เชื่อว่าทั่วประเทศไทยในขณะนี้ต่างโศกเศร้าและเสียขวัญกับเหตุการณ์กราดยิงในศูนย์เด็กเล็ก ที่หนองบัวลำภู ไม่เพียงแต่คนในประเทศไทยเท่านั้นที่รู้สะเทือนใจกับโศกนาฏกรรมที่ต้องสูญเสียอนาคตของชาติกว่า 30 ชีวิตในครั้งนี้ ชาวต่างชาติหลายประเทศต่างก็ร่วมไว้อาลัยและมีสำนักข่าวของสื่อต่าง ๆ ได้มีการเผยแพร่ไปทั่วโลกเช่นกัน  

จากเหตุการณ์กราดยิงจนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 ศพ และผู้บาดเจ็บอีกหลายราย ซึ่งเหยื่อที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กที่อยู่ในช่วงวัยอนุบาล โดยมี ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อายุ 34 ปี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป.) สภ.นาวัง หนองบัวลำภู ที่ถูกไล่ออกจากราชการในคดียาเสพติด เป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา 

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 โดยมี ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อายุ 34 ปี ผบ.หมู่ (ป.) สภ.นาวัง หนองบัวลำภู ที่ถูกไล่ออกจากราชการในคดียาเสพติด เป็นผู้ก่อเหตุบุกเข้าไปกราดยิงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง หนองบัวลำภู จนทำให้ผู้เสียชีวิตกว่า 33 ราย และผู้บาดเจ็บอีกหลายคน ซึ่งเหยื่อที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กที่อยู่ในช่วงวัยอนุบาล นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครองได้รับบาดเจ็บ และครูที่กำลังตั้งครรภ์ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเนื่องจากหลบหนีไม่ทัน ก่อนที่ฆาตกรจะขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีขาว ทะเบียน กธ 6499 หลบหนี และยังมีการไล่ยิงผู้คนตามเส้นทางที่ขับรถผ่าน ก่อนจะกลับไปเผารถที่ใช้ในการก่อเหตุ และยิงลูก-เมีย ตามด้วยการยิงตัวเองตายหนีความผิด ทั้งที่ ส.ต.อ.ปัญญา จะต้องขึ้นศาลในวันที่ 7 ตุลาคม (วันนี้) ในคดียาเสพติด ที่เป็นเหตุให้ต้องถูกออกจากราชการนั่นเอง 

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกเหมือนเหตุการณ์วนลูปกลับมาในรูปแบบเดิมอีกครั้ง หากใครจำข่าวใหญ่เมื่อ 2 ปีทีแล้วได้ ที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี สังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้เกิดคลุ้มคลั่งบุกปล้นปืนสงคราม นำไปใช้กราดยิงคนในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 30 ศพ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินข่าวในลักษณะนี้เกิดขึ้นที่ต่างประเทศเสียมากกว่า  

ความรุนแรงในสังคมไทย 

เครียด

รู้สึกไหมว่าคนไทยมีความเครียดมากขึ้น มีการใช้ความรุนแรงมากขึ้น?

ความรุนแรง หมายถึง พฤติกรรมหรือการกระทำใด ๆ ก็ตามที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทั้งทางร่างกาย วาจา จิตใจ หรือทางเพศ นำมาซึ่งอันตรายหรือความทุกข์ทรมานต่อผู้ถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือจิตใจ 

หากลองพิจารณา ผล ที่เกิด มี เหตุ มาจากอะไร? 

สาเหตุของการใช้ความรุนแรงมีด้วยกันหลายปัจจัย ดังนี้ 

  1. ลักษณะส่วนตัวของผู้ใช้ความรุนแรง 
  • นิสัยที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก 
  • การเลียนแบบผู้ปกครอง คนในครอบครัว ที่มีการใช้ความรุนแรงเป็นประจำ 
  • เลียนแบบจากภาพยนต์ โทรทัศน์ สื่อ หนังสือ ที่มีเนื้อหาการใช้ความรุนแรง 
  • ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนในทางที่ถูกต้อง 
  • เติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การใช้ความรุนแรง
  • ไม่ได้รับความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัวหรือคนรอบข้าง
  • เจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด ที่มีผลต่อการควบคุมตนเอง เช่น โรคจิต โรคประสาท เป็นต้น 
  1. ทัศนคติ ค่านิยม และความหลงผิดของผู้กระทำความรุนแรง ที่นำมาสนับสนุนให้กระทำ เพราะเชื่อว่าตนทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกคนอื่น และไม่ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา 
  1. สังคมและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย เช่น 
  • สภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย 
  • สื่อต่าง ๆ 
  • ได้รับแรงกดดันจากสังคม

แนวโน้มการใช้ความรุนแรงที่ดูเหมือนจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะในรูปของเด็กถูกทำร้ายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การล่วงเกินทางเพศ เด็กถูกทอดทิ้ง การก่ออาชญากรรม การใช้ความรุนแรงระหว่างสามี-ภรรยา ทั้งด้านร่างกาย คำพูด และจิตใจ จนเป็นเหตุให้เกิดการหย่าร้าง การทำร้ายผู้สูงอายุ และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่เราได้ยินข่าวมากขึ้นทุกวัน จนต้องกลับมาย้อนถามกันเองว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ที่ถูกขนานนามว่า สยามเมืองยิ้ม ประเทศแห่งเมืองพุทธ 

การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสังคม 

ก่อนจะไปถึงการแก้ไขที่ปลายเหตุ เราควรป้องกันก่อนจะเกิด เหตุ เพื่อไม่ให้มี ผล ตามมา โดยเริ่มจากสถาบันครอบครัวเป็นอันดับแรก โรงเรียน และชุมชน เพื่อเป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรม 

  • พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรเป็นตัวอย่างของการไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรงแก้ปัญหา เพราะครอบครัวคือจุดเริ่มต้นของการซึบซับตัวอย่างในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน การกระทำของคนในครอบครัวจะเป็นแบบอย่างที่ถูกดูดเข้าไปในเมมโมรี่และนิสัยของเด็ก ที่ต่อให้ถูกสอนด้วยคำพูดที่ดีมีเหตุผล แต่ถ้ายังคงเห็นการกระทำที่รุนแรง คำสอนเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล เช่น เด็กที่มีพ่อเป็นคนใจร้อน และมักจะทำร้ายร่างกายภรรยาหรือคนรอบข้างเป็นประจำ แต่สอนให้ลูกเป็นคนใจเย็น คิดว่าระหว่างคำพูดกับการกระทำของพ่อ เด็กเลือกที่จะเชื่อและทำตามแบบใด? เพราะเด็กจะเรียนรู้จรกสิ่งที่เห็นมากกว่าคำพูดที่ได้ยิน เป็นปกติของเด็กทุกคน จนกว่าจะเติบโตขึ้นและอาจมีความคิดที่ถูกต้องกว่า
  • ให้เด็กได้สัมผัสธรรมชาติตั้งแต่เล็ก เพื่อให้เขาได้รับรู้ถึงการมีสิ่งอื่นอีกมากมายในโลกนี้ เป็นการเชื่อมโยงให้เด็กได้เรียนรู้ว่าไม่ได้มีเพียงตัวเขาให้ยึดถือเอาฝ่ายเดียว และเขาจะสามารถเรียนรู้ในการจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น   
  • ไม่ควรให้เด็กอยู่แต่กับอุปกรณ์สื่อสาร เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสื่อต่าง ๆ มักจะมีความรุนแรงมที่แฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ ที่เด็กยังไม่สามารถแยกแยะเองได้ จึงต้องมีผู้ปกครองคอยอยู่ข้าง ๆ ระหว่างใช้งานเครื่องมือสื่อสารเหล่านั้น เพื่อคอยให้คำแนะนำและสอดแทรกเหตุผล หรือควบคุมในการรับสื่อที่เหมาะสม และถ้าจะให้ดีที่สุดคือ หากิจกรรมที่สร้างสรรค์ ได้เรียนรู้และเสริมสร้างประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสมกับวัย 
  • ผู้ปกครองควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก ให้เด็กได้รู้สึกว่าเขาสามารถคุยและปรึกษากับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง พวกเขาจะได้ไม่ต้องเก็บไว้เพียงลำพัง จนเกิดความเครียดและไม่สามารถหาทางออกได้ จนอาจกลายเป็นปัญหาที่ลุกลามและสร้างความเสียหายหรืออันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น
  • สอนให้เด็กรู้จักและทำความเข้าใจของอารมณ์ต่าง ๆ และรู้วิธีในการรับมือกับอารมณ์เหล่านั้น ทั้งที่เกิดกับตนเองหรือเกิดกับผู้อื่น เมื่อเด็กเริ่มอารมณ์ไม่ดีหรือโกรธ ผู้ใหญ่ควรบอกให้เด็กรู้ว่าเราเข้าใจการโกรธของเขา อย่าเพิ่งดุด่าหรือทำโทษ เช่น “แม่รู้วาหนูโกรธที่น้องเอาตุ๊กตาของหนูไปเล่น” จะทำให้เด็กรู้สึกว่ามีคนเข้าใจเขา ช่วยให้เขารับรู้และเข้าใจในอารมณ์ของตนเอง และจะเป็นจุดที่ทำให้เขารู้จักเห็นใจผู้อื่นในเวลาต่อมา 
  • ผู้ใหญ่ควรค่อย ๆ สอนการจัดการอารมณ์ทางลบกับเด็กในเวลาที่เหมาะสม อย่าเพิ่งไปพร่ำบ่นหรือสอนในเวลาที่เด็กมีอารมณ์ เด็กจะไม่ฟัง แต่ให้สังเกตอารมณ์ของเขา แล้วปล่อยให้เขาหายโกรธหรือหายเศร้าก่อน แล้วค่อยเข้าไปชวนพูดคุย ไถ่ถามความรู้สึก ให้เขาเล่าถึงความรู้สึกของตนเอง จากนั้นค่อยพูดคุยถึงการจัดการกับอารมณ์ของเขา หากกรณีที่เด็กแสดงอารมณ์รุนแรง ปาหรือทำลายสิ่งของพัง อย่าไปดุด่า แต่สอนให้เขารู้จักการรับผิดชอบ เช่น หักค่าขนมเพื่อชดใช้กับของที่เขาทำพัง และแนะนำให้เขาหาวิธีที่สร้างสรรค์เมื่อรู้สึกโกรธหรือหงุดหงิดในครั้งต่อไป โดยเด็กบางคนเมื่อโกรธแล้วจะไปเตะฟุตบอลกับเพื่อน ไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ อารมณ์โกรธพวกเขาจะลดลง เมื่อพวกเขาจัดการกับอารมณ์ได้ดี ก็ให้ชื่นชมและให้กำลังใจ 

การมีอารมณ์และความรู้สึกทางลบนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนมีได้กันทั้งนั้น เพราะไม่มีใครที่ไม่เคยรู้สึกผิดหวัง โกรธ เศร้า หรือเสียใจ แต่วิธีการรับมือและจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นต่างหากที่สำคัญ 

ทำไมปัญหาการใช้ความรุนแรงจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ 

การใช้ความรุนแรงในประเทศไทย

  • ความไม่ใส่ใจปัญหาความรุนแรง ตั้งแต่ปัญหาการใช้กำลังในครอบครัว ที่คนภายนอกคิดว่าไม่ควรเข้าไปยุ่ง และไม่มีใครเข้าไปให้การช่วยเหลือ
  • ธรรมเนียมความเชื่อที่มักจะมองว่าการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ 
  • มีทัศนคติ ความเชื่อ และความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของบุคคล 
  • ไม่ได้รับความใส่ใจและแก้ไขอย่างจริงจังจากผู้มีอำนาจในระดับประเทศ
  • ช่องโหว่ของกฏหมาย และการพลิกแพลงของผู้ถืออำนาจทางกฏหมาย 
  • การไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ทั้งที่มีนโยบายระดับประเทศรองรับ 

หรือจะกล่าวสรุปได้ว่า อุปสรรคของการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในประเทศไทย คือ “คน” ทำให้ กฏหมาย ไม่ศักดิ์สิทธิ์ มันจึงเป็นได้แค่ ตัวหมึกที่เป็นอักษรบนกระดาษ เท่านั้นเอง 

 

ผลจากการประชุมหารือของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ (คกก.) เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2565 ที่ผ่านมา ได้พิจารณาเห็นชอบปรับระดับ “โรคโควิด-19” จาก “โรคติดต่อร้ายแรง” ให้เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” และมีผลบังคับในวันที่ 1 ต.ค. 2565 ที่จะถึงนี้ แล้วรู้หรือไม่ว่า ระหว่าง 2 ระดับนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจทั้งในแง่ของกฏหมายและการป้องกัน เพื่อจะได้เตรียมรับมือและปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์

Details

อีกปัญหาหนึ่งของบ้านที่มักพบได้บ่อยในหน้าฝน คือ ปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึม และส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นกับพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหานั้นในจุด ๆ เดิม การที่รู้ก่อน จะได้รับมือและป้องกันได้ทัน ก่อนปัญหาจะลุกลามจนสร้างความเสียหายให้กับบ้านมากกว่าที่คิด ซึ่งจุดใหญ่ ๆ ที่มักจะเกิดปัญหาเหล่านั้นได้แก่พื้นที่ต่อไปนี้ 

Details

กระแสกลับมาอีกครั้ง หลังจากเริ่มซา ๆ จนนึกว่าจะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว กับคดี  Forex 3D ที่เคยมีกระแสตั้งแต่ปี 2562 เมื่อ ธปท. หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเตือนประชาชนให้ระวังการถูกล่อลวงซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือการ Trade  ค่าเงิน โดยอ้างจะได้เงินปันผลและค่าตอบแทนสูง ที่มีการโฆษณาผ่านเว็บไซต์ และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ 

Details

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไฟฟ้า เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นของการดำรงชีวิตทุกคน และมีการใช้ไฟฟ้าทุกแห่ง ทุกอาคาร บ้านเรือน แม้ว่าไฟฟ้าจะมีประโยชน์มากมาย แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้าน แม้แต่ระบบไฟฟ้าก็เช่นกัน ที่พร้อมจะให้โทษมหันต์ และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินให้วอดวายได้ในพริบตา หากขาดความระมัดระวังในการใช้งาน หรือไม่มีการควบคุมระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัย และแม้แต่การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน  

เรามักจะได้ยินข่าวไฟไหม้อาคาร บ้านเรือน ห้างสรรพสินค้า สถานที่ในแหล่งชุมชนในหลายๆแห่งที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร กระแสไฟฟ้ารั่ว หม้อแปลงระเบิด เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานหรือชำรุดและเก่า ยิ่งช่วงนี้อัคคีภัยเกิดถี่มากขึ้น และพื้นที่เกิดเหตุส่วนใหญ่มักเป็นแหล่งชุมชนแออัด หรือมีคนอาศัยอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะย่านการค้าขาย และตึกอาคารพาณิชย์ในกรุงเทพที่มักจะจำหน่ายวัสดุติดไฟได้ง่าย เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้จึงลุกลามอย่างรวดเร็ว 

ด้วยรูปแบบการอาศัยของวิถีชีวิตคนเมือง ที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารตึกสูง และคอนโดมิเนียมจำนวนมาก เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ การใช้รถกระเช้าลำเลียงหัวฉีดน้ำดับเพลิงเข้าที่เกิดเหตุจะใช้เวลานานนาน เนื่องจากการทำงานของกระเช้าต้องใช้พื้นที่มาก แต่คอนโดมิเนียมและตึกสูงส่วนใหญ่จะมีพื้นที่โดยรอบแคบและจำกัด ทำให้กระเช้าเข้าถึงตัวอาคารได้ยาก ก่อให้เกิดความเสียหายมากมาย กว่าที่เจ้าหน้าที่จะทำการควบคุมสถานการณ์ได้  อีกทั้งเหตุเพลิงไหม้ที่มักจะมีผู้เสียชีวิต มักจะเกิดช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่หลับแล้ว โดยผ่านหลังเที่ยงคืนไปแล้ว จึงไม่ได้มีการระวังตัว ทำให้มีการสำลักควันจนเสียชีวิต 

ดังนั้นการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน อาคารสถานที่ต่างๆ รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงาน สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันเหตุอันตรายที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่การป้องกันการเกิดเพลิงไหม้เท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องผู้อาศัย หรือผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่ จากอุบัติเหตุต่างๆที่เกิดจากกระแสไฟ เช่น ไฟช็อต ไฟดูด ไฟรั่ว เป็นต้น ดังนั้นหากใครที่ต้องการจะติดตั้งระบบไฟฟ้า ควรจะต้องคำนึงหลักการต่อไปนี้เสมอ 

หลักการติดตั้งระบบไฟฟ้าให้ปลอดภัย 

1. ใช้อุปกรณ์ตัดวงจรอัตโนมัติ

อุปกรณ์ตัดวงจรอัตโนมัติ อย่าง Circuit Breaker คืออุปกรณ์สำคัญในการป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ที่จะช่วยปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อาศัยอยู่ในอาคาร หรือจากการใช้งานไฟฟ้าได้มากขึ้น เพราะเมื่อไรที่มีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือมีการใช้กระแสไฟฟ้าเกิน กระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือกระแสไฟฟ้าไหลลงดิน โดยผ่านตัวนำหรือสื่ออื่นๆ และแม้แต่ผ่านร่างกาย อุปกรณ์นี้จะทำการตัดวงจรกระแสไฟฟ้าทันที ทำให้ไม่เกิดอันตรายกับผู้ใช้งาน 

2. ติดตั้งสายดิน

สายดิน เป็นอุปกรณ์ที่มักจะทำงานคู่กับอุปกรณ์ตัดไฟ โดยสายดินนั้นจะติดตั้งอยู่ที่ตัวเมนไฟ ทำหน้าที่ในการช่วยระบายกระแสไฟฟ้าที่ไหลนอกจากวงจรลงสู่พื้นดิน ทำให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือสัมผัสอุปกรณ์ดังกล่าวไม่โดนไฟดูดจนได้รับอันตราย 

3. ติดตั้งตู้คอนโทรล และแยกเบรกเกอร์ของใครของมัน

การติดตั้งระบบไฟฟ้าที่รวมทุกอย่างภายในสวิตซ์เดียวกันหมด เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟสูง เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ เตาอบขนาดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ควรจะแยกสวิตซ์เป็นส่วนๆไป โดยมีตู้คอนโทรลไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งตู้คอนโทรลไฟฟ้า คือ ตู้ที่เป็นจุดศูนย์รวมในการควบคุมระบบไฟฟ้าทั้งหมดภายในอาคาร เพื่อควบคุมระบบการทำงานของไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งกรณีที่อยู่อาศัยรูปแบบบ้าน ห้องชุด อพาร์ทเมนท์มักจะใช้ตู้คอนโทรลระบบไฟฟ้าชนิด Consumer Unit ซึ่งนิยมใช้กับไฟ 1 เฟสเท่า หรือ Load Center สำหรับอาคารขนาดกลางไปจนถึงโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ตู้คอนโทรลไฟฟ้า 3 เฟส จะมีส่วนของสายไฟหลักจากมิเตอร์ไฟฟ้าต่อกับตู้ Breaker อีกที เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอย่างสูงสุด นอกจากนี้อุปกรณ์ยังช่วยป้องกันความเสียหายแก่เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จากฟ้าผ่าในระดับหนึ่งอีกด้วย 

4. เดินสายไฟภายในท่อร้อยสายไฟเสมอ

การติดตั้งระบบไฟฟ้า ควรเดินสายไฟในท่อร้อยสายไฟ ซึ่งอาจเป็นท่อแข็ง หรือเป็นท่ออ่อนก็ได้ โดยเฉพาะการเดินสายไฟในที่ลับตาเช่น ใต้ผนัง ใต้ฝ้า ฯลฯ จะต้องร้อยท่อเสมอ เพื่อป้องกันการชำรุดและความเสียหายที่อาจเกิดจากสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น ฝุ่น น้ำ การกัดแทะของสัตว์และแมลงต่างๆ จนอาจก่อให้เกิดอันตรายจากอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าเสื่อมสภาพ หากเป็นสวิตซ์ด้านนอกบ้านควรติดตั้งชนิดมีฝาปิดกันน้ำเพื่อความปลอดภัย 

5. เลือกขนาดสายไฟให้เหมาะกับการใช้งาน

ขนาดสายไฟในแต่ละสถานที่อาคาร จะต้องเลือกให้เหมาะและเพียงพอต่อการใช้งาน หากเลือกสายไฟขนาดเล็กวางระบบในอาคารที่มีการใช้ปริมาณไฟฟ้าสูง เช่นในอาคารขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือ คลังไฟฟ้าโรงงาน จะทำให้สายไฟมีความร้อนสูง เนื่องจากกระแสไฟสูงเกินกว่าขนาดรองรับของสายไฟ ฉนวนกันไฟฟ้าจะเกิดการละลายได้ จนก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรนั่นเอง 

 6. เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ามีคุณภาพ มีมาตรฐาน และปลอดภัยสูงในการติดตั้ง

การติดตั้งระบบไฟฟ้าให้มีความปลอดภัย ก็ต้องคำนึงถึงมาตรฐานของอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วย ดังนั้นก่อนจะทำการติดตั้งระบบไฟฟ้า หรือจะเปลี่ยนอุปกร์ไฟฟ้าชนิดใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ปลั๊กไฟ สายไฟ คอนซูมเมอร์ ตู้สวิทช์บอร์ด เมนเบรกเกอร์ หรือเบรกเกอร์ย่อย จะต้องเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพเสมอ แบรนด์ของสินค้ามีแหล่งผลิต ศูนย์จำหน่ายหรือบริษัทขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ เป็นที่รู้จักในวงการและท้องตลาด ยิ่งมีกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ก็ยิ่งมีเครดิตที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ช่วยให้มั่นใจถึงคุณภาพและความปลอดภัยของอุปกรณ์ไฟฟ้า ตลอดระยะอายุการใช้งาน

7. ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่เสมอ และเลือกช่างติดตั้งที่ไว้ใจได้ 

บ่อยครั้ง ที่อัคคีภัยและอุบัติเหตุจากไฟฟ้า เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเก่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าที่กำหนด รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าเกิดการชำรุด และเสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้นควรมีการตรวจเช็คอยู่เสมอ และทำการเปลี่ยนใหม่ทันทีหากพบส่วนใดมีการชำรุด โดยส่วนใหญ่แล้วสายไฟจะมีอายุการใช้งานประมาณ 6 – 8 ปี หรือถ้ามีความผิดปกติ เช่น กรอบอุปกรณ์แตก สายไฟเปลี่ยนสี หรือสายหุ้มข้างนอกขาดวิ่นจนเห็นขดลวดข้างใน ก็รีบทำการเปลี่ยนทันที อย่าเสียดายแม้จะยังไม่หมดอายุการใช้งานก็ตาม และควรให้ผู้เชี่ยวชาญหรือช่างไฟฟ้าโดยตรงและที่ไว้ใจได้เป็นผู้เปลี่ยนและซ่อมแซมจะดีที่สุด 

มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ดี ประกอบกับการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูง จะช่วยป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้าและการเกิดอัคคีภัยได้ และไม่ควรลืมที่จะหมั่นตรวจตราอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ได้ทัน และสำหรับใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์ไฟฟ้าคุณภาพดี เพื่อนำไปติดตั้งภายในบ้าน หรือผู้รับเหมาก่อสร้างและช่างติดตั้งระบบไฟให้อาคารต่างๆ ที่ต้องการอุปกรณ์ไฟฟ้าคุณภาพเยี่ยม รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สามารถรองรับระบบปริมาณการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ติดต่อที่ SQD Group ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าของบริษัทชั้นนำระดับโลก ที่ครบครันอุปกรณ์ไฟฟ้าในที่เดียว และเปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน ให้คุณมั่นใจว่าจะได้สินค้าคุณภาพและบริการที่เยี่ยมยอด 

“แมว” ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์รักความสะอาด รักสวยรักงาม เลียขนตกแต่งขนทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้น แมว ก็มีต่อม ๆ หนึ่ง ที่ปล่อยกลิ่นเหม็น จนบางทีทาสอย่างเราๆ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าบอสใหญ่อย่างน้องแมวของเรา จะเหม็นได้ขนาดนี้ (OMG!) 

ต่อมเหม็นแมวคืออะไร 

เพราะต่อมที่ปล่อยกลิ่นเหม็นที่ว่านี้ ก็คือ “ต่อมก้น” (Anal gland)  หรือทาสแมวทาสหมาหลายคนเรียก ต่อมเหม็น นั่นเอง โดยต่อมนี้จะอยู่บริเวณข้างรูก้นน้องแมวน้องหมา ซึ่งต่อมก้นของน้องแมวจะมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว 2 ต่อมข้างๆ รูก้น โดยต่อมก้นจะทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่ง ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของน้องหมาน้องแมวตัวนั้น และเมื่อน้องแมวอึ จะมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ ต่อมก้นจะปล่อยของเหลวออกมาและติดไปกับอึของน้องแมว ทำให้อึของน้องแมวมีกลิ่นเฉพาะตัว เป็นการแสดงอาณาเขต หรือการทำแลนด์มาร์คอีกแบบหนึ่ง เพื่อสื่อสารต่อแมวตัวอื่นๆ ว่านี่ อึฉัน แถวนี้ฉันคุม! 

 

ต่อมก้นนอกจากจะทำหน้าที่ปล่อยกลิ่น แสดงความเป็นเจ้าของอึแล้ว เวลาที่น้องแมวตื่นเต้น ตกใจ กลัว หรือรู้สึกไม่ปลอดภัย ต่อมก้นก็จะปล่อยกลิ่นที่ว่านี้ออกมา คล้าย ๆ กับตัวสกั๊งค์เลยล่ะ และนอกจากจะมีการปล่อยกลิ่นติดไปกับอึ เพื่อแสดงอาณาเขตแล้ว กลิ่นยังคงติดอยู่ที่ขน รอบๆบริเวณก้นด้วย แต่กลิ่นจะจางหายไปเอง เมื่อผ่านพ้นไปในเวลา 2-3 ชั่วโมง 

จำเป็นต้องบีบต่อมก้นน้องแมวไหม

ต่อมเหม็นแมวคืออีกอวัยวะที่สำคัญของน้องแมว เพราะหากต่อมเกิดการอักเสบ ที่อาจเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น การอุดตันของท่อ การติดเชื้อ อายุ เพศ อาหาร หรือแม้แต่แต่การเกิดเนื้องอก และมะเร็ง ก็อาจเกี่ยวโยงกับต่อมก้นนี้ได้ สำหรับการดูแลต่อมเหม็นน้องแมวที่มีสุขภาพปกติ ไม่ได้มีปัญหาหรืออาการอักเสบใดๆ ไม่จำเป็นต้องบีบต่อมก้น แต่เพียงแค่นำสำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดก้นน้องแมวบ่อยๆ นอกจากจะช่วยทำความสะอาดให้น้องแล้ว ยังเป็นเหมือนการนวดให้สบายด้วย แต่ถ้ากรณีน้องแมวมีปัญหา ไม่สามารถขับต่อมข้างก้นออกมาได้เอง ทาสอย่างเรา ๆ ก็จำเป็นต้องคอยบีบต่อมเหม็นแมว เพราะหากปล่อยทิ้งให้มีการสะสมนานๆ อาจทำให้น้องแมวเสี่ยงเป็นต่อมข้างก้นอักเสบได้ ซึ่งส่วนใหญ่น้องแมวที่เลี้ยงระบบปิดมักจะเจอปัญหานี้ได้บ่อยกว่าที่เลี้ยงระบบเปิด 

ต่อมเหม็นแมวบวม อักเสบ

หากน้องแมวปล่อยกลิ่นเหม็นมากกว่าปกติ หรือ น้องแมวมีน้ำเหม็นๆออกมาตลอดเวลา หรือมีลักษณะเป็นน้ำหนองปนเลือด ไถก้นกับพื้น มีอาการท้องผูก ซึม มีไข้ อาจมีไตแข็งข้างต่อมก้น บวมแดง และถ้ามีการอุดตันเป็นเวลานาน อาจทำให้ต่อข้างก้นแตกปะทุออกมาทางผิวหนังข้างก้น ซึ่งอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะต่อมเหม็นแมวอักเสบ ที่ไม่ควรปล่อยปละละเลย 

 

ต่อมเหม็นอักเสบ รักษาด้วยการบีบจริงหรือ

การรักษาต่อมเหม็นอักเสบในน้องแมวจะขึ้นอยู่กับอาการ หากอาการไม่รุนแรง อาจช่วยด้วยการบีบเอาของเหลว เลือด และ หนองที่อยู่ในภายในต่อมข้างก้นออก และให้ยาลดอักเสบที่ตามสัตว์แพทย์สั่งจัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ส่วนกรณีที่ต่อมก้นอักเสบจนฝีแตกออกมาตรงบริเวณผิวภายนอก สัตว์แพทย์จะให้ยาลดอักเสบ และยาปฏิชีวนะ และจะต้องล้างทำความสะอาดแผลทุกวัน จนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ แต่ถ้าหากการรักษาไม่สามารถหายได้ด้วยการให้ยา สัตว์แพทย์อาจจะต้องทำการผ่าตัด เพื่อนำต่อมข้างก้นออก 

ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยง อย่างน้องหมาน้องแมว ได้แนะนำวิธีบีบต่อมเหม็นแมว ต่อมเหม็นสุนัข สามารถทำได้เองง่ายๆ 

  • ยกหางน้องแมว น้องหมาขึ้นให้พ้นรัศมีที่จะบังสายตา หรือกีดขวางขณะที่เราทำการบีบ
  • ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งค่อยๆกดลง บริเวณด้านข้างของรูก้นน้องแมวเบาๆ กดขึ้น-ลง เบาๆ เพื่อให้น้ำหนอง หรือสิ่งที่คั่งค้างภายในท่อออกมา 
  • ใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้านิ่มๆ ชุบน้ำบิดหมาด เช็ดทำความสะอาด 
  • หากทำตอนอาบน้ำจะดีมาก เพราะจะได้ใช้น้ำล้างทำความสะอาดได้เกลี้ยงกว่า

 

การช่วยบีบต่อมเหม็นแมว ต่อมเหม็นหมา จะช่วยลดกลิ่นคาว และช่วยให้สิ่งที่คั่งค้างในท่อได้ระบายออก ลดการอุดตัน ควรทำด้วยแรงเบามือที่สุด เพื่อไม่ให้น้องแมวตื่นตกใจกลัวและรู้สึกเจ็บ จนฝังใจและเครียดทุกครั้งที่ต้องโดนบีบต่อมก้น ทำให้สภาพจิตใจน้องเสียและอาจป่วยได้ ดังนั้นอาจใช้เพียงสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ด สลับกับการบีบต่อมก้นเป็นบางครั้งก็เพียงพอ สำหรับในน้องแมวที่มีสุขภาพปกติ แต่ถ้าเป็นกรณีที่น้องแมวป่วย มีอาการของต่อมก้นอักเสบ ต้องรีบพาไปพบสัตว์แพทย์และดูแลรักษาอย่างถูกต้องตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้น้องแมวไม่มีอาการแทรกซ้อน และมีสุขภาพดี อยู่เป็นบอสใหญ่ของเราไปนานๆ ไม่รีบชิงหนีกลับไปดาวแมว 

 

เพียงแค่เอ่ยว่า “อาหารใต้” ทุกคนย่อมนึกถึงความเผ็ดซี๊ด เครื่องเคราแกงมาเต็ม ใครไม่ไหวอยากใส่เกียร์ถอย แต่ด้วยรสชาติที่อร่อยถึงใจ ทำให้ใครหลายคนสั่นสู้ แม้จะกินไปสูดปากไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าอาหารใต้จะมีแต่ของแรงของเผ็ด เพราะมีอาหารใต้อีกหลายเมนูที่เป็นขวัญใจหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็น เมนูใบเหลียงผัดไข่ สะตอผัดกะปิ หมูหวาน แกงเหลือง คั่วกลิ้ง ขนมจีนน้ำยาใต้ และอีกมากมาย ที่ทั้งอร่อยและจัดจ้านถูกอกถูกใจคนไทยแทบทุกภาค เราได้รวบรวมสูตรอาหารใต้ ที่ทำกินเองได้ที่บ้าน หรือจะนำไปทำขายสร้างอาชีพ ไม่แนนะ..คุณอาจรวยเพราะแกงใต้ก็ได้

1.กุ้งผัดสะตอพริกแกงใต้

สะตอผัดพริกแกงใต้ เมนูยอดฮิต เผ็ดจัดจ้าน เข้มถึงใจ กุ้งผัดสะตอ ได้กินกับข้าวสวยร้อนๆ จานเดียวอาจไม่พอ ไปดูสูตรพริกแกงเผ็ดใต้กันเลย

 

วัตถุดิบ

-สะตอแกะผ่าครึ่ง 100 กรัม 

-กุ้งสดล้างสะเด็ดน้ำ  200 กรัม 

-พริกชีฟ้าสีแดงหั่นแฉลบ 1 เม็ด (มีหรือไม่มีก็ได้) 

-น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

-น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

-น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ

 

ส่วนผสมพริกแกงใต้

-พริกแห้ง 40 กรัม 

-ตะไคร้ 40 กัม 

-หอมแดง 40 กรัม 

-กระเทียม 30 กรัม 

-ขมิ้น 20 กรัม 

-ข่า 10 กรัม 

-ผิวมะกรูด 3 กรัม 

-พริกไทย 15 เม็ด 

-เกลือ 5 กรัม 

-กะปิ 20 กรัม 

 

วิธีทำเครื่องแกงพริกใต้ 

1.นำตะไคร้ ขมิ้น ข่า หอมแดง ซอยเป็นแผ่นเล็กๆ 

2.โขลกพริกแห้งให้ละเอียด จากนั้นใส่พริกไทยเม็ด เกลือป่น แล้วโขลกให้เข้ากันจะละเอียด 

3.ใส่ผิวมะกรูด ข่า ตะไคร้ โขลกให้ละเอียด 

4.ใส่ขมิ้น กระเทียม โขลกให้ละเอียด 

5.ใส่หอมแดง โขลกให้ละเอียด 

6.ใส่กะปิ แล้วโขลกและคลุกให้เครื่องแกงเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน 

 

วิธีทำกุ้งผัดสะตอพริกแกงใต้ 

1.ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน แล้วนำกุ้งลงไปผัดให้สุก

2.ใส่เครื่องแกงไปผัดให้สุก และเคล้ากันจนได้กลิ่นหอมเครื่องแกง 

3.ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ เติมน้ำลงไปเล็กน้อย 

4.ผัดต่อจนสะตอสุก ตักใส่จาน แต่งหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าที่เตรียมไว้ พร้อมเสิร์ฟ 

 

*การผัดสะตอ ผัดให้พอสะตอสะดุ้งความร้อนเท่านั้น เพื่อจะได้สะตอที่กรอบและอร่อย หากผัดนานเกินไป จะทำให้สะตอนิ่มเกินไป แต่ถ้าใครชอบทานสะตอแบบนิ่มๆ ก็สามารถผัดให้นานขึ้น 

2.แกงส้มใต้ 

“แกงส้ม” เป็นแกงรสเปรี้ยวที่มีทั้งในภาคใต้และภาคกลาง แต่เครื่องแกงส้มใต้ส่วนผสมจะใช้ขมิ้น ส่วนใหญ่จะใส่ปลาหรือกุ้ง แต่ที่เรานำมาฝาก จะเป็นสูตรแกงส้มใต้กุ้งสดใส่หน่อไม้ แต่ถ้าใครไม่ชอบหน่อไม้ อาจใส่มะละกอ ยอดมะพร้าวอ่อน และหากใครแพ้กุ้ง ก็เปลี่ยนเป็นเนื้อปลาแทนกุ้ง และสูตรพริกแกงส้มใต้นี้จะใช้พริกแห้ง และน้ำมะขามเปียก

 

วัตถุดิบ

-กุ้งสด 500 กรัม 

-หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดอง(ตามชอบ) ลวก 500 กรัม 

-น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ

-มะนาว 1 ลูก

 

ส่วนผสมเครื่องแกงส้มใต้

-พริกแห้ง 15-20 เม็ด (ตามความชอบเผ็ดน้อย-มาก)  

-ขมิ้น 30 กรัม 

-หอมแดง 7-8 หัว 

-กระเทียม 1 หัว

-กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ

-เกลือป่น 1 ช้อนชา

 

วิธีทำแกงส้มใต้ 

1.นำพริกแห้ง ขมิ้น หอมแดง กระเทียม ไปโขลกให้ละเอียด 

2.ใส่กะปิ และ เกลือป่นลงไปโขลกและเคล้าให้เข้ากัน

3.ต้มน้ำให้เดือด แล้วตักเครื่องแกงส้มลงไปละลายน้ำ ตามด้วยน้ำมะขามเปียก 

4.เมื่อน้ำเดือดจนเครื่องแกงพลุ่ง ใส่หน่อไม้ที่เตรียมไว้ลงไปต้ม

5.เมื่อน้ำเดือดพล่านได้ที่ ให้ใส่กุ้งตามลงไป โดยไม่ต้องคน แล้วปิดฝา 

6.เมื่อกุ้งสุกดี ปิดไฟ แล้วบีบมะนาวลงไป จากนั้นคนให้เข้ารส ก่อนตักเสิร์ฟ 

3.แกงกะทิปูใบชะพลู

แกงกะทิปูใบชะพลูที่เข้มข้นถึงเครื่องแกง จะทานกับข้าวสวยร้อนๆ หรือทานกับขนมจีนก็ได้ อร่อยฟินจนวางช้อนไม่ลง 

 

วัตถุดิบ

-กรรเชียงปู หรือ เนื้อปู (ตามชอบ) 300 กรัม 

-ใบชะพลู 1 ถ้วย 

-น้ำเปล่า 250 มิลลิลิตร 

-น้ำกะทิ 500 มิลลิลิตร (สำหรับแบ่งทำหัวกะทิและหางกะทิ อย่างละ 250 มิลลิลิตร) 

-น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

-น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

 

สูตรพริกแกงกะทิใต้ 

-พริกแห้งแช่น้ำ 15-20 เม็ด 

-ข่าแก่หั่นแว่นบาง 1 ช้อนโต๊ะ

-ตะไคร้ซอย 5 ต้น 

-ขมิ้นสดหั่นบาง 3 ท่อน 

-กระเทียม 3 ช้อนโต๊ะ 

-หอมแดง 6 หัว 

-พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา 

-กะปิ 1 ช้อนชา 

-เกลือป่น  ½  ช้อนชา 

 

วิธีทำแกงกะทิปูใบชะพลู

1.โขลกพริกไทยเม็ดให้ละเอียด ตามด้วยพริกแห้ง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ หอมแดง และเกลือ โขลกให้ละเอียด

2.ใส่กะปิตามลงไปแล้วโขลกให้เข้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน 

3.ตั้งหม้อบนเตาแก๊สใช้ไฟปานกลาง ใส่หัวกะทิที่เตรียมไว้ลงในหม้อ ต้มให้เดือด

4.เมื่อกะทิเดือด ตักเครื่องแกงใส่ลงไป คนให้ละลาย

5.นำกะทิที่เหลือ (ส่วนที่แบ่งไว้ทำหางกะทิ) ผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน แล้วใส่ลงในหม้อ 

6.เมื่อน้ำแกงเดือดพล่าน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ กะปิ และ เกลือป่น 

7.ใส่กรรเชียงปู (หรือเนื้อปู) ตามด้วยใบชะพลูซอยลงไป คนให้เข้ากัน 

8.เมื่อแกงเริ่มเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ ยกลงจากเตา 

9.ตักแกงกะทิฯใส่ถ้วย แต่งหน้าด้วยการนำกะทิมาราดเล็กน้อยให้พอสวยงาม พร้อมเสิร์ฟ 

4.สูตรแกงไตปลาภาคใต้

ด้วยรสชาติอันเผ็ดร้อนถึงใจ และเอกลักษณ์ของพริกแกงไตปลาใต้ที่ไม่เหมือนใคร ทำให้เป็นอีกเมนูอาหารปักษ์ใต้ที่ติดติดใจใครหลายคนๆ เพราะกินกับข้าวสวยร้อนๆ ไม่ว่าจะเป็นสูตรแกงใตปลาแห้ง หรือไตปลาน้ำ ก็อร่อยฟิน กินจนลืมอิ่ม เพราะหรอยได้แรงอกนิ เราจึงไม่พลาดที่จะนำวิธีแกงไตปลาปักษ์ใต้มาฝาก ตั้งแต่วิธีทำพริกแกงไตปลาใต้ไปจนถึงการทำแกงไตปลา ครบทุกขั้นตอน 

 

ส่วนผสมแกงไตปลาภาคใต้

-เนื้อปลาทูย่าง 1 ถ้วย 

-ไตปลาทู ½ ถ้วย 

-น้ำเปล่า 2-3 ถ้วย 

-หน่อไม้ ½ ถ้วย 

-มะเขือเปราะ ½ ถ้วย 

-ถั่วฝักยาวหั่นท่อน ½ ถ้วย 

-น้ำมะขามเปียก ½ ถ้วย 

-ตะไคร้ 2 ต้น 

-ข่า 1 แง่ง 

-หอมแดง 2 หัว 

-ใบมะกรูดฉีก 4 ใบ 

-กะปิ ½ ช้อนโต๊ะ 

 

วัตถุดิบ

-พริกแห้ง 15-20 เม็ด 

-กระเทียม 1 หัว 

-หอมแดง 2 หัว 

-พริกไทยขาว 1 ช้อนโต๊ะ

-พริกไทยดำ 1 ช้อนโต๊ะ 

-ตะไคร้สับ 1 ต้น 

-ขมิัน 1 แง่ง 

-ผิวมะกรูด 1 ลูก 

 

วิธีทำพริกแกงไตปลา

1.ตำพริกแห้งให้ละเอียด ใส่ตะไคร้สับ ขมิ้น และผิวมะกรูดตามลงไป แล้วโขลกให้ละเอียด 

2.ใส่หอมแดง กระเทียม โขลกให้เข้ากันดี 

3.นำพริกไทยดำและพริกไทยขาวไปแยกตำให้ละเอียด 

4.นำพริกไทยที่แยกตำมาใส่เครื่องแกงและโขลกจนเครื่องแกงทั้งหมดละเอียดและเป็นเนื้อเดียวกัน 

5.ยกหม้อขึ้นตั้งเตา ใส่หอมแดง ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูดฉีก

6.ใส่น้ำมะขามเปียกเล็กน้อยเพื่อดับคาว (ใส่มากเกินไปจะทำให้แกงเปรี้ยว) 

7.ใส่ไตปลาและน้ำเปล่า ตั้งไว้ให้เดือด 

8.เมื่อแกงเดือดได้ที่ ปิดไฟ ยกขึ้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ ตั้งพักไว้ 

 

วิธีทำแกงไตปลาใต้

1.ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด ตามด้วยเครื่องแกงที่โขลกไว้ 

2.ใส่กะปิ ใบมะกรูด ไตปลาที่ต้มและพักไว้ก่อนนี้ 

3.เมื่อน้ำเดือดพล่านได้ที่ ใส่มะเขือเปราะ หน่อไม้ เนื้อปลาย่าง และ ถั่วฝักยาว 

4.เมื่อน้ำเดือดและดูว่าทุกอย่างสุกดีแล้ว จากนั้นปิดไฟ พร้อมตักเสิร์ฟ 

5.ใบเหลียงผัดไข่

เมนูจากผักพื้นบ้านประจำภาคใต้ และมักจะมีใครหลายคนที่พูดว่า มาถึงถิ่นใต้ ต้องห้ามพลาดเมนูผัดใบเหลียง

 

วัตุดิบ

-ใบเหลียง 200 กรัม 

-ไข่ไก่ 3 ฟอง 

-กุ้งเสียบ (สำหรับโรยหน้า) 

-กระเทียม 1 ½ ช้อนโต๊ะ

-ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ

-ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ

-น้ำมัน

 

วิธีทำใบเหลียงผัดไข่

1.ล้างใบเหลียงให้สะอาด สะเด็ดน้ำและพักไว้

  1. เด็ดใบเหลียง โดยเลือกเอาแต่เฉพาะใบอ่อน และใบที่ไม่แก่เกินไป หรือถ้าใบใหญ่ไปก็ให้เด็ดครึ่ง 

3.ตั้งกระทะ ใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันให้ร้อน 

4.ใส่กระเทียมสับลงไปผัดให้เหลืองและมีกลิ่นหอมเจียว 

5.ใส่ใบเหลียงลงไปผัดพอให้ผักสลดเล็กน้อย 

6.ตอกไข่ใส่ลงไป แล้วปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและซอสหอยนางรม

7.ยีไข่และผัดให้คลุกเคล้ากับใบเหลียง

8.ปิดไฟ ยกกระทะ ตักผัดฯ ใส่จานแล้วโรยด้วยกุ้งเสียบก่อนเสิร์ฟ 

 

เพียงแค่ 5 เมนูสุตรอาหารใต้รสเด็ดที่เราได้นำมาฝาก ก็สามารถทำทานเองได้ที่บ้านง่ายๆ ให้หรอยถึงอกถึงใจ หรือนำไปปรับเป็นสูตรเฉพาะเพื่อต่อยอดในการสร้างรายได้ก็ดีไม่น้อยเลย เพราะอาหารใต้ไม่ได้มีดีแค่เพียงความหรอยแรง แต่ยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยส่วนผสมที่เต็มไปด้วยสมุนไพรไทย ที่เป็นยาในรูปแบบของอาหาร ตรงกับคำที่ว่า “ทานอาหารให้เป็นยา ดีกว่าทานยาเป็นอาหาร” 

 

“สงกรานต์” หรือ ตรุษสงกรานต์ ถือเป็น “วันปีใหม่ไทย” ที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน กิจกรรมและการละเล่นในวันสงกรานต์ ที่ยึดถือเป็นประเพณี และจัดทำขึ้นในวันสงกรานต์นี้ คนไทยทุกคนจะรู้ว่ามีการเล่นน้ำ ปะพรมแป้ง รดน้ำพระหรือสรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อให้ผู้น้อยแสดงความกตัญญู ส่วนผู้ใหญ่ก็แสดงความเมตตาให้พรแก่ลูกหลาน  แต่จะกี่สักมากน้อยที่จะรู้ที่มาของ ประเพณีสงกรานต์ และนางสงกรานต์ นั้นมีที่มาอย่างไร เราจะมาสืบรู้ประวัติวันสงกรานต์ ที่คนไทยควรจะรู้ในบทความนี้กันดีกว่า 

คำว่า “สงกรานต์” เป็นภาษาสันสกฤต มีความหมายถึง การเคลื่อนย้าย ซึ่งในที่นี้คือการเคลื่อนย้ายของจักรราศี หรือเป็นการเลื่อนวันสู่การขึ้นปีใหม่ ตามความเชื่อของคนไทย และในบางประเทศแถบโซนเอเชีย อีกทั้งยังเป็นวัฒนธรรมร่วม ระหว่างประเทศไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา จีน และ ศรีลังกา โดยมีการสันนิษฐานว่า สงกรานต์เป็นประเพณีที่มีอิทธิพลมาจาก เทศกาลโฮลี ของประเทศอินเดีย ที่จะมีการจัดขึ้นทุกปีในเดือนมีนาคม โดยมีกิจกรรมเป็นการสาดผงสี ในขณะที่ประเทศไทยจะเป็นการรดปะพรมน้ำ  

แม้ว่ามีหลายประเทศในเอเชียมีประเพณีสงกรานต์ แต่จะมีความแตกต่างกันไป ทั้งการกำหนดวันประเพณี รูปแบบ และกิจกรรมอื่นๆ แต่สำหรับในประเทศไทย วันสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13 – 15 เมษายน ของทุกปี อีกทั้งยังกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ที่คนทั่วไปมักจะเรียกกันติดปากว่า “วันหยุดสงกรานต์” 

ก่อนที่จะมีการถือเอา วันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ไทย ได้มีการยึดเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ที่อยู่ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน หรือเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว เป็นการเริ่มต้นปี หรือวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาในสมัยกรุงสุโขทัย ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามคติพราหมณ์ ให้วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 (เมษายน) เป็นวันปีใหม่ จนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนอีกครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยกำหนดให้วันปีใหม่ไทย ตรงกับวันที่ 13 เมษายน เมื่อปี พ.ศ. 2432 จนกระทั่งปี พ.ศ.2483 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบสากล โดยที่คนไทยก็ยังคงระลึกถึงวันที่ 13 เมษายน เป็นวันปีใหม่ไทย และยังคงมีการสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว ขอพรผู้ใหญ่ จนได้มีการกำหนดให้เป็นวันสงกรานต์มาจนถึงปัจจุบัน

ประเพณีรดน้ำดำหัว

การรดน้ำดำหัว เป็นประเพณีดั้งเดิมของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติกันในครอบครัว หรือหมู่ญาติ คนสนิท ไม่ว่าจะรดน้ำดำหัวพ่อแม่ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่เคารพ โดยการใช้น้ำรด ปะพรม เพื่อคลายร้อนและเพิ่มความสดชื่นให้แก่กัน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน พิธีสงกรานต์จะมีกิจกรรมหลักๆ ดังนี้ 

  • ทำบุญตักบาตรตอนเช้า 
  • สรงน้ำพระที่บ้าน พระพุทธรูปที่มีอยู่ในบ้าน 
  • ไปทำบุญฟังธรรมที่วัด และสรงน้ำพระที่วัด 
  • ขนทรายเข้าวัด เพราะเชื่อว่าเป็นการขนทรายคืนวัด ที่เราเคยเดินเหยียบทรายในวัดติดออกไป 
  • รดน้ำพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่เคารพ เพื่อแสดงความเคารพ เป็นการขอขมาวันสงกรานต์ ที่เคยล่วงเกิน และขอพรจากผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล
  • รดน้ำสงกรานต์ ปะพรมน้ำ ละเล่นการสาดน้ำ 

นางสงกรานต์

วันสงกรานต์ ก็ย่อมต้องมี “นางสงกรานต์” แต่มีใครรู้ถึงความเป็นมาของนางสงกรานต์บ้างไหมเอ่ย?

ได้มีการจารึกถึงประวัตินางสงกรานต์โดยย่อในศิลาจารึก ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) มีใจความว่าดังนี้

เมื่อครั้งที่ ธรรมบาลกุมาร ซึ่งเป็นเทพบุตร ได้รับคำสั่งจากพระอินทร์ให้ลงไปเกิดในครรภ์ภรรยาเศรษฐี และเมื่อธรรมบาลที่เกิดเป็นมนุษย์ได้เติบโตขึ้น ได้เรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เพียง 7 ขวบ และเรียนรู้ภาษานกจนสามารถเข้าใจได้  จนได้ถูกยกให้เป็นอาจารย์คอยให้คำปรึกษาแก่คนทั้งหลาย จวบจนวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้เสด็จลงมาเพื่อสอบถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ หากธรรมบาลกุมารตอบได้ ท้าวกบิลพรหมก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารแทน ธรรมบาลกุมารได้ตอบรับ แต่ขอเวลา 7 วัน สำหรับการให้คำตอบ

ผ่านไป 7 วัน ท้าวกบิลพรหมก็ได้มาหาธรรมบาลกุมารอีกครั้งตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะคำตอบที่ธรรมบาลได้เตรียมไว้ให้ ซึ่งเขาได้ยินมาจากนกนั้น ทำให้ท้าวกบิลพรหมต้องพ่ายแพ้ แต่เนื่องจากเศียรของท้าวกบิลพรหมเป็นที่รวมแห่งความไม่ดีทั้งปวง หากตกถึงพื้น ไฟจะไหม้โลก หากโยนขึ้นบนอากาศก็จะทำให้ฝนแล้ง แต่ถ้าทิ้งลงในแม่น้ำหรือมหาสมุทร น้ำจะเหือดแห้ง ดังนั้น ก่อนที่จะตัดเศียร ท้าวกบิลพรหมจึงได้เรียกธิดาทั้ง 7 องค์ ซึ่งเป็นนางฟ้า ให้เอาพานมารองรับ โดยธิดาทั้ง 7 จะต้องคอยผลัดเปลี่ยนดูแลเศียรของท้าวกบิลพรหม และทำหน้าที่อัญเชิญเศียรท้าวกบิลพรหม แห่รอบเขาพระสุเมรุ โดยใช้เวลา 60 นาที ก่อนจะนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธุลี ณ เขาไกรลาศ ผลัดเวียนเปลี่ยนกันอย่างนี้ทุกๆปี โดยธิดาแต่ละองค์ จะเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ นี่จึงเป็นที่มาของ นางสงกรานต์ นั่นเอง 

เมื่อถึงวันสงกรานต์ตรงกับวันใด จะมีนางสงกรานต์ประจำวันนั้นๆทำหน้าที่ และถูกกล่าวถึง โดยมีชื่อนางสงกรานต์ทั้ง 7 วัน ได้แก่ 

  • นางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์  :  นางทุงษเทวี
  • นางสงกรานต์ประจำวันจันทร์    :  นางโคราดเทวี 
  • นางสงกรานต์ประจำวันอังคาร   :  นางรากษสเทวี 
  • นางสงกรานต์ประจำวันพุธ        :  นางมัณฑาเทวี 
  • นางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดี : นางกิริณีเทวี 
  • นางสงกรานต์ประจำวันศุกร์      :  นางกิมิทาเทวี 
  • นางสงกรานต์ประจำวันเสาร์     :  นางมโหทรเทวี 

วันมหาสงกรานต์ 2565 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน ดังนั้น นางสงกรานต์ ปี 2565 จึงเป็นนางกิริณีเทวีโดยทรงพาหุรัด ทัดดอกมณฑา มีอาภรณ์เป็นแก้วมรกต พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จยืนมาบนหลังกุญชร (ช้าง) 

สำหรับ เทศกาลสงกรานต์ 2565 นี้ ยังคงอยู่ในช่วงโรคระบาดโควิด-19 จึงอาจยังไม่สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ แต่เราก็รักษาประเพณีไทยดั้งเดิมไว้ได้ ด้วยการสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว ขอพรผู้ใหญ่ในบ้าน ทำบุญออนไลน์ ชวนลูกหลานสวดมนต์ที่บ้าน หรือขนทรายเข้าวัด ส่วนสำหรับการเล่นน้ำ สามารถใช้อุปกรณ์ขันตักน้ำ หรือปืนฉีดน้ำขนาดเล็กที่ไม่อันตราย และใช้วิธี ริน รด พรม อย่างสุภาพ โดยสามารถเล่นได้ที่บ้าน หรือในพื้นที่มีการจัดงานที่เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรคระบาดเท่านั้น เพื่อได้เล่นกันอย่างสนุก และสืบสานประเพณีไทยอย่างปลอดภัยถ้วนหน้า 

 

ใครที่กำลังหาทริคดีๆในการจัดบ้านถูกหลักฮวงจุ้ย แต่จะให้ซินแสมาช่วยตรวจสอบดูแล ก็อาจไม่สะดวก บทความนี้มีทริคในการจัดบ้านตามฮวงจุ้ยง่ายๆ ที่สามารถจัดตามเองได้โดยไม่ยาก ไม่ต้องทุบ รื้อ ถอน ให้ยุ่งยาก และไม่ต้องสิ้นเปลืองจนงบบานปลาย เพียงแค่ใช้เวลาที่สะดวกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยเรียกทรัพย์เสริมดวง ดึงดูดโชคลาภ และความสุขสมบูรณ์เข้ามาสู่คนในบ้าน 

หน้าบ้านเปิดโล่งรับทรัพย์ 

หลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน บริเวณหน้าบ้าน โดยเฉพาะลานที่ตรงกับประตู เปรียบเป็นโต๊ะทานข้าว ส่วนประตูก็เปรียบเหมือนกับปาก ที่รอรับอาหาร เมื่อเป็นบ้าน ก็รอรับพลังงานดีๆเข้ามาในบ้าน ดังนั้น..หน้าบ้านจึงไม่ควรมีข้าวของหรือสิ่งกีดขวางใดๆ หรือแม้แต่รองเท้าก็ไม่ควรถอดขวางหน้าประตูบ้าน แต่ควรถอดวางบนชั้นหรือเก็บใส่ตู้ให้อยู่ด้านใดด้านหนึ่ง และไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะลมจะพัดพากลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เข้าสู่ภายในบ้าน ถือว่าผิดหลักฮวงจุ้ย 

 

ประตูบ้านห้ามตรงกับประตูห้องน้ำ

ประตูหลักเข้าบ้าน ไม่ควรตรงกับประตูห้องน้ำ พอเปิดประตูเข้าบ้านแล้วเห็นประตูห้องน้ำตรงหน้า ถือว่าผิดหลักฮวงจุ้ยบ้าน และควรหลีกเลี่ยง เพราะประตูบ้านคือทางเข้าของพลังงาน ในขณะที่ประตูห้องน้ำเป็นแหล่งของพลังไม่ดี จะทำให้พลังงานลบไหลเวียนทั่วบ้าน ส่งผลให้คนในบ้านมีแต่ความวุ่นวาย แต่ถ้าเป็นบ้านสำเร็จรูป ไม่สะดวกต่อการแก้ไข ก็แก้ด้วยการนำมู่ลี่มาติดไว้หน้าประตูห้องน้ำ นำเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถบังได้ เช่น ตู้ผ้า ฉากกั้น ฯลฯ วางบังหน้าประตูห้องน้ำแทน 

 

เปิดประตู-หน้าต่างรับทรัพย์ 

เปิดประตูและหน้าต่างเพื่อรับพลังงานดีๆ เรียกเงินเรียกทองเข้าบ้าน โดยไม่จำเป็นต้องเปิดทั้งวัน แต่เปิดเพื่อรับลมและอากาศใหม่ๆเข้าสู่บ้าน เพราะลมจะนำพาออกซิเจน โชคลาภเข้าบ้าน เปิดประตู หน้าต่างช่วงเช้าเพื่อรับอากาศใหม่ของวัน หากบ้านไหนที่ติดกับการเปิดแอร์ ก็ลองเปิดประตู-หน้าต่างรับลม เพื่อให้อากาศเก่า รวมถึงเชื้อโรคที่คั่งค้างได้ถ่ายเทออกไป เปลี่ยนลมใหม่ๆเข้ามา และเป็นการเรียกโชค เรียกเงินเรียกทองเข้าบ้านด้วย 

รับแสงสว่างเข้าบ้าน 

แสงสว่าง เป็นพลังหยาง ซึ่งบ้านที่ดีตามหลักฮวงจุ้ยควรจะมีแสงสว่างเข้าบ้านที่เพียงพอ เพื่อให้มีพลังหยาง พลังแห่งความเคลื่อนไหว ไหลเวียนอยู่ในบ้าน แต่ถ้ามากเกินไป จะทำให้มีแต่ความเร่งรีบ ไม่ค่อยได้พัก เหนื่อยและเคร่งเครียดเกินไป จึงควรจัดให้มีแสงได้อย่างพอดี ให้เหมาะกับตำแหน่งที่ใช้งาน อย่างตั้งโต๊ะอ่านหนังสือ หรือโต๊ะทำงานที่แสงสว่างจากภายนอกสามารถส่องเห็นได้ และติดตั้งแสงไฟสีขาว เพื่อจะได้ไม่เสียสายตา แต่อาจติดไฟวอร์มไลท์บริเวณมุมพักผ่อน เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้ก็ควรมีไฟสว่างเพียงพอที่เป็นบริเวณทางเดินต่างๆ เพราะเหมือนมีพลังงานนำทาง และยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุ

 

หิ้งพระหันหน้าทิศเหนือหรือทิศตะวันออก

ห้ามหันไปทางทิศตะวันตกหรือใต้ ห้ามหันหน้าเข้าประตูห้องน้ำ การติดตั้งหิ้งพระไม่ควรต่ำหรือสูงเกินไป แต่ควรให้สูงขึ้นเหนือศีรษะเล็กน้อย ที่เราพอจะนำธูป-เทียน เครื่องบูชาขึ้นไปวางได้อย่างสะดวก แต่ก็ไม่ควรต่ำจนเดินผ่านหัวชนหิ้งพระได้ เพราะจะเป็นอันตรายกับคนในบ้านเวลาเดินผ่านได้ 

 

หัวนอนห้ามอยู่หน้าห้องน้ำ / ห้ามตรงกับประตู / ห้ามหันหลังให้ประตู

ไม่ควรหันหัวนอนตรงกับประตูห้องน้ำ หน้าต่างและประตู หรือแม้แต่หันหลังให้ประตู เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้เดือดร้อน มีแต่ปัญหาเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่ที่จริงแล้วการที่เราไม่ควรหันหัวนอนไปยังหน้างต่าง ประตู และห้องน้ำ ก็เพราะว่าจะมีลม มีความชื้นพัดเข้ามาตลอดเวลา ทำให้ประทะกับพลังงานตรงตัว และยังทำให้ศีรษะเราได้รับความชื้น เป็นสาเหตุที่จะทำให้เราป่วยไข้ไม่สบายได้ จึงควรจัดตั้งเตียงเยื้องประตู แต่ยังมองเห็นประตูได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถย้ายเตียงได้ เพราะอาจมีพื้นที่จำกัด หรือเตียงติดกับพื้น เคลื่อนย้ายไม่สะดวก ให้แก้ด้วยการนำเฟอร์นิเจอร์ เช่น โซฟา เก้าอี้ มาวางที่ปลายเตียง ส่วนหน้าต่างตรงหัวนอนนั้น ให้แก้ด้วยการติดผ้าม่านและปิดหน้าต่างเวลานอน 

 

บันไดบ้าน

ไม่ควรจัดที่นั่งบริเวณใต้บันได เพราะอาจส่งผลให้คนในบ้านอารมณ์หงุดหงิดง่าย สุขภาพย่ำแย่ แต่ถ้าพื้นที่จำกัด หรือไม่สามารถย้ายตำแหน่งที่นั่งได้ ควรติดไฟเพิ่มแสงสว่าง เพราะใต้ท้องบันไดเปรียบเหมือนท้องมังกร ควรเสริมด้วยไฟ 3 ดวง เพื่อเสริมทรัพย์ เสริมมงคลตามหลักฮวงจุ้ย

 

ฮวงจุ้ยห้องครัวที่ถูกต้อง

  • ห้องครัวต้องสะอาดเสมอ ตามความเชื่อ ห้องครัวเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของบ้าน เป็นห้องที่ต้องปรุงและทำอาหารให้ทุกคนในบ้านทาน ดังนั้นห้องครัวจึงต้องมีความสะอาดอยู่เสมอ หากห้องครัวมีความสกปรก อาจทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย เพราะด้วยเรื่องของสุขอนามัยด้านอาหาร 
  • ประตูครัวห้ามตรงกับเตาไฟ ห้ามตั้งเตาไฟตรงกับประตูครัว เพราะจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและปัญหาสุขภาพของคนในบ้าน แต่สามารถแก้ไขโดยการตกแต่งด้วยของใช้สีเหลืองหรือสีน้ำตาล 
  • ห้ามตั้งเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้าตรงทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะเป็นตำแหน่งลดอำนาจหัวหน้าครอบครัว หรือแก้เคล็ดด้วยการวางน้ำพุเล็กๆ ใกล้ตำแหน่งเตา เพื่อลดพลังธาตุไฟ 
  • อย่าตกแต่งห้องครัวด้วยสีแดง เพราะห้องครัวเป็นธาตุไฟอยู่แล้ว จึงไม่ควรไปเสริมด้วยสีแดงอีก
  • ตำแหน่งเตา ไม่ควรอยู่ระหว่างอ่างล้างจานกับตู้เย็น เพราะเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความเศร้า 

 

ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงาน

โต๊ะทำงานไม่ควรอยู่ใกล้ประตูหรือทางเดิน เพราะจะทำให้เจอแต่เรื่องวุ่นวาย ไม่สงบ และไม่มีสมาธิในการทำงาน แก้ด้วยการนำต้นไม้จริงมาจัดวางตกแต่งบนโต๊ะ เพื่อช่วยลดทอนความแรงตามฮวงจุ้ย และถ้าโต๊ะทำงานที่ข้างหน้าเป็นทางเดิน หรือมีทาง 3 แพร่งพุ่งตรงเข้ามาที่โต๊ะ ให้แก้ฮวงจุ้ยด้วยการนำแก้วคริสตัลมาวางด้านหน้าหรือบริเวณมุมโต๊ะทำงาน

 

ตู้ปลาเสริมมงคล

บ้านควรมีตู้ปลาเพื่อเสริมความมั่งคั่งร่มเย็นของคนในบ้าน และควรเป็นปลาที่มีชื่อเป็นมงคล เช่น ปลาเงิน ปลาทอง ปลามังกร ปลาคาร์ฟ ส่วนจำนวนของปลาก็ควรเป็นเลขที่เป็นสิริมงคล อย่างเลข 1 ,6 , 8 หรือ  9 

จัดตกแต่งตามธาตุ

โหราศาสตร์จีนตามหลักฮวงจุ้ยบ้าน จะจัดวางตกแต่งทุกสิ่งรอบตัวด้วยการอิงตามธาตุ และทิศทางต่างๆ ดังนั้นการจัดฮวงจุ้ยบ้านรับทรัพย์ เสริมโชค เสริมลาภให้กับคนอยู่อาศัยในบ้าน ก็ควรทำตามระบบธาตุ ในการปรับฮวงจุ้ยบ้านขั้นสูง ซินแสจะมีการเสริมธาตุที่ดีให้ตรงกับธาตุของเจ้าของบ้าน หรือให้ตรงแต่ละบุคคล 

  • ทิศเหนือ : ทิศธาตุน้ำ ควรตกแต่งด้วยน้ำพุ หรือวัตถุทรงกลม ที่มีความโค้งมน มีความแวววาว ใช้สีน้ำเงิน สีฟ้า สีขาว สีเงิน สีทอง สีเทา สีดำ ห้ามตกแต่งบ้าน สีครีม สีเหลือง สีส้ม สีโอรส สีน้ำตาล 
  • ทิศใต้ : ทิศธาตุไฟ ประดับตกแต่งด้วยวัตถุทรงกระบอก ทรงสูง ทรงปิระมิด ตกแต่งด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ใช้สีเขียว สีชมพู สีแดง ห้ามตกแต่งบ้าน สีน้ำเงิน สีฟ้า สีเทา สีดำ 
  • ทิศตะวันออก และ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ : ทิศธาตุไม้ ตกแต่งด้วยน้ำพุ ต้นไม้ วัตถุทรงสูง ใช้สีน้ำเงิน สีฟ้า สีเขียว สีเทา สีดำ ห้ามตกแต่งบ้าน โลหะ สีเงิน และสีทอง 
  • ทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ : ทิศธาตุทอง ตกแต่งด้วยโลหะ เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา ทรงกลม มีความแวววาว สีน้ำตาล สีเงิน สีทอง สีครีม สีเหลือง สีส้ม สีโอรส ห้ามตกแต่งบ้าน สีแดง และ สีชมพู
  • ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ : ทิศธาตุดิน ตกแต่งด้วยเซรามิก เครื่องปั้นดินเผา สีครีม สีเหลือง สีส้ม สีน้ำตาล สีชมพู สีแดง สีโอรส ห้ามตกแต่งบ้าน สีเขียว 

 

รูปปั้นสิ่งมงคล 

ควรมีรูปปั้นที่เป็นมงคล เช่น รูปปั้นฮกลกซิ่ว (ความมั่งคั่งร่ำรวย และโชคลาภ) รูปปั้นเด็ก (ความสุข ความสดใส พลังงาน ความสมบูรณ์) รูปปั้นมังกร (ความยิ่งใหญ่ อำนาจ บารมี)  รูปปั้นเต่า (อายุยืนยาว)  รูปปั้นนกอินทรีย์ (ตำแหน่งหน้าที่การงาน) จัดวางตกแต่งในห้องรับแขก เพื่อเสริมบ้านฮวงจุ้ยในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเรียกทรัพย์ เรียกโชคลาภ เงินทอง ความมีอายุยืน ความสุขสมบูรณ์แก่คนในบ้าน 

 

ของประดับเติมความหวาน

ทริคของการจัดบ้านเพื่อเติมความหวานให้กับคู่รัก ให้แต่งประดับด้วยของฝาก ของที่ระลึก หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ซื้อตอนมีทริปด้วย ช่วงฮันนีมูน หรือแม้แต่ของที่ทั้งสองฝ่ายชอบ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสุข และเวลาดีๆที่มีร่วมกัน แขวนกระดิ่งลมตามระเบียงเพื่อดึงดูดสิ่งมงคลเข้าบ้าน หรือตกแต่งด้วยสีชมพู ชมพูอมส้ม เสริมรักให้หวานและมั่งคง

ห้องน้ำ 

  • ประตูห้องน้ำ ควรปิดประตูห้องน้ำเสมอ เพื่อปิดรับพลังงานไม่ดี รวมไปถึงกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และเชื้อโรคไหลเวียนภายในตัวบ้าน บ้านตามหลักฮวงจุ้ยที่ดี ควรมีห้องน้ำในมุมหลบ และต้องปิดประตูห้องน้ำไว้เสมอ หรืออาจนำมู่ลี่มาติดหน้าประตูห้องน้ำ 
  • กระจก กระจกในห้องน้ำต้องสะอาดอยู่เสมอ 
  • ห้ามมีอะไรอุดตันในห้องน้ำเด็ดขาด 
  • ห้ามแต่งห้องน้ำด้วยสีแดง และสีทอง ส่งผลกระทบความรักความสัมพันธ์ และคนโสดยิ่งหาคู่ยาก
  • ห้องน้ำไม่ควรอยู่ติดกับห้องครัว เพราะห้องน้ำและห้องครัวเป็นธาตุไฟทั้งคู่ ถ้ารื้อแก้ไม่ได้ ก็แก้ไขโดยการย้ายสุขภัณฑ์ทุกชิ้นไปอยู่ตรงข้ามกับผนังที่ติดกับห้องครัว 

ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการจัดบ้านตามฮวงจุ้ยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เองง่ายๆ ที่นอกจากจะได้จัดบ้านให้น่าอยู่ มีสุขอนามัยที่ดีแล้ว ยังช่วยส่งเสริมเรื่องความเป็นสิริมงคล โชคลาภ และโภคทรัพย์ ให้คนอยู่อาศัยสุขสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เสริมสิริมงคลภายนอกด้วยการจัดบ้านฮวงจุ้ยแล้ว เพิ่มเติมด้วยประพฤติตนในศีลในธรรม เพื่อเสริมสิริมงคลภายใน ส่งเสริมฮวงจุ้ยทั้งทางวัตถุและจิตใจไปด้วยกัน ให้คนในบ้านมีความสุขสมบูรณ์อย่างแท้จริง 

 

ไม่ว่าคุณจะกำลังลดขนาดการจัดเก็บทรัพย์สิน เตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศ หรือต้องการเพิ่มพื้นที่ภายในบ้านเพียงเล็กน้อย และมีความต้องการให้ทรัพย์สินของคุณถูกเก็บไว้ที่ที่ปลอดภัย สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา การเช่าพื้นที่จัดเก็บสิ่งของเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับคุณ Details