สำหรับสาว ๆ นาฬิกา เป็นมากกว่าไอเทมแค่เพียงบอกเวลา เพราะนาฬิกายังเป็นเครื่องประดับ เสริมให้ลุคในแต่ละวันมีความสมบูรณ์มากขึ้น ดีไซน์ของนาฬิกาช่วยตอบโจทย์ต่อการใช้งาน และบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเราได้ดี แต่เคยไหมคะที่มักจะลังเลไม่รู้จะเลือกซื้อนาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบไหนดี เรือนนั้นก็สวย เรือนนี้ก็งาม รักพี่เสียดายน้อง หรือแบบไหนเหมาะกับเราที่สุด วันนี้เรามีวิธีการเลือกนาฬิกาข้อมือผู้หญิงจากอะไรได้ตรงใจ ใช้ตรงงานที่สุดมาฝากค่ะ 

เลือกจากรูปแบบนาฬิกาข้อมือ

โดยปกติเมื่อจะเลือกนาฬิกาข้อมือสักเรือน เราจะดูรูปดีไซน์ ตัวเรือนและรูปแบบของหน้าปัดนาฬิกา ถูกใจใช่เลยแค่ไหน ก่อนจะไปดูฟังก์ชั่นต่าง ๆ เพื่อประกอบในการตัดสินใจอีกครั้ง ซึ่งนาฬิกาข้อมือผู้หญิงมีให้เลือก ดังนี้ 

 

  1. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบแอนะล็อก (Analog) เป็นนาฬิกาทรงคลาสิก มีเข็มสั้นและเข็มยาวเพื่อบอกเวลา โดยมีการนับเวลาตามการหมุนของเข็มนาฬิกา 12 ชั่วโมง โดยหน้าปัดนาฬิกาจะมีทั้งแบบตัวเลขโรมัน เลขอารบิก และการใช้ขีดแทนตัวเลข หรือ อาจไม่มีตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใด ๆ แทนตัวเลขเลย เป็นนาฬิกาข้อมือผู้หญิงที่ถือว่าได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพราะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับผู้ที่สวมใส่ ดูเรียบหรู และน่าเชื่อถือ แถมบางยี่ห้อยังเป็นของเก็บสะสมที่ใครหลายคนซื้อเก็บไว้เป็นการลงทุนเพื่อขายทำกำไรในอนาคตได้อีกด้วย
  2. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบดิจิทัล (Digital) หน้าจอแสดงผลเป็นตัวเลข โดยมีทั้งแบบหน้าจอ LCD และแบบ LED ก็จะต่างกันที่คุณภาพและราคา สามารถตั้งค่าให้แสดงเวลา 12 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง ก็ได้ และอาจมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่มีการเพิ่มเข้ามา เช่น การตั้งนาฬิกาปลุก การจับเวลา หรือ การบอกอุณหภูมิ เป็นต้น นาฬิกาแบบดิจิทัลช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ผู้สวมใส่เป็นคนทันสมัย ทะมัดทะแมง ปราดเปรียว มักได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น หรือผู้ที่รักในการผจญภัย

เลือกจากวัสดุที่ใช้ทำสายนาฬิกาข้อมือผู้หญิง

สำหรับที่ใครยังตัดสินใจเลือกนาฬิกาจากรูปแบบไม่ได้ ลองมาเลือกจากวัสดุที่ใช้ทำสายนาฬิกาข้อมือดูบ้าง แบบไหนเหมาะกับสไตล์เราที่สุด โดยหลัก ๆ นาฬิกาข้อมือผู้หญิงมีสายอยู่ 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ 

 

  1. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบสายยาง กันน้ำ กันเหงื่อได้ดี ทำความสะอาดง่าย เหมาะกับผู้ที่ชอบออกกำลังกาย ทำกิจกรรมโลดโผน แบรนด์นาฬิกาแบบสายยางที่ได้รับความนิยม เช่น Swatch แบรนด์นาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์ มีดีไซน์สวย สดใส ใช้งานได้ทุกวัน หรือจะเป็นนาฬิกาผู้หญิง Casio นาฬิกาผู้หญิงเท่ ๆ ลุคสปอร์ตเกิร์ลที่ยังคงได้รับนิยมทุกยุคทุกสมัย
  2. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบสายหนัง มีความคลาสสิก เสริมบุคลิกภาพ ช่วยให้ผู้สวมใส่ดูภูมิฐาน โดยวัสดุที่นำมาใช้ทำสายมักจะเป็นหนังสัตว์ และมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น หนังจระเข้ หนังแกะ หนังปลากกระเบน หรือ หนังนกกระจอกเทศ เป็นต้น ซึ่งข้อดีของสายหนังแบบนี้คือความทนทานในการใช้งาน แต่ข้อเสียของสายนาฬิกาที่เป็นหนังคือ ปัญหากลิ่นเหม็นอับเมื่อสายนาฬิกาโดนน้ำ หรือโดนเหงื่อแล้วสะสม นอกจากนี้ ยังมีสายหนังเทียม หนัง PU  หรือ หนัง Vegan Leather วัสดุที่นำมาใช้ในการทำสายนาฬิกา เพื่อลดต้นทุน แต่มีคุณภาพดีไม่แพ้หนังสัตว์แท้ ซึ่งข้อดีของหนังเทียม ช่วยให้ดูแลง่าย ทนทาน ราคาถูกกว่า และไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์ต่าง ๆ
  3. นาฬิกาข้อมือผู้หญิงแบบสายโลหะ แมทช์การแต่งตัวง่าย ใส่ได้ทุกโอกาส แต่แลดูสุภาพในทุกสถานการณ์ ทำให้เป็นชนิดสายนาฬิกาที่ได้รับความนิยมสูง ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีความทนทานต่อการใช้งาน โดยสายโลหะส่วนใหญ่จะใช้วัสดุอย่างเดียวกันกับตัวเรือน เช่น ทองคำขาว ทอง หรือ สแตนเลส

เลือกจากขนาดนาฬิกาข้อมือผู้หญิง 

ขนาดของนาฬิกาข้อมือผู้หญิงไม่จำเป็นต้องฟิกซ์มากมาย หรือคำนึงจากขนาดข้อมือของตนเองมากเกินไป เนื่องจากปัจจุบัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบที่จะใส่นาฬิกาข้อมือแบบ Oversize หรือสาว ๆ ที่มีข้อมือใหญ่ก็อาจชื่นชอบนาฬิกาขนาดเล็ก ๆ ดูมินิ ๆ ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล ไม่ผิดใด ๆ แต่สำหรับใครที่ชอบใส่นาฬิกาขนาดพอดี ๆ แต่มีข้อมือเล็ก แนะนำให้เลี่ยงนาฬิกาหน้าปัดขนาดใหญ่ และ นาฬิกาทรงสี่เหลี่ยม เพราะจะยิ่งทำให้ข้อมือดูเล็กลงไปอีก อาจทำให้ดูเทอะทะ หรือเคลื่อนไหวข้อมือไม่สะดวก หากเป็นผู้หญิงที่มีข้อมือเล็ก พยายามเลือกนาฬิกาหน้าปัดทรงกลม ขนาดพอดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เพื่อให้หน้าปัดนาฬิกาได้อยู่บริเวณกึ่งกลางข้อมือ และสามารถเห็นนาฬิกาได้ แบบนี้จะดูเหมาะสมและสวยงามดีทีเดียว แต่ใครที่มีข้อมือใหญ่ก็สามารถใส่นาฬิกาได้ทุกแบบ ทุกประเภท แต่ถ้าต้องการเสริมลุคเรียบหรู ดูแพง ให้เลือกนาฬิกาผู้หญิงไฮโซแบบหน้าปัดทรงเหลี่ยม ก็เก๋กู๊ดเลยล่ะค่ะ 

สภาพผิวของเราแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาสภาพผิวส่วนใหญ่มีด้วยกัน 3 แบบ คือ ผิวมัน ผิวแห้ง และ ผิวมีอายุ และปัญหาของสภาพผิวแต่ละแบบก็แตกต่างกันไป เช่น สิว ริ้วรอย น้ำมันมากเกินไป แต่งหน้าไม่ติด เป็นต้น วันนี้เราจะมาแนะและแชร์การกินอาหารอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละแบบกันค่ะ 

ผิวแห้ง 

ผิวแห้งระคายเคือง แพ้ แดง และบวมง่าย ยิ่งอากาศเปลี่ยนแปลง หรือมีความรุนแรงของอากาศ เช่น อากาศร้อนจัด อากาศแห้ง หรือ อยู่ในห้องแอร์นานเกินไป ทำให้ผิวขาดน้ำและถูกดึงสารอาหารออกจากผิว ดังนั้น ผู้ที่มีสภาพผิวแห้งจึงควรทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น 

 

  • น้ำมะพร้าว มีอิเล็กโทรไลต์ธรรมชาติ กรดลอริก คาปริลิก และไขมันอิ่มตัว ช่วยต่อต้านการอักเสบ เสริมสร้างชั้นผิว กักเก็บความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิวที่แห้งและมีการระคายเคือง 
  • เมล็ดฟักทอง อะโวคาโด ถั่ว ธัญพืชต่าง ๆ เช่น วอลนัท พีแคน แฟลกซ์ อัลมอนด์ เจีย และ งา มีไขมันดี และสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างและปรับความสมดุลให้กับร่างกาย รวมไปถึงผิวที่แห้งให้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น 
  • ปลา และ ไข่ต้ม มีกำมะถัน และ ลูทีน เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และ ปลาแมคเคอเรล ให้โปรตีน คอลลาเจน และ เคราตินแก่ผิว ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวได้ดีขึ้น 
  • สมูทตี้ผักสด เช่น ผักโขม ผักคะน้า เบอร์รี่ มะเขือเทศ กูสเบอร๋รี่ และ ทับทิม มีวิตามินซีสูง ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวที่แห้งกลายเป็นผิวอิ่มน้ำ แลดูสุขภาพผิวดีขึ้น 

ผิวมัน 

เริ่มจากผิวมัน เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันออกมามาก ทำให้ผิวมีปัญหาเรื่องการเกิดสิวได้ง่าย การทานอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ อาหารและเครื่องดื่มแนะนำสำหรับผิวมัน ได้แก่ 

 

  • อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนประกอบของน้ำสูง เช่น แตงโม แตงกวา มีไคโลปีน ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด 
  • ส้ม เกรปฟุต สตรอเบอร์รี่ และ กีวี ผลไม้อันอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ช่วยดีท็อกซ์ตับและชะล้างความมันของผิว ทำให้ผิวไม่มีน้ำมันส่วนเกินมากเกินไป 
  • บรอกโคลีและผักใบเขียว ช่วยเพิ่มการย่อยอาหาร เพราะหากระบบการย่อยอาหารไม่ดี ของเสียที่ไม่ได้กำจัด จะสะสมอยู่ในร่างกาย และเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดสิว
  • ดื่มน้ำมะนาว สะระแหน่ และ แตงกวา ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว แลดูเปล่งปลั่ง ปราศจากน้ำมัน 
  • อะโวคาโด วอลนัท และ ปลาแซลมอน เป็นแหล่งของไขมันดี และโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ และ ป้องกันการเกิดสิว  

ผิวมีอายุ

เมื่อวัยเริ่มมีอายุมากขึ้น อวัยวะและส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพ และเริ่มสลายไปตามอายุและเวลา ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอย และหย่อนคล้อย ควรทานอาหารต่อไปนี้ 

  • ทับทิม มี urolithin A และ punicalagin ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ฟื้นฟูและรักษาคอลลาเจน
  • ถั่วเหลือง และ ปลาทะเล มีโครเอนไซน์ Q10 ช่วยลดริ้วรอย ชะลอความเสื่อมของผิว 
  • มันเทศ มีเบต้าแคโรทีน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่หย่อนคล้อย 
  • มะละกอ บรอคโคลี ผักโขม มีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของผิว ให้ผิวแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น เช่น แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินอี วิตามินเค และ ลูทีน 

หากเราทานอาหารให้ตรงกับสภาพผิว จะช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น แลดูอิ่มเอิบ อ่อนเยาว์ แต่งหน้าง่ายขึ้น สร้างความมั่นใจและส่งเสริมบุคลิกภาพได้ด้วยเช่นกัน 

เจ้าปลาเนื้อส้ม จัดเรียงสวยบนจาน ชวนน่ารับประทาน นิยมกินดิบและปรุงสุก นำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย แต่เมนูยอดฮิตคงหนีไม่พ้น ซูชิ หรือ ซาชิมิ  เอ่ยมาแค่นี้ทุกคนย่อมนึกถึง ปลาแซลมอน ปลายอดนิยมของคนไทย แล้วทำไมคนไทยส่วนใหญ่จึงชอบรับประทานปลาแซลมอน ทั้งที่ประเทศไทยมีปลาหลากหลายชนิดให้เลือกทาน มีความสดกว่า และราคาถูกกว่า เพราะไม่ต้องเสียเวลารอและเสียค่าจัดส่งนำเข้าประเทศ แต่ ปลาแซลมอนก็ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอันดับต้น ๆ อยู่ดี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น 

คุณค่าทางโภชนาการจากปลาแซลมอน

จากฐานข้อมูลคุณค่าโภชนาการอาหารของของกระทรวงการเกษตรสหรัฐ เนื้อปลาแซลมอนปรุงสุก ปริมาณ 85 กรัม มีสารอาหาร

กระทรวงการเกษตรสหรัฐได้จัดทำข้อมูลคุณค่าโภชนาการอาหาร ในเนื้อปลาแซลมอนปรุงสุก (ปลาแซลมอนตามธรรมชาติ) ปริมาณ 85 กรัม จะประกอบไปด้วยสารอาหาร ดังนี้ 

 

  • กรดไขมันโอเมก้า 3 
  • โปรตีน 19.93 กรัม 
  • ไขมัน 3.65 กรัม 
  • พลังงาน 118 กิโลแคลอรี 
  • วิตามิน D 64% 
  • วิตามิน B12 177% 
  • เซเลเนียม 59% 
  • ไนอะซิน 48% 
  • ฟอสฟอรัส 39% 
  • ไทอะมีน 5% 

กินปลาแซลมอนได้ประโยชน์อะไรบ้าง 

แหล่งกรดไขมัน โอเมก้า 3 

ปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 จำนวนมาก ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยบำรุงประสาท พัฒนาสมองและการจดจำ ป้องกันโรคความจำเสื่อม โรครูมาตอยด์ และลดระดับคอลเลสเตอรอลในร่างกาย 

 

บำรุงสายตา 

ปลาแซลมอนอุดมไปด้วย วิตามิน A และ DHA ซึ่งเป็นกรดในจอประสาทตา ช่วยบำรุงสายตา บรรเทาอาการตาแห้ง 

 

เสริมภูมิคุ้มกัน 

วิตามิน D ในปลาแซลมอนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค โดยวิตามินดี จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม รวมไปถึงสารอาหารอื่น ๆ ได้ดี นอกจากนี้ วิตามิน D ยังมีส่วนในการช่วยลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหาย และ สามารถลดความรุนแรงของอาการโคลิด 19 ได้อีกด้วย 

 

มวลกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง 

ปลาแซลมอนมีวิตามิน D และโปรตีนสูง ช่วยให้กล้ามเนื้อความแข็งแรง กระชับ และเสริมสร้างกระดูก โดยในแซลมอน 100 กรัม มีโปรตีนเกือบ 20 กรัม 

 

ช่วยเพิ่มพลัง กระปรี้กระเปร่า บรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า 

วิตามิน B12 และไนอะซิน ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย ขจัดความอ่อนเพลีย และอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหรือเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี 

ส่งเสริมการทำงานของต่อมไทรอยด์ 

ปลาแซลมอนมีเซเลเนียมสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ช่วยปรับฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ให้มีความสมดุล มีส่วนช่วยในกระบวนการสืบพันธุ์ และการสังเคราะห์ DNA ภายในร่างกายอีกด้วย 

 

มีสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องดูแลเซลล์ร่างกาย 

สารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ชื่อว่า Astaxanthin เป็นสารสำคัญในการช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย และยืดอายุเซลล์ไม่ให้เสื่อมสภาพ 

 

ดีต่อสุขภาพหัวใจ 

จากการศึกษาและวิจัยพบว่า ผู้ที่ทานปลาแซลมอนผ่านการปรุงสุกเป็นประจำ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง เนื่องจากกรดโอเมก้า 3 ในปลาแซลมอนมีส่วนช่วยในการปกป้อง และดูแลของอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด และ โรคหัวใจล้มเหลวได้ 

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้เห็นได้ว่า ปลาแซลมอน นอกจากจะมีความอร่อย กินเพลินเกินห้ามใจ ยังมีประโยชน์ต่อสุขาภาพมากมาย แต่จะให้ดีควรกินปลาแซลมอนผ่านการปรุงสุกจะดีกว่าปลาแซลมอนดิบ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคจากพยาธิ เพราะปลาแซลมอนดิบแม้จะมีโอเมก้าสูง และรสชาติอาจถูกลิ้นบางคนมากกว่า แต่ปลาแซลมอนดิบอาจมีพยาธิตัวกลม หรือพยาธิตัวตืด ที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเราได้เช่นกัน 

ช่วงนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนฟ้าคะนอง เราเคยได้แนะนำการป้องกันตนเองในช่วงอากาศร้อนจัดกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาแนะวิธีการป้องกัน “ฟ้าผ่า” กันบ้าง เพราะช่วงนี้มีผนตกหนักหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากอิทธิพลร่องมรสุม และหลาย ๆ พื้นที่อาจเจอกับฝนฟ้าคะอง ลมกรรโชกแรง อาจมีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดขึ้นได้ เราจึงต้องระวังอันตรายจากฟ้าผ่าเป็นพิเศษ เนื่องจากความรุนแรงของฟ้าผ่าทำให้เสียชีวิตได้ 

 

สาเหตุฟ้าผ่าเกิดจากอะไร 

ฟ้าผ่า ภาษาอังกฤษเรียกว่า Thunder คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุอิเล็กตรอนภายในก้อนเมฆเดียวกัน หรือระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆ หรือ ระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน ที่มีความต่างกันระหว่างขั้วบวกและขั้วลบ เช่น ด้านล่างของก้อนเมฆก้อนหนึ่งมีประจุลบ เคลื่อนผ่านพื้นดินที่มีประจุบวก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น กลายเป็นฟ้าผ่าลงบนพื้นดินในบริเวณนั้น หรือ ด้านบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งมีประจุลบ และด้านบนก้อนเมฆใกล้ ๆ กันมีประจุบวก เมื่อเคลื่อนที่ใกล้กัน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า กลายเป็นฟ้าผ่าระหว่างก้อนเมฆซึ่งเรามักจะมองไม่เห็น แต่สำหรับนักบินหลายคนเลยทีเดียวที่มีโอกาสได้เห็นฟ้าผ่าแบบนั้น 

วิธีป้องกันฟ้าผ่า 

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะมีลมกรรโชก ฝนฟ้าคะนอง รีบเข้าหลบในที่ปลอดภัย 
  • อยู่ให้ห่างจากเสาไฟฟ้าแรงสูง สายไฟ หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และข้างตึกสูง ๆ  
  • อย่ายืนใต้ต้นไม้สูง รวมทั้งบริเวณใกล้ต้นไม้สูง อย่าอยู่ในที่สูง หรือใกล้ที่สูง ๆ 
  • หากอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะเกิดฟ้าคะนอง หาที่หลบไม่ทัน ให้นั่งชันเข่า เขย่งเท้า โดยให้เท้าแตะสัมผัสพื้นให้น้อยที่สุด และซุกศีรษะเข้าระหว่างเข่า
  • เลี่ยงการสัมผัสน้ำ เพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้า 
  • หากอยู่ในรถขณะเกิดฟ้าผ่า ปิดกระจกให้สนิท ห้ามสัมผัสตัวถังรถเด็ดขาด
  • ห้ามนอนราบกับพื้น หรือนั่งราบไปกับพื้น เพราะกระแสไฟฟ้าอาจวิ่งมาตามพื้น
  • ถอดเครื่องประดับหรือวัตถุต่าง ๆ ที่เป็นโลหะออกจากร่างกายให้หมด เพราะโลหะเป็นสื่อนำไฟฟ้า 
  • อย่าสัมผัส หรือ ให้ร่างกายโดนวัตถุที่เป็นโลหะทุกชนิด ขณะที่มีฝนฟ้าคะนอง หรือ ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ 
  • หากอยู่ภายในอาคาร ขณะฟ้าร้อง ฟ้าผ่า อย่าอยู่ใกล้ประตู หรือ หน้าต่างที่เป็นโลหะ 
  • อยู่ให้ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถอดสาย เพราะอาจเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรจนเกิดประกายไฟ 
  • ถอดสายไฟอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้หมด รวมถึงสายอากาศ สายโทรศัพท์ สายโมเด็ม ก่อนเกิดฝนฟ้าคะนอง (เมื่อเริ่มมีลมแรง หรือ มีเสียงฟ้าร้อง) อย่าทำเมื่อขณะเกิดฟ้าคะนอง 
  • อยู่ให้ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถอดสายทุกชนิด 
  • ไม่ควรถือร่มที่มีปลายเหล็กแหลมในที่โล่ง เพราะเสี่ยงต่อการล่อสายฟ้า อาจทำให้ฟ้าผ่าได้ 
  • ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือในที่โล่งแจ้ง ขณะฟ้าคะนอง มีฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ลมกรรโชกแรง และอาจฟ้าผ่าได้  
https://ihealzy.com/

 

อาการของคนถูกฟ้าผ่า 

  • ปากซีด ริมฝีปากเขียว 
  • สีหน้าซีดเซียว หรือ สีเขียวคล้ำ
  • ชีพจรบริเวณคอเต้นเบา หรือ เต้นช้ามาก 
  • ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมาก หรือ ไม่เคลื่อนไหว
  • ม่านตาขยายค้าง ไม่หดเล็กลง 
  • หมดสติ ไม่รู้สึกตัว 

การปฐมพยาบาลคนถูกฟ้าผ่า 

  • สังเกตบริเวณโดยรอบยังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้าใช่ ให้รีบเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยเข้าที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันตัวเราเองถูกฟ้าผ่า
  • โทรแจ้งขอความช่วยเหลือ สายด่วน 1669 
  • ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ เราสามารถให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันที เพราะคนถูกฟ้าผ่าจะไม่มีกระแสไฟหลงเหลือ ต่างจากคนถูกไฟช็อต ไฟดูด 
  • สังเกตอาการของคนถูกฟ้าผ่า หากบาดเจ็บ หมดสติ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ให้รีบทำการปั๊มหัวใจด้วยวิธี CPR ทันที เพื่อช่วยเรียกสัญญาณชีพกลับมา จนกว่าเจ้าหน้าที่ หรือรถพยาบาลฉุกเฉินมารับตัวผู้ประสบภัยฟ้าผ่า 

อาการคันคอ เจ็บคอ ไอ จาม เกิดได้จากหลายสาเหตุ ยิ่งช่วงนี้สภาพอากาศบ้านเราเต็มไปด้วยมลพิษ ทั้งฝุ่นละออง ควันพิษ แล้วไหนจะอากาศที่เปลี่ยนไปมา จนร่างกายปรับไม่ทันเกิดอาการป่วยไข้ แถมยังมีโรคโควิดที่ยังไม่หมดสิ้นไปเสียที ส่วนคนที่หายจากโควิดแล้วก็อาจยังมีอาการลองโควิดหลงเหลืออยู่ ทำให้ช่วงนี้หลาย ๆ คนมีอาการคันคอ ไอ จาม คนรอบข้างก็สะดุ้งและระแวงว่าจะเป็นโควิดหรือเปล่า แล้วอาการคันคอที่เราเป็นอยู่ น่าจะเกิดจากฝุ่นละออง , ลองโควิด หรือ ไข้หวัดกันแน่ ไปดูความแตกต่างกันเลยดีกว่า 

อาการคันคอจากฝุ่น PM 2.5 

  • ไอ จาม 
  • มีน้ำมูก 
  • เจ็บคอ มีเสมหะ
  • หายใจไม่สะดวก 
  • ระคายเคืองตา 
  • แน่นหน้าอก
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ (บางราย) 

 

อาการคันคอจากลองโควิด 

  • เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม 
  • ไอเรื้อรัง 
  • ปวดศีรษะ มึนศีรษะ
  • ปวดเมื่อยตามตัว 
  • อ่อนเพลีย 
  • กล้ามเนื้อไม่มีแรง 
  • ปวดตามข้อ
  • ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส 
  • มีไข้ 

อาการคันคอจากไข้หวัด 

  • ไอ จาม 
  • มีเสมหะ
  • คัดจมูก 
  • มีน้ำมูกใส 
  • เจ็บคอ เสียงแหบ 
  • ปวดศีรษะ 
  • มีไข้ต่ำ ๆ (บางราย) 

อาการระคายคอ คันคอ และ ไอ จาม เป็นระบบกลไกการป้องกันตัว เพื่อจะขับเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย ซึ่งอาการเหล่านี้นอกจากจะส่งผลสุขภาพ แต่ยังสร้างความรำคาญให้ทั้งกับตนเองและคนรอบข้างอีกด้วย แต่จะใช้วิธีใดช่วยแก้อาการคันคอได้บ้าง ไปดูกัน 

 

วิธีบรรเทาอาการคันคอ

  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ โดยเฉพาะหากคันคอหรือแสบคอจากฝุ่น มลภาวะต่าง ๆ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 แก้ว เพื่อให้น้ำช่วยชะล้างสิ่งแปลกปลอม และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุลำคอ 
  • กลั้วคอบ่อย ๆ เมื่อรู้สึกระคายคอ คันคอ หรือหลังอาหาร ให้กลั้วคอด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือ หรือน้ำเปล่าธรรมดา ช่วยทำความสะอาดคอ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับลำคอ หรือใช้น้ำยากลั้วคอโดยเฉพาะ เพิ่มการฆ่าเชื้อโรคบางชนิดในลำคอและช่องปาก เช่น แบคทีเรีย 
  • รับประทานอาหารอ่อน ๆ ในช่วงที่แสบคอมาก ๆ ทานอะไรไม่ค่อยได้ ให้ทานอาหารอ่อน ๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ต้มจืด ซุป เป็นต้น เพื่อให้ทานคล่องคอ กลืนง่าย 
  • งดอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเผ็ด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการระคายเคืองลำคอมากขึ้น 
  • งดอาหารประเภท ของทอด ของมัน อาหารผัด มีไขมันสูง และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนย ชีส เพราะอาหารเหล่านี้จะยิ่งไปเพิ่มความระคายเคืองให้กับลำคอ และมีอาการไอมากขึ้น 
  • งดใช้เสียงชั่วคราว หรือใช้เสียงให้น้อยที่สุด งดการพูดคุยเสียงดัง ตะโกน ตะเบ็ง เพราะอาจทำให้เส้นเลือดฝอยในลำคออักเสบได้ 
  • งดน้ำเย็น น้ำแข็ง แอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ 
  • จิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการคันคอจากไข้หวัด 
  • จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว เนื่องจากในน้ำมะนาวมีวิตามินซีและกรดซิตริก ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และน้ำผึ้งมีคุณสมบัติลดการอักเสบ และมีมอยเจอร์ธรรมชาติเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยแก้อาการคันคอ เจ็บคอ และแก้ไอได้ดี 
  • ใช้สมุนไพรช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ สมุนไพรไทยแก้ไอ บรรเทาอาการคันคอ มีหลายชนิดและหาง่าย 

เมื่อความร้อนในเมืองไทยสูงปรี๊ดแตะ 40 องศาเซลเซียส แถมดวงอาทิตย์ไม่ปราณีเมตตาแก่ใครทั้งนั้น บางพื้นที่อากาศร้อนจัดจนวัดได้เกือบ 50 องศาฯ ทำให้ทั้งคนและสัตว์ดิ้นรนหาที่พึ่งหนีร้อนกันทุกวิถีทาง ซึ่งมีการคาดว่าหน้าร้อนปีนี้ ประเทศไทยคงหนีสภาพอากาศร้อนจัดเช่นนี้ไม่พ้นตลอดเดือนเมษายน หรืออาจยาวต่อเนื่องอีกหลายเดือน เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนที่นับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน ดังนั้นเราต้องหาวิธีคลายร้อน และป้องกันอาการฮีทสโตรกที่อาจเกิดขึ้นตามมา

นักวิจัยชาวญี่ปุ่น โทชิอากิ อิจิโนเสะ (Ichinose Toshiaki) จากสถาบันแห่งชาติเพื่อการศึกษาสิ่งแวดล้อมได้ค้นพบว่า สีเสื้อผ้าที่เลือกสวมใส่นั้นมีส่วนสำคัญ และสามารถช่วยคลายร้อยลงได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดย โทชิอากิ กล่าวว่า พวกเขาได้ทำการทดสอบนำเสื้อผ้าทั้งหมด 9 สี ได้แก่ สีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน สีเขียวเข้ม สีเขียว สีแดง สีเหลือง และสีขาว สวมใส่ทับหุ่น จากนั้นนำไปวางไว้กลางแดดเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที ก่อนจะนำไปตรวจสอบหาปริมาณการดูดซับความร้อนของเสื้อผ้าแต่ละสี เพื่อหาเสื้อสีที่ดูดความร้อนน้อยที่สุด และเสื้อสีอะไรดูดกลืนความร้อนมากที่สุด 

เสื้อสีอะไรไม่ดูดความร้อน และ เสื้อสีอะไรดูดความร้อนมากที่สุด 

หลังจากทำการทดสอบผลปรากฏว่า เสื้อสีขาว ใส่แล้วให้ความร้อนน้อยที่สุด หรือซับความร้อนได้น้อยสุด เนื่องจากเป็นสีสะท้อนแสง โดยให้ความร้อนตามสภาพอากาศในเวลานั้น โดยมีเสื้อสีอื่น ๆ ที่เหลือตามมา ซึ่งเรียงลำดับตามความร้อนน้อยที่สุด ไปจนถึงเสื้อสีที่ใส่แล้วร้อนมากที่สุด ได้แก่

  • เสื้อสีขาว
  • เสื้อสีเหลือง 
  • เสื้อสีแดง 
  • เสื้อสีม่วง 
  • เสื้อสีน้ำเงิน 
  • เสื้อสีเขียว 
  • เสื้อสีเขียวเข้ม 
  • เสื้อสีดำ ดูดความร้อนมากที่สุด 

โดยเสื้อสีดำมีอุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าเสื้อทุกสีที่ใช้ในการทดสอบ ดังนั้นในช่วงเวลาที่อากาศร้อน ๆ แสงแดดแผดเผาเหมือนกำลังซ้อมอยู่ในนรกเช่นนี้ ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ๆ เข้าไว้ และควรเป็นผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่กักเก็บเหงื่อ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าเรยอน ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศในเมืองไทย เก็บเสื้อผ้าหนา ๆ แนวแฟชั่นเมืองหนาวใส่ตู้ เข้ากรุไปก่อน เพื่อความสบายตัว และป้องกันไม่ให้เกิดฮีทสโตรกท่ามกลางอากาศร้อนดุดันไม่เกรงใจใครเช่นนี้ 

รู้หรือไม่ วันที่ 30 มีนาคม ของทุกปี ถูกจัดให้เป็น “วันไบโพลาร์โลก” แถมยังตรงกับวันเกิด ศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง “แวนโก๊ะ” (Vincent Van Gogh) ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไบโพลาร์เช่นกัน 

เราจึงมาชวนทุกคนให้รู้จักกับ ไบโพลาร์ โรคอารมณ์ 2 ขั้ว ซึ่งมีผู้ป่วยโรคนี้ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ให้มากขึ้น เพื่อจะได้รับมือ ทำการรักษา และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไร้ทัศนคติทางลบ 

วันไบโพลาร์โลกมีความเป็นมาอย่างไร 

วันไบโพลาร์โลก หรือ World Bipolar Day (WBD) เกิดขึ้นจากไอเดียขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับโรคไบโพลาร์โดยตรง ซึ่งมี 3 องค์กรด้วยกัน ได้แก่ Asian Netwotk of Bipolar Disorder (ANBD) , International Society for Bipolar Disorder (ISBD) และ International Bipolar Foundation (IBPF) โดยมีจุดประสงค์รณรงค์ให้คนทั่วโลกได้เข้าใจถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของผู้ป่วยไบโพลาร์ เพื่อขจัดความเข้าใจผิดของผู้คนรอบข้าง และลดความอับอายของผู้ป่วย ให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างไร้อคติ รวมไปถึงการร่วมมือระหว่างประเทศทั่วโลกเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยไบโพลาร์ที่นับวันยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ  

โรคไบโพลาร์คืออะไร 

โรคไบโพลาร์ คือ โรคทางสมองที่มีความปรับเปลี่ยนทางอารมณ์อย่างรวดเร็ว เกิดจากความผิดปกติของสื่อประสาทที่ไม่สมดุล ส่งผลต่อการทำงานของสารเคมีในสมอง โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ ถ้าจะพูดกันให้เข้าใจง่าย ๆ โดยคนปกติทั่วไปจะมีหลากหลายอารมณ์ เสียใจ ดีใจ โกรธ เศร้า และมีปุ่มสวิตซ์กดปรับเปลี่ยนโหมดอารมณ์ตามความเหมาะสมต่อสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบ แต่เมื่อปุ่มสวิตซ์นั้นเสียหรือทำงานผิดปกติ ระบบสวิตซ์รวน ทำให้โหมดอารมณ์เปลี่ยนไปมาและสวิงมากผิดปกติกว่าอารณ์ขึ้น-ลงของคนทั่วไป  

 

โรคไบโพลาร์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Bipolar Disorder โรคอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนส่งผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวันและผู้คนรอบข้าง จนอาจทำให้สภาพจิตใจผู้ป่วยแย่ลงและมีอาการของโรคเลวร้ายลงเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการรักษาและขาดความเข้าใจจากคนใกล้ชิดและสังคม  

 

ผู้ป่วยไบโพลาร์อาการไม่มีรูปแบบแน่นอน อารมณ์สวิงขึ้น-ลงได้ง่าย อารมณ์ดีอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ เปลี่ยนเป็นร้องไห้ เศร้า เสียใจ หรือก้าวร้าว ชวนทะเลาะ โดยไม่มีเหตุผล บางครั้งอารมณ์เปลี่ยนไปมาในช่วงวันเดียวกัน แต่บางครั้งก็อาจอยู่ในช่วงอารมณ์ดี หรือหงุดหงิดง่ายนานเป็นสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือน 

 

อาการของโรคไบโพลาร์ 

เมื่อผู้ป่วยไบโพลาร์มีอารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ มักมีลักษณะดังนี้ 

  • พูดเร็ว พูดมาก พูดไม่หยุด 
  • สำคัญตนเหนือกว่าและเก่งกว่าใคร 
  • คิดเร็ว สมองแล่น เปลี่ยนใจเร็ว 
  • ไม่หลับ ไม่นอน กระสับกระส่าย นอนน้อยแต่ไม่เพลีย 
  •  มีโครงการหลากหลาย แต่มักล้มเลิกเสียก่อน
  • ทำพลาดบ่อยครั้งเพราะการตัดสินใจที่ไม่ดี เช่น การลงทุน การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย 
  • สมาธิลดลง เปลี่ยนเรื่องไวตามสิ่งเร้า 

 

เมื่อผู้ป่วยไบโพลาร์มีภาวะซึมเศร้า เข้าสู่โหมดลบ มักมีลักษณะดังนี้ 

  • หมดกำลังใจ ไร้ความหวัง ท้อแท้  
  • ร้องไห้ง่าย ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ 
  • รู้สึกเหงา เหมือนอยู่ลำพังในโลกใบนี้ 
  • รู้สึกเศร้า หม่นหมอง หดหู่ อยากอยู่คนเดียว  
  • หมดความสนใจในสิ่งที่เคยเป็นกิจกรรมโปรด 
  • มีความคิดลบ คิดช้า ไม่มีสมาธิ 
  • รู้สึกไร้ค่า ไม่มีใครต้องการ 
  • ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ทำร้ายตนเอง หรือพยายามฆ่าตัวตาย 


การวินิจฉัย 

สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเอง หรือคนใกล้ชิดมีอารมณ์ขึ้น-ลง หรือผิดปกติกว่าคนทั่วไปดังที่กล่าวมา จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ควรพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าเข้าข่ายของอาการโรคไบโพลาร์หรือไม่ ยิ่งได้รับการรักษาเร็วและถูกวิธี ยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้เร็ว โดยการวินิจฉัยของแพทย์จะทำการซักประวัติและพูดคุยกับผู้ป่วย ประกอบกับการตรวจร่างกายและสภาพจิตใจด้วยแบบสอบถาม จากนั้นจะทำการประเมินและสรุปผล อิงด้วยข้อมูลที่ได้ทั้งจากตัวผู้ป่วยและญาติ รวมไปถึงการสังเกตพฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ป่วย โรคประจำตัว และประวัติการใช้ยา ที่อาจส่งผลข้างเคียงจนก่อให้เกิดภาวะไบโพลาร์ 

 

วิธีการรักษาโรคไบโพลาร์ 

แนวทางหลัก ๆ ในการรักษาอาการไบโพลาร์ คือ การให้คำปรึกษา แนะแนวทางในการดูแลตนเอง ร่วมกับการใช้ยาทางจิตเวชเพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมองและควบคุมอารมณ์ โดยทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์เจ้าของไข้ จะมุ่งเน้นในทางด้านใดเป็นหลัก ส่วนในรายผู้ป่วยไบโพลาร์ที่มีอาการรุนแรง มีแนวโน้มอาจก่อเหตุอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น ทางแพทย์อาจพิจารณาให้รับผู้ป่วยรักษาอาการที่โรงพยาบาล เพื่อได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และด้วยที่โรคไบโพลาร์มีอัตราสูงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ แพทย์จึงมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยทานยาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี หรือขึ้นอยู่กับระดับอาการของโรคในผู้ป่วย 

ผู้ป่วยและญาติควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้ 

  • ดูแลสุขภาพร่างกายทั่วไป เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ งดการดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด 
  • ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ ฟังเพลง สวดมนต์ นั่งสมาธิ ปลูกต้นไม้ 
  • หมั่นสังเกตอารมณ์ของตนเอง หากรู้สึกว่าตนอาจมีอาการไบโพล่าเบื้องต้น รีบไปพบแพทย์ ก่อนจะลุกลามสู่โรคไบโพล่าร์ระยะสุดท้ายจนรักษาหายยาก 
  • แจ้งให้คนใกล้ชิดทราบเพื่อช่วยสังเกตอาการของตนและพาไปพบแพทย์ 
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 

 

ญาติและคนใกล้ชิดผู้ป่วยไบโพลาร์ ควรปฏิบัติตัวดังนี้ 

  • เรียนรู้และทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติเป็นอาการป่วย ไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงของผู้ป่วย 
  • ช่วยสังเกตอาการของผู้ป่วย เรียนรู้อาการเริ่มแรกของโรค และรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ก่อนที่จะมีอาการรุนแรงขึ้น 
  • ช่วยเตือนให้ผู้ป่วยทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด 
  • ช่วยควบคุมพฤติกรรมและการใช้จ่ายที่เสียงต่ออันตราย 
  • พูดคุย ทำความเข้าใจ และให้กำลังใจผู้ป่วยเสมอ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกหมดหวังหรือกำลังใจ 

 

โรคไบโพลาร์เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม กระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคมและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งเป็นอาการป่วยที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่ความผิดทางนิสัยโดยแท้ ดังนั้น การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจในผู้ป่วยไบโพลาร์ ไม่ตัดสิน ไม่แบ่งแยก ไม่ผลักไส ไม่มองว่าผิดแปลก และให้กำลังใจผู้ป่วย จะช่วยให้อาการของโรคในผู้ป่วยหายได้เร็วขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข

ยื่นภาษี 2566 เป็นการยื่นภาษีย้อนหลังปี 2565 ซึ่งผู้มีเงินได้จะต้องแสดงจำนงยื่นแนบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ด.ง.91 โดยสามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ เดินทางไปที่กรมสรรพากรท้องที่ หรือ ยื่นภาษีแบบออนไลน์ สำหรับใครที่ไม่แน่ในว่าสามารถยื่นภาษี 2566 ได้ถึงวันไหน ปีนี้ทางกรมฯ ให้ยื่นภาษีภายในวันที่ 10 เมษายน 2566 นี้เท่านั้น 

 

สำหรับผู้ที่ยื่นภาษีล่าช้าหรือเกินกว่าที่กรมสรรพากรกำหนด มีโทษ ดังนี้ 

  1. บุคคลธรรมดาที่ไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด. 91 ตามที่กรมสรรพากรกำหนด หรือยื่นภาษีล่าช้าเกินกำหนด 
  • จะต้องระวางโทษค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร โดยสามารถขอลดค่าปรับได้ 

 

  1. ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด. 91 ผ่านอินเทอร์เน็ต กรณีมีเงินภาษีต้องชำระ 
  • หากไม่ได้ชำระเงินภายในวันที่กรมสรรพกรกำหนดในทุกปี ถือว่าไม่ได้ยื่นแบบ จะต้องเดินทางไปยื่นแบบ ณ สำนักงานกรมสรรพากรท้องถิ่น พร้อมกับชำระเงินภาษี และเพิ่มจำนวนเงินอีกร้อยละ 1.5 / เดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษี่ที่ต้องชำระ รวมถึงค่าปรับตามในข้อที่ 1 ด้วย 

 

  1. ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91 เกินเวลาที่กำหนด 
  • กรณีมีเงินภาษีที่ต้องชำระ ให้ชำระภาษี พร้อมกับเงินเพิ่มอีก ร้อยละ 1.5 / เดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษี่ที่ต้องชำระ รวมถึงค่าปรับตามในข้อที่ 1 
  • กรณีไม่มีเงินภาษีที่ต้องชำระ ให้ชำระค่าปรับตามข้อที่ 1 เท่านั้น 

 

  1. ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91  เพิ่มเติมภายหลังกำหนดเวลาการยื่นแบบ 
  • กรณีมีเงินภาษีที่ต้องชำระ ให้ชำระภาษี พร้อมกับเงินเพิ่มอีก ร้อยละ 1.5 / เดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษี่ที่ต้องชำระ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าปรับ
  • กรณีไม่มีเงินภาษีที่ต้องชำระ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม และไม่ต้องเสียค่าปรับ 

 

วิธีการยื่นภาษีออนไลน์ 

กรณีที่ต้องการยื่นภาษีออนไลน์ 2566 สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์กรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th/ โดยยื่นได้ถึงวันที่ 10 เมษายน 2566 หรือจนกว่าจะมีการประกาศการเปลี่ยนแปลงจากกรมสรรพากรโดยตรง 

  • เข้าไปที่เว็บไซต์กรมสรรพากร :  https://efiling.rd.go.th/
  • กดเลือก “ยื่นแบบออนไลน์”
  • กดเลือก “ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”
  • กรอกข้อมูลส่วนตัว วันเดือนปีเกิด และเลขหลังบัตรประชาชน 
  • กด “ตรวจสอบ” 
  • กรอกข้อมูลที่อยู่ 
  • เลือกวิธีการยืนยันตัวตน ระหว่าง “มือถือ” หรือ “อีเมล”
  • กรณีเลือกยืนยันตัวตนผ่านมือถือ ให้กรอก OTP ที่ได้รับ ตามขั้นตอน 
  • เลือกคำถามสำหรับใช้ในการยืนยันตัวตนในกรณีลืมรหัสผ่าน 
  • กดยืนยันการลงทะเบียน 

 

กรณีผู้ที่ยื่นภาษีไม่ทันเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด สามารถยื่นภาษีย้อนหลังได้ด้วยตนเองที่สำนักงานกรมสรรพากรพื้นที่สาขา แต่จะต้องเสียค่าปรับเพิ่มตามที่กล่าวข้างต้น และเอกสารที่ต้องเตรียมในการยื่นแบบภาษี มีดังนี้ 

  • แบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91
  • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) 
  • เอกสารยืนยันสิทธิค่าลดหย่อนบิดามารดา (ใบ ล.ย.03) 
  • เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อนภาษี เช่น หนังสือรับรองการจ่ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หนังสือรับรองการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต เป็นต้น

ขอคืนภาษี 2566 กี่วันได้ 

กรมสรรพาการจะดำเนินการตรวจสอบคืนภาษี 2566 ให้ภายใน 3 เดือน ในกรณีที่เอกสารมีรายการแสดงเสียภาษีไว้ครบถ้วน โดยนับตั้งแต่วันที่ได้รับคำร้องขอคืนเงินภาษีด้วยแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ที่มีการแจ้งขอคืนเงินคืนภาษี หรือ แบบ ค.10 

เมื่อสัตว์เลี้ยงหายตัวไป เจ้าของย่อมเป็นห่วงและกังวลสารพัด เกรงจะได้รับอันตราย ไม่ว่าจะอุบัตเหตุหรือถูกทำร้าย การกินอยู่หลับนอนจะลำบาก ออกตามหาเท่าไรก็ไม่เจอ เจ้าของยิ่งเป็นทุกข์ มีเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่มากนักที่จะโชคดีสามารถได้สัตว์เลี้ยงของตนกลับคืนมาโดยสวัสดิภาพ แต่มีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากที่โชคร้ายไม่ได้กลับบ้านอีกเลย 

 

การฝังไมโครชิพ ที่หน่วยงานกรุงเทพมหานครได้ออกกฏแก่เจ้าของสัตว์เลี้ยง ไม่เพียงเพื่อลดปัญหาจำนวนสัตว์จรจัด แต่ยังช่วยตามหาเจ้าของจากไมโครชิพ เพิ่มโอกาสให้เจ้าของได้พบสัตว์เลี้ยงของตนเร็วขึ้นด้วย 

 

แต่การฝังไมโครชิพยังไม่นิยมเท่าไร เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับไมโครชิพคืออะไร ทำไมต้องฝังไมโครชิพแมวหรือสุนัข แล้วไมโครชิพทำมาจากอะไร ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยงแค่ไหน การฝังไมโครชิพสุนัขราคาแพงไหม และฝังไมโครชิพแมวที่ไหนได้บ้าง 

ภาพจาก : https://tractive.com/

 

ไมโครชิพคืออะไร

ไมโครชิพ หรือ Microchip คือ บัตรประจำตัวสัตว์เลี้ยง ที่ทำมาจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กประมาณเมล็ดข้าว ซึ่งบรรจุอยู่ในครอบแก้วที่มีตัวเลขรหัส 15 หลักกำกับไว้ โดยแต่ละอันจะมีรหัสไม่ซ้ำกัน และผ่านการทดสอบว่าไม่ทำปฏิริยาที่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง ก่อนที่จะนำไปใช้ในการฝังไมโครชิพให้กับสัตว์เลี้ยง เช่น ฝังไมโครชิพสุนัข แมว หรือ นก เป็นต้น โดยรหัสไมโครชิพมาตรฐาน ISO และ ICAR ที่รองรับให้ใช้ในการขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงได้ จะต้องเป็นไมโครชิพ 15 หลักที่ขึ้นต้นด้วย 9 เท่านั้น และจะต้องใช้เครื่อง Microchip Reader เพื่ออ่านรหัสไมโครชิพ

 

ไมโครชิพทำอะไรได้บ้าง

สำหรับไมโครชิพ หน้าที่คือ เชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลของสัตว์เลี้ยง เช่น เพศ สายพันธุ์ อายุ สี ตำหนิ รวมถึง ชื่อ-สกุล ที่อยู่ และเบอร์โทรเจ้าของ รวมถึง ข้อมูลหน่วยงานที่ฉีดไมโครชิพ เมื่อน้องหมา น้องแมว หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ ที่มีการฝังไมโครชิพได้หลุดหายไป หากมีผู้พบเห็นและนำตัวไปให้ศูนย์ติดตั้งไมโครชิพตรวจสอบหหมายเลขในระบบฐานข้อมูลออนไลน์ ก็จะสามารถติดต่อหาเจ้าของได้ 

การฝังไมโครชิพมีประโยชน์อย่างไร 

  • ป้องกันสัตว์เลี้ยงสูญหาย 
  • ป้องกันการสลับตัวสัตว์เลี้ยง 
  • ป้องกันการซื้อขายผิดตัว 
  • พัฒนาสายพันธ์ุ 
  • ลงทะเบียนสัตว์เลี้ยง
  • ใช้ในการขอเพดดีกรี 
  • ใช้ในการลงทะเบียนสำหรับการประกวด
ภาพจาก : https://www.bbc.com/

การฝังไมโครชิพสัตว์เลี้ยงทำอย่างไร และมีผลข้างเคียงไหม 

การฝังไมโครชิพสัตว์เลี้ยง คือ การฉีดฝังไมโครชิพจะทำโดยใช้เข็มที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยก๊าซ Ethylene Oxide ฉีดไมโครชิพเข้าไปใต้ผิวหนังตรงกลางระหว่างหัวไหล่ทั้ง 2 ข้างของสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้กันเป็นมาตรฐานสากลทั่วโลก และไมโครชิพจะฝังอยู่ในร่างกายของสัตว์เลี้ยงตลอดชีวิต โดยไม่มีผลข้างเคียงหรือเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง 

 

เริ่มฝังไมโครชิพให้สัตว์เลี้ยงได้เมื่อไร 

สามารถเริ่มฝังไมโครชิพให้สัตว์เลี้ยงได้ตั้งแต่อายุประมาณ 30-45 วัน หรือช่วงอายุ 5-6 เดือนก็ได้เช่นกัน 

 

ภาพจาก : https://highlandcanine.com/

ฝังไมโครชิพสัตว์เลี้ยงเองได้ไหม 

แม้ว่าการฝังไมโครชิพจะมีความปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ต่อสัตว์เลี้ยง แต่ความสะอาดของอุปกรณ์และขั้นตอนการฉีดฝังไมโครชิพนั้นสำคัญมาก ๆ หากเข็มสกปรกจะทำให้เกิดฝีได้ หรือชิพไม่ได้มาตรฐานก็อาจส่งผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้เช่นกัน ดังนั้น การฝังไมโครชิพควรทำโดยสัตว์แพทย์เท่านั้น 

 

การฝังไมโครชิพสัตว์เลี้ยงจำเป็นหรือไม่ 

สำหรับการเลี้ยงสัตว์ทั่วไปในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว ที่มีการใช้ปลอกคอก็สามารถใส่ชื่อและเบอร์โทรเจ้าของก็อาจสะดวกกว่าการฝังไมโครชิพ เพราะคนทั่วไปอาจไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของเรามีการฝังไมโครชิพ อีกทั้งจุดที่สามารถสแกนไมโครชิพได้นั้นมีน้อยมากในบ้านเรา ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่มีการฝังชิพสัตว์เลี้ยงกันแพร่หลาย เมื่อพบสัตว์พลัดหลงก็จะนำตัวไปสแกนฐานข้อมูลได้แทบทุกที่ แต่ถ้าใครจะนำสัตว์เลี้ยงเดินทางไปต่างประเทศ หรือเลี้ยงสัตว์สายประกวด อาจจำเป็นต้องฝังไมโครชิพเพื่อใช้ในการลงทะเบียนประกวด และป้องกันการสลับตัวที่อาจเกิดขึ้นได้

 

ฝังไมโครชิพเพื่อใช้ติดตามตัวสัตว์เลี้ยงได้ไหม 

ไมโครชิพเป็นเสมือนบัตรประจำตัวสัตว์เลี้ยง ที่มีข้อมูลของสัตว์และเจ้าของเท่านั้น ไม่มีเรดาร์หรือสัญญาณจึงไม่ใช่ไมโครชิพติดตามตัว

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไมโครชิพไม่ใช่เรดาร์ติดตามตัวสัตว์เลี้ยง และยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลาย แต่การฝังไมโครชิพให้กับสัตว์เลี้ยงของเราไว้ก็ไม่เสียหาย เผื่อปลอกคอที่มีชื่อและเบอร์โทรเจ้าของหลุดหายไป อย่างน้อยก็สามารถตามหาเจ้าของได้ด้วยการสแกนไมโครชิพ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่อาจไม่รู้เรื่องการฝังชิพ แต่ยังมีผู้รู้ท่านอื่น ๆ รวมไปถึงสัตว์แพทย์ ที่อาจช่วยให้เราได้สัตว์เลี้ยงกลับคืนมาได้อย่างปลอดภัย 

วันวาเลนไทน์ ปีนี้จะตรงกับวันหยุดปี 2566 ไหมน๊ออ คงไม่ต้องคาดเดา เพราะวันแห่งความรัก เราสามารถมีได้ทุกวัน จึงไม่จำเป็นต้องหยุด ก็สามารถแสดงความรักต่อกันได้ แต่วันนี้เราไม่ได้จะมาพูดถึงเรื่องของวันหยุดหรือที่มาของวันวาเลนไทน์ แต่เราจะมาพูดถึงสัญลักษณ์วาเลนไทน์ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดี ได้แก่ ดอกกุหลาบ ช็อกโกแลต การ์ดวันวาเลนไทน์ และกามเทพแห่งความรัก คือ คิวปิด เทพมีปีกตัวน้อย หน้าตาน่ารัก มือถือคันธนูคู่ใจ คอยทำหน้าที่ยิงศรแห่งรักปักหัวใจมนุษย์ให้มีความรักต่อกัน แต่เชื่อว่ามีใครอีกหลายคนยังไม่รู้ว่า สัตว์ปีกอย่าง นก ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของวันแห่งความรัก แล้วนกอะไรเป็นสัญลักษณ์ของวาเลนไทน์กันน๊าาา อยากรู้ใช่ไหมล่ะคะ วันนี้เราจะมาชวนทุกคนไปรู้สิ่งเล็กสิ่งน้อย เกี่ยวข้องกับวาเลนไทน์ ที่ใครหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน 

 

ภาพจาก : https://m.museumsiam.org/

 

ทำไมวันวาเลนไทน์ คือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 

Valentine หรือ วาเลนไทน์ คือ ชื่อของนักบุญคาทอริก ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม นักบุญเซนต์ วาเลนไทน์ ภาษาอังกฤษ Sain Valentine มีความหมายในการดำรงตน เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างจริงใจ แต่ชีวิตของเขากลับจบด้วยโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ในจักรวรรดิโรมัน Claudius ll 

 

เคยมีเทศกาล “เฆี่ยนขอลูก” ของชาวโรมัน ในทุก ๆ กลางเดือนกุมภาพันธ์ 

ก่อนมีวันวาเลนไทน์ ในช่วงกลางเดือน ระหว่างวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ จะมีประเพณี Lupercalia พิธีแพะ แกะ และสุนัข เพื่อเฉลิมฉลอง และนำหนังสัตว์เหล่านั้นมาเฆี่ยนตีผู้หญิง ตามหลักความเชื่อว่าจะทำให้พวกเธอมีลูกเพื่อสืบพันธุ์ได้ แต่เมื่อมีการประกาศให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์อย่างเป็นทางการ ในศตวรรษที่ 15 เทศกาล Lupercalia ก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงไป 

 

Cupid น้อย หน้าตาจิ้มลิ้มที่จริงเป็นเทพเจ้าแห่งความรักของกรีก 

ชื่อเดิมของ Cupid คือ Eros ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวกรีกคุ้นเคยกันดี แต่ชาวโรมันเชื่อว่า คิวปิด คือ บุตรชายของ Venus เทพีแห่งความรัก และ เทพคิวปิด มีลูกธนู 2 หัว โดยหัวด้านหนึ่งจะทำให้คนรักกัน ส่วนหัวธนูอีกด้านจะทำให้คนเกลียดกัน ส่วนเทพคิวปิดที่เป็นเทวดาเปลือยกายตัวน้อยหน้าหวาน ที่เราทุกคนรู้จักและจดจำกันมาถึงปัจจุบันนั้น ได้ถูกสร้างสรรค์โดยศิลปินท่านหนึ่งในยุคที่ด้านศิลปและจิตกรเฟื่องฟู จนได้รับความนิยมและกลายเป็นสื่อตัวแทนแห่งความรัก

สัญลักษณ์หัวใจ แท้จริงเริ่มต้นมาจากพืชชนิดหนึ่ง 

ด้วยเมื่อก่อนการจะใช้สัญลักษณ์แทนแทนรูปหัวเพื่อแสดงถึงความรัก หากใช้ตามรูปลักษณะหัวใจแท้เลยนั้นก็ค่อนข้างจะน่ากลัวเกินไป จึงได้นำลักษณะของพืชชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า ซีลิเนียม (silphium) เป็นพืชที่ใช้สำหรับผสมอาหาร ยาแก้ไอ และใช้เป็นยาคุมกำเนิด เคยถูกพบที่ทวีปแอฟริกา หลังจากที่เชื่อว่ามันได้สูญพันธุ์ไปแล้วในปัจจุบัน

 

นกพิราบ สัญลักษณ์คู่ครองตลอดชีวิต 

ในตำนานเทพกรีกโบราณ นกพิราบ คือนกศักดิ์สิทธิ์ของเทพีอะโฟรไดท์ (เทพีแห่งความรัก) เพราะนกพิราบ เป็นสัตว์รักเดียวใจเดียว ครองคู่รักคู่เดิม และนกพิราบตัวผู้จะคอยดูแลและเลี้ยงดูตัวเมียหลังจากที่เกิดลูกนกพิราบ 

 

Adult loving couple kissing for the camera on the street

คนในยุคกลางใช้สัญลักษณ์ “X” หมายถึง การจูบ

เนื่องจากคนในยุคกลางส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือไม่ออก จึงมักนำสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อใช้แสดงถึงความรู้สึก และการคำพูดที่ต้องการจะสื่อออกไป โดยคนในสมัยนั้นจะใช้เครื่องหมาย “ X  “ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับไม้กางเขน อันเป็นสัญลักษณ์ของพระคริสต์ พวกเขาจึงนำมาใช้ในการเขียนเพือสื่อถึงการจูบ X ตัวแทนพระคริสต์แสดงถึงความเคารพและความศรัทธา 

 

การให้ช็อกโกแลตวันวาเลนไทน์ เริ่มจากการตีตลาดทางธุรกิจครอบครัว 

หลังจากที่ Richard Cadbury ได้เข้ามาดูแลธุรกิจช็อกโกแลตของครอบครัว เขาได้ศึกษาและหาสูตรใหม่ ๆ จนได้สูตรช็อกโกแลตออกมาจำหน่ายหลากหลาย ไม่ซ้ำสูตรดั้งเดิม และมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เป็นกล่องสวย ๆ รวมไปถึงกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจ ทำให้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีในเทศกาลวาเลนไทน์ เพราะตอบรับกับธีมวันแห่งความรัก อีกทั้งช็อกโกแลตมีสารแห่งความสุข เมื่อกินเข้าไปแล้วช่วยทำให้อารมณ์ดี  อีกทั้งช็อกโกแลตยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้อีกด้วย ทำให้ช็อกโกแลตกลายเป็นอีกไอเทมที่คู่รักมักจะมอบให้กัน เพื่อสื่อถึงความรัก ความปรารถนาต่อกัน