมชัด ดูมีมิติมากกว่าเพียงทาแค่ลิปสติกอย่างเดียว แต่ควรจะเลือกใช้สีเดียวกันหรือใกล้เคียงกับสีลิปสติกหลัก เพื่อให้ดูสวยเนียนกลมกลืน 

ข้อสำคัญก่อนทำการสร้างแบรนด์ 

 

  1. การวางแผน เพราะการทำธุรกิจทุกชนิดต้องมีการวางแผนก่อนดำเนินการ ธุรกิจแบรนด์ลิปสติกหรือแบรนด์เครื่องสำอางก็เช่นกันที่ต้องมีการวางแผนภาพรวมในธุรกิจ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญข้อแรกๆ เพราะหลักการวางแผนมีความจำเป็นต่อทุกธุรกิจ เพื่อให้เห็นภึงภาพรวมและองค์ประกอบได้ชัดเจน โดยเริ่มจากการหาไอเดีย หาประเภทสินค้าที่สนใจ ลิปสติกหรือประเภทเครื่องสำอาง จากความชอบส่วนตัวหรือคุณอาจรู้จักเป็นอย่างดี เพราะคุณจะเข้าใจในตัวสินค้า มีประสบการณ์ตรง มั่นใจในการนำเสนอขาย และกลุ่มลูกค้าที่จะขายเป็นใคร เพศและวัยลูกค้า
  2. เงินทุน ทำบัญชีว่ามีงบในการลงทุนเท่าไร เพื่อที่จะกำหนดค่าใช้จ่ายในการจ้างผลิตครีม ค่าทำการตลาด ค่าจดทะเบียนสินค้าและอื่นๆ เพราะการสร้างแบรนด์ต้องลงทุนจึงต้องควบคุมทุกขั้นตอนให้อยู่ภายใต้งบประมาณที่มี เพื่อไม่ให้ทุนหายกำไรหดนั่นเอง
  3. หาโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางสร้างแบรนด์ แบบ One Stop Service เพราะเป็นโรงงานแบบครบวงจร รับผลิตลิปสติกและเครื่องสำอางในโรงงานเดียวกัน และหากต้องการเพิ่มผลิตสินค้าตัวอื่นเพื่อต่อยอดธุรกิจ อย่างเช่นต้องการทำแบรนด์ลิปแมทแต่ก็ต้องการเพิ่มแบรนด์สกินแคร์ด้วย ก็สามารถทำได้ในที่เดียว ทำให้สะดวกและประหยัดเวลา แต่ต้องเลือกโรงงานOEMที่น่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ เพื่อให้แบรนด์ของคุณมีคุณภาพ

มีผลิตภัณฑ์หลายแบรนด์ที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้ซื้อและเป็นผู้ใช้ก่อน ใช้จนคุ้นเคยและกลายเป็นความรัก ศึกษาจนเข้าใจและผันตัวเป็นเจ้าของแบรนด์ จากธุรกิจเล็กๆจนขยับขยายสู่นักธุรกิจร้อยล้าน เคยดูรายการอายุน้อยร้อยล้านที่นำเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางเอย เจ้าของแบรนด์ลิปสติกเอย มาสัมภาษณ์นี่แบบ…อายุยังน้อยๆกันอยู่เลยเป็นเจ้าของแบรนด์แล้วและก็สร้างรายได้แบบไม่น่าเชื่อ ซึ่งก็เริ่มจากความชอบและลงทุนไม่มากในการทำลิปขาย ซึ่งเคล็ดลับจากเจ้าของแบรนด์ที่ให้สัมภาษณ์จะตรงกันทุกคนคือ ต้องเลือกโรงงานรับสร้างแบรนด์ที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือเท่านั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในธุรกิจบิวตี้ ไม่แน่ว่า“ลิปสติก”ไอเท็มเล็กๆ อาจทำให้คนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่เป็นว่าที่เจ้าของแบรนด์ที่มียอดขายร้อยล้านในอนาคต!