ช่วงนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนฟ้าคะนอง เราเคยได้แนะนำการป้องกันตนเองในช่วงอากาศร้อนจัดกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาแนะวิธีการป้องกัน “ฟ้าผ่า” กันบ้าง เพราะช่วงนี้มีผนตกหนักหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากอิทธิพลร่องมรสุม และหลาย ๆ พื้นที่อาจเจอกับฝนฟ้าคะอง ลมกรรโชกแรง อาจมีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดขึ้นได้ เราจึงต้องระวังอันตรายจากฟ้าผ่าเป็นพิเศษ เนื่องจากความรุนแรงของฟ้าผ่าทำให้เสียชีวิตได้ 

 

สาเหตุฟ้าผ่าเกิดจากอะไร 

ฟ้าผ่า ภาษาอังกฤษเรียกว่า Thunder คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุอิเล็กตรอนภายในก้อนเมฆเดียวกัน หรือระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆ หรือ ระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน ที่มีความต่างกันระหว่างขั้วบวกและขั้วลบ เช่น ด้านล่างของก้อนเมฆก้อนหนึ่งมีประจุลบ เคลื่อนผ่านพื้นดินที่มีประจุบวก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น กลายเป็นฟ้าผ่าลงบนพื้นดินในบริเวณนั้น หรือ ด้านบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งมีประจุลบ และด้านบนก้อนเมฆใกล้ ๆ กันมีประจุบวก เมื่อเคลื่อนที่ใกล้กัน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า กลายเป็นฟ้าผ่าระหว่างก้อนเมฆซึ่งเรามักจะมองไม่เห็น แต่สำหรับนักบินหลายคนเลยทีเดียวที่มีโอกาสได้เห็นฟ้าผ่าแบบนั้น 

วิธีป้องกันฟ้าผ่า 

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะมีลมกรรโชก ฝนฟ้าคะนอง รีบเข้าหลบในที่ปลอดภัย 
  • อยู่ให้ห่างจากเสาไฟฟ้าแรงสูง สายไฟ หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และข้างตึกสูง ๆ  
  • อย่ายืนใต้ต้นไม้สูง รวมทั้งบริเวณใกล้ต้นไม้สูง อย่าอยู่ในที่สูง หรือใกล้ที่สูง ๆ 
  • หากอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะเกิดฟ้าคะนอง หาที่หลบไม่ทัน ให้นั่งชันเข่า เขย่งเท้า โดยให้เท้าแตะสัมผัสพื้นให้น้อยที่สุด และซุกศีรษะเข้าระหว่างเข่า
  • เลี่ยงการสัมผัสน้ำ เพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้า 
  • หากอยู่ในรถขณะเกิดฟ้าผ่า ปิดกระจกให้สนิท ห้ามสัมผัสตัวถังรถเด็ดขาด
  • ห้ามนอนราบกับพื้น หรือนั่งราบไปกับพื้น เพราะกระแสไฟฟ้าอาจวิ่งมาตามพื้น
  • ถอดเครื่องประดับหรือวัตถุต่าง ๆ ที่เป็นโลหะออกจากร่างกายให้หมด เพราะโลหะเป็นสื่อนำไฟฟ้า 
  • อย่าสัมผัส หรือ ให้ร่างกายโดนวัตถุที่เป็นโลหะทุกชนิด ขณะที่มีฝนฟ้าคะนอง หรือ ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ 
  • หากอยู่ภายในอาคาร ขณะฟ้าร้อง ฟ้าผ่า อย่าอยู่ใกล้ประตู หรือ หน้าต่างที่เป็นโลหะ 
  • อยู่ให้ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถอดสาย เพราะอาจเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรจนเกิดประกายไฟ 
  • ถอดสายไฟอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้หมด รวมถึงสายอากาศ สายโทรศัพท์ สายโมเด็ม ก่อนเกิดฝนฟ้าคะนอง (เมื่อเริ่มมีลมแรง หรือ มีเสียงฟ้าร้อง) อย่าทำเมื่อขณะเกิดฟ้าคะนอง 
  • อยู่ให้ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถอดสายทุกชนิด 
  • ไม่ควรถือร่มที่มีปลายเหล็กแหลมในที่โล่ง เพราะเสี่ยงต่อการล่อสายฟ้า อาจทำให้ฟ้าผ่าได้ 
  • ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือในที่โล่งแจ้ง ขณะฟ้าคะนอง มีฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ลมกรรโชกแรง และอาจฟ้าผ่าได้  
https://ihealzy.com/

 

อาการของคนถูกฟ้าผ่า 

  • ปากซีด ริมฝีปากเขียว 
  • สีหน้าซีดเซียว หรือ สีเขียวคล้ำ
  • ชีพจรบริเวณคอเต้นเบา หรือ เต้นช้ามาก 
  • ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมาก หรือ ไม่เคลื่อนไหว
  • ม่านตาขยายค้าง ไม่หดเล็กลง 
  • หมดสติ ไม่รู้สึกตัว 

การปฐมพยาบาลคนถูกฟ้าผ่า 

  • สังเกตบริเวณโดยรอบยังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้าใช่ ให้รีบเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยเข้าที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันตัวเราเองถูกฟ้าผ่า
  • โทรแจ้งขอความช่วยเหลือ สายด่วน 1669 
  • ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ เราสามารถให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันที เพราะคนถูกฟ้าผ่าจะไม่มีกระแสไฟหลงเหลือ ต่างจากคนถูกไฟช็อต ไฟดูด 
  • สังเกตอาการของคนถูกฟ้าผ่า หากบาดเจ็บ หมดสติ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ให้รีบทำการปั๊มหัวใจด้วยวิธี CPR ทันที เพื่อช่วยเรียกสัญญาณชีพกลับมา จนกว่าเจ้าหน้าที่ หรือรถพยาบาลฉุกเฉินมารับตัวผู้ประสบภัยฟ้าผ่า 

เมื่อความร้อนในเมืองไทยสูงปรี๊ดแตะ 40 องศาเซลเซียส แถมดวงอาทิตย์ไม่ปราณีเมตตาแก่ใครทั้งนั้น บางพื้นที่อากาศร้อนจัดจนวัดได้เกือบ 50 องศาฯ ทำให้ทั้งคนและสัตว์ดิ้นรนหาที่พึ่งหนีร้อนกันทุกวิถีทาง ซึ่งมีการคาดว่าหน้าร้อนปีนี้ ประเทศไทยคงหนีสภาพอากาศร้อนจัดเช่นนี้ไม่พ้นตลอดเดือนเมษายน หรืออาจยาวต่อเนื่องอีกหลายเดือน เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนที่นับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน ดังนั้นเราต้องหาวิธีคลายร้อน และป้องกันอาการฮีทสโตรกที่อาจเกิดขึ้นตามมา

นักวิจัยชาวญี่ปุ่น โทชิอากิ อิจิโนเสะ (Ichinose Toshiaki) จากสถาบันแห่งชาติเพื่อการศึกษาสิ่งแวดล้อมได้ค้นพบว่า สีเสื้อผ้าที่เลือกสวมใส่นั้นมีส่วนสำคัญ และสามารถช่วยคลายร้อยลงได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดย โทชิอากิ กล่าวว่า พวกเขาได้ทำการทดสอบนำเสื้อผ้าทั้งหมด 9 สี ได้แก่ สีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน สีเขียวเข้ม สีเขียว สีแดง สีเหลือง และสีขาว สวมใส่ทับหุ่น จากนั้นนำไปวางไว้กลางแดดเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที ก่อนจะนำไปตรวจสอบหาปริมาณการดูดซับความร้อนของเสื้อผ้าแต่ละสี เพื่อหาเสื้อสีที่ดูดความร้อนน้อยที่สุด และเสื้อสีอะไรดูดกลืนความร้อนมากที่สุด 

เสื้อสีอะไรไม่ดูดความร้อน และ เสื้อสีอะไรดูดความร้อนมากที่สุด 

หลังจากทำการทดสอบผลปรากฏว่า เสื้อสีขาว ใส่แล้วให้ความร้อนน้อยที่สุด หรือซับความร้อนได้น้อยสุด เนื่องจากเป็นสีสะท้อนแสง โดยให้ความร้อนตามสภาพอากาศในเวลานั้น โดยมีเสื้อสีอื่น ๆ ที่เหลือตามมา ซึ่งเรียงลำดับตามความร้อนน้อยที่สุด ไปจนถึงเสื้อสีที่ใส่แล้วร้อนมากที่สุด ได้แก่

  • เสื้อสีขาว
  • เสื้อสีเหลือง 
  • เสื้อสีแดง 
  • เสื้อสีม่วง 
  • เสื้อสีน้ำเงิน 
  • เสื้อสีเขียว 
  • เสื้อสีเขียวเข้ม 
  • เสื้อสีดำ ดูดความร้อนมากที่สุด 

โดยเสื้อสีดำมีอุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าเสื้อทุกสีที่ใช้ในการทดสอบ ดังนั้นในช่วงเวลาที่อากาศร้อน ๆ แสงแดดแผดเผาเหมือนกำลังซ้อมอยู่ในนรกเช่นนี้ ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ๆ เข้าไว้ และควรเป็นผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่กักเก็บเหงื่อ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าเรยอน ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศในเมืองไทย เก็บเสื้อผ้าหนา ๆ แนวแฟชั่นเมืองหนาวใส่ตู้ เข้ากรุไปก่อน เพื่อความสบายตัว และป้องกันไม่ให้เกิดฮีทสโตรกท่ามกลางอากาศร้อนดุดันไม่เกรงใจใครเช่นนี้ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสื้อผ้า เป็น 1 ใน ปัจจัย 4 ของคนเรา จากเครื่องนุ่งห่มที่จำเป็น สู่ความสวยงามของแฟชั่น และ เอกลักษณ์ของแบรนด์ธุรกิจ รวมถึงลักษณะกิจการอาชีพ ด้วยความหลากหลายในการใช้งานที่แตกต่างกันนี่เอง จึงมีการผลิตเนื้อผ้าแต่ละชนิดขึ้นมา เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อการใช้งานมากที่สุด 

ปัจจุบันเนื้อผ้า (fabric) ที่นำมาใช้ตัดเย็บเสื้อผ้า ชุดยูนิฟอร์ม กระเป๋า รองเท้า มีหลากหลายมาก เช่น 

  • ผ้าลินิน  (Linen)
  • ผ้าฝ้าย  (Cotton)
  • ผ้าไหม  (Silk) 
  • ผ้าซาติน (Satin) 
  • ผ้าใยสังเคราะห์ (Polyester) / ผ้า (Nylon) 
  • ผ้าใยผสม : ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม ฝ้าย ,ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม ลินิน , ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม วิสโคส และ ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม ลูเร็กซ์  เป็นต้น 

 

หากเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นหรือชุดลำลอง การเลือกเนื้อผ้าหรือดีไซน์ก็จะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล แต่สำหรับชุดแต่งกายหรือแบบฟอร์มสำหรับองค์กรและธุรกิจ ย่อมขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแบรนด์นั้น ๆ ที่จะต้องมีการเลือกสรรให้ดีที่สุด ทั้งในรูปแบบ ดีไซน์ และเนื้อผ้า เป็นไปในลักษณะทางเดียวกัน และส่งเสริมให้กับภาพลักษณ์ขององค์กร เพราะมีงานวิจัยว่า ชุดยูนิฟอร์ม มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าและบริการในแบรนด์ ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้า และความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร เพราะชุดยูนิฟอร์มช่วยสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นมืออาชีพ และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียกได้ว่าองค์กรและแบรนด์ต่าง ๆ สามารถสร้างกำไร และเครดิตชื่อเสียงได้อย่างคุ้มค่าจากยูนิฟอร์มที่ดีนั่นเอง 

ชุดยูนิฟอร์มแต่ละองค์กร แต่ละสถานที่ก็จะมีความแตกต่างกันไป ของรูปแบบดีไซน์ และลักษณะเนื้อผ้า แต่ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้เนื้อผ้าที่มีความคงทน ดูแลง่าย ยับยาก คงรูปทรง น้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ค่อนข้างดี และแห้งเร็ว เพราะยูนิฟอร์มจะต้องใช้ใส่กันแทบตลอดวัน และหมุนเวียนใส่ทุกวัน ดังนั้นเนื้อผ้าที่จะนำมาตัดเป็นชุดยูนิฟอร์ม หรือแม้แต่ผ้ากันเปื้อนที่จะต้องใช้ทุกวันในธุรกิจการค้า จะต้องมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ และอำนวยความสะดวกให้กับผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่มักจะเป็น “ผ้าโพลีเอสเตอร์”

 

ผ้าโพลีเอสเตอร์คืออะไร

หลาย ๆ คนอาจไม่แน่ใจว่า ผ้าโพลีเอสเตอร์ เป็นยังไง เคยได้ยินและเคยเห็นป้ายแท็กบนเสื้อผ้า แต่ไม่รู้แตกต่างจากผ้าชนิดอื่น ๆ ยังไง ผ้าโพลีเอสเตอร์ คือ เส้นใยสังเคราะห์ ที่ผลิตผ่านกระบวนการเคมี 

ผ้าโพลีเอสเตอร์ (Polyester) คือเส้นใยสังเคราะห์ที่ผลิตจากพลาสติก (PET) เพื่อทดแทนการใช้เส้นใยธรรมชาติ ที่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเป็นปฏิกริยาจากกระบวนการเคมี Ethylene Glycol และ กรด Terephthalic เส้นใยโพลีเอสเตอร์จึงมีความเหนียว ทนทาน  และดูแลง่าย เป็นที่นิยมในการนำไปผลิตเป็นสิ่งทอหลากหลายรูปแบบ ทั้งรองเท้า กระเป๋า และเสื้อผ้า เช่น ยูนิฟอร์ม เสื้อผ้ากีฬา สูท เป็นต้น แต่ถึงแม้ว่าผ้าโพลีเอสเตอร์จะถูกผลิตจากพลาสติก แต่ก็สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และนำกลับมารีไซเคิล เพื่อวนต่อการใช้ใหม่ได้ จากเส้นด้ายหรือเศษผ้า จึงนับว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

Multi color fabric texture samples

 

คุณสมบัติของผ้าโพลีเอสเตอร์

นอกจากความเหนียว ทนทาน และดูแลง่ายแล้ว ผ้าโพลีเอสเตอร์ ยังมีความยืดหยุ่น สัมผัสนุ่ม ไม่ยับง่าย ทนความร้อน น้ำหนักเบา เนื้อผ้าแห้งเร็วเพราะไม่ดูดซับความชื้น ไม่อมน้ำ ทำให้ไม่เกิดเชื้อรา ระบายอากาศได้ดี ทำให้สวมใส่สบาย และมีความหดตัวน้อยกว่าผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น การดูแลรักษาผ้าโพลีเอสเตอร์ ไม่ยุ่งยาก ซักมือและซักเครื่องได้ตามปกติ สามารถทำความสะอาดได้ด้วย ผงซักฟอก สารฟอกขาว หรือ สบู่ และเนื่องจากผ้าโพลีเอสเตอร์ยับยาก จึงไม่จำเป็นต้องรีด หรือรีดด้วยไฟอ่อนๆ ก็เพียงพอ  

 

และเนื่องจากผ้าที่มีส่วนผสมของโพลีเอสเตอร์ เป็นผ้าชนิดเดียวที่สามารถนำมาพิมพ์ลายผ้าระบบซับลิเมชั่น (Sublimation) จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการนำมาตัดเป็นฟอร์มพนักงาน เสื้อผ้าแฟชั่น ผ้าพันคอ ชุดกีฬา เสื้อผ้าออกกำลังกาย เสื้อช็อป และชุดเสื้อผ้าที่ต้องสกรีนชื่อองค์กร แบรนด์ ทีม เป็นต้น 

 

Sublimation หรือ การพิมพ์ผ้าระบบซับลิเมชั่น คือ การพิมพ์ภาพลงบนกระดาษด้วยน้ำหมึกซับลิเมชั่น โดยเริ่มจากพิมพ์ภาพลงบนกระดาษซับลิเมชั่น จากนั้นนำกระดาษที่พิมพ์ไปวางบนเสื้อ แล้วรีดด้วยความร้อนหรือเครื่องรีดโรล โดยการกดทับเพื่อถ่ายเทน้ำหมึกจากกระดาษลงบนเนื้อผ้า ซึ่งเนื้อผ้าที่ใช้ในการพิมพ์ซับลิเมชั่นจะต้องมีส่วนผสมของใยสังเคราะห์ Polyester และหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเส้นใยธรรมชาติ อย่าง ผ้าฝ้าย มาใช้ 

ผ้าโพลีเอสเตอร์ถูกนำไปผลิตหรือผสมกับวัสดุอื่น ๆ เพื่อให้ได้คุณสมบัติและผิวสัมผัสที่แตกต่างกัน และให้ตรงกับประเภทงานที่จะนำไปใช้ ได้อย่างหลากหลายขึ้น เนื้อผ้าที่ทำจากโพลีเอสเตอร์ จึงมีมากมายในวงการถักทอ เช่น 

 

  • ผ้าโซล่อน เป็นผ้าเนื้อหนาปานกลาง มีการทอลายทั้งสองด้าน มีส่วนผสมของ Polyester 100% จึงทำให้ผ้าชนิดนี้ เหมาะกับงานสรีน Sublimation นิยมนำไปตัดเย็บที่หลากหลาย ทั้ง เสื้อ กางเกง เสื้อกาวน์ ชุดสูท ผ้าคลุมต่างๆ เช่น ผ้าคลุมตัว ผ้าปูโต๊ะ ผ้ากันเปื้อน หรือแม้แต่การตัดทำชุดคอสเพลย์ เพราะคุณสมบัติของผ้าโซล่อนคือ อยู่ทรง เน้นท์สีอะคริลิคได้ สามารถทำให้แข็งได้โดยเคลือบแป้งให้หนา และยังสามารถทำให้ผ้าพริ้วหรือนิ่มได้ ด้วยการลดการเคลือบแป้งให้น้อยลง 

 

  • ผ้าลีวาย เป็นผ้าเนื้อหนาปานกลาง มีเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ผสมค่อนข้างมาก ทำให้มีคุณสมบัติที่ดี คือ ฝุ่นไม่ติดเนื้อผ้า สามารถซักทำความสะอาดคราบสิ่งสกปรกออกได้ง่าย แม้จะเลอะคราบเลือดก็ตาม ยับยาก แทบไม่ต้องรีด แต่ถ้าต้องการจะรีด ต้องใช้ไฟอ่อน หริอหาผ้าอื่นมาทับก่อนรีด เพราะไม่เช่นนั้นผ้าจะขึ้นเงา ดูแลรักษาง่าย แต่ไม่ซับเหงื่อ มีสีให้เลือกพอสมควร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโทนสีสุภาพทั่วไป หรือออกไปค่อนข้ามสีเข้ม 

 

  • ผ้าโอซาก้า ผ้าโฟร์เวย์ เนื้อผ้าสวย ไม่แนบเนื้อ สวมสบาย มีน้ำหนักทิ้งตัว ไม่ยับง่าย 

 

  • ผ้าร่ม มีลักษณะเนื้อบางเบา แนบผิว ไม่ซับน้ำ ไม่อุ้มน้ำ แห้งเร็ว เนื้อเส้นด้ายทอแน่น กันฝุ่นได้ดี ซึ่งเรามักจะเห็นผ้าร่มนี้ได้ทั่วไป จากผ้าเสื้อกันลม ชุดกันฝน หรือนำไปทำร่ม 

ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของผ้าแต่ละชนิดที่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์ มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งานนี้เอง การ ผู้ประกอบการต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจการทอผ้า หรือผู้รับเหมาตัดเย็บชุด จะต้องมีความรู้ลักษณะ คุณสมบัติ ความแตกต่างของเนื้อผ้า และการนำผ้ามาใช้ให้เหมาะกับงาน เพราะหากนำชนิดผ้าที่มีคุณสมบัติซับน้ำได้ดี ไปทำผ้ากันเปื้อน นั่นเป็นการใช้งานผ้าที่ผิด และทำให้เกิดความเสียหายได้ ไหนๆก็พูดถึงผ้ากันเปื้อนแล้ว หากธุรกิจใดที่ต้องใช้ผ้ากันเปื้อนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นระบบองค์ใหญ่ หรือธุรกิจขนาดเล็ก ที่กำลังมองหาชนิดของผ้า เพื่อนำมาใช้สั่งตัดทำผ้ากันเปื้อน สำหรับประกอบในกิจการของตน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้เนื้อผ้าชนิดใดดี เรามีเนื้อผ้า 3 ชนิด ที่เหมาะสำหรับการทำผ้ากันเปื้อนมากๆ และยังเป็นที่นิยมเป็นอันดับต้นๆ ในการทำผ้ากันเปื้อน ได้แก่ 

 

1.ผ้าโซล่อน (Solon fabric)

เนื้อผ้าโซล่อน หนาปานกลาง ประกอบไปด้วยเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ( Polyester 100%) โดยมีการทอ เป็นลายทั้งสองด้าน และสามารถทำให้ผ้ามีความแข็งมาก หรือให้มีความพริ้ว อ่อนนุ่ม ก็ได้ จากลักษณะการเคลือบแป้ง หากต้องการให้ผ้าแข็ง ก็เคลือบแป้งให้หนา แต่ถ้าต้องการให้ผ้าพริ้วและนุ่ม ก็ลดการเคลือบแป้งให้น้อยลง อีกทั้งผ้าโซล่อนคุณสมบัติไม่ซับน้ำ จึงเหมาะกับการใช้งานในครัวได้ดี ที่อาจจะต้องมีการโดนน้ำได้ง่าย 

 

2.ผ้าโอซาก้า (Osaka fabric) 

ผ้าโอซากา หรือ ผ้าโฟร์เวย์ ผ้าทอที่มีลักษณะกึ่งแข็ง เป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ 100% เช่นกัน เนื้อผ้าสวย ไม่แนบเนื้อ สวมสบาย มีน้ำหนักทิ้งตัว ไม่ยับง่าย ไม่รีด สวมใส่ได้ง่าย มีความทนทาน ไม่ซีดจางง่าย แม้จะสวมใส่บ่อยแค่ไหนก็ตาม 

 

3.ผ้าโทเร (Toray fabric)

ผ้าโทเร เป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ผสม ระหว่าง Polyester 65% และ Cotton 35% มีชนิดเส้นด้าย 190 เส้น และ 210 เส้น ซึ่งจะนิยมเรียกชื่อตามจำนวนเส้นที่ทอ ด้วยการเรียกว่า ผ้าโทเร 190 และผ้าโทเร 210 โดยผ้าโทเร 190 จะมีจำนวนเส้นด้ายทอน้อยกว่าและบางกว่าผ้าโทเร 210 แต่เนื่องจากผ้าโทเรจะเป็นผ้าที่ค่อนข้างบาง จึงเหมาะกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว 

Cotton flower on the table

 

ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างของเนื้อผ้าที่ได้รับนิยม สำหรับนำมาใช้ตัดเป็นผ้ากันเปื้อน หรือแม้แต่ชุดฟอร์ม ที่ต้องการความทนทาน อยู่ทรง ยับยาก แต่ดูแลง่าย สวมใส่สบาย ที่ผลิตมาจากผ้าโพลีเอสเตอร์ แต่ถ้าต้องการศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ เพื่อนำมาใช้ประกอบในการตัดสินใจ สำหรับธุรกิจหรือองค์กร สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านผ้า เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าจะได้คำแนะนำที่ดีที่สุดในเรื่องของเนื้อผ้าอย่างแน่นอน 

 

เชื่อว่าเจ้าของกิจการโรงแรม-รีสอร์ทและผู้ที่กำลังจะเปิดธุรกิจที่พักหรือสปา คงประสบปัญหาไม่น้อยกับการเลือกผ้าปูที่นอนสีขาวแบบโรงแรมและผ้าคลุมเตียงโรงแรมอย่างไรให้ได้มาตรฐาน เป็นผ้าปูเกรดโรงแรมคุณภาพสูงไว้บริการลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบริการของทุกกิจการที่พัก บทความนี้เราจึงมีวิธีการเลือกผ้าปูที่นอนแบบโรงแรมมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ทราบ

 

ชุดผ้าปูโรงแรมมีมาตรฐานดูจากอะไร

1.ชุดผ้าปูที่นอนโรงแรมนิยมใช้สีขาว

โรงแรมและรีสอร์ทส่วนใหญ่เลือกใช้ผ้าปูที่นอนโรงแรมสีขาว เพราะดูสะอาดตา mix & match ได้ทุกสไตล์การตกแต่งและเฟอร์นนิเจอร์อื่นๆ และยังแสดงถึงความสะอาด แต่ถ้าต้องการเพิ่มความหรูหราสำหรับผ้าปูโรงแรม5ดาวบางแห่งก็อาจเลือกใช้ผ้าปูที่นอนลายริ้วโรงแรมเพราะให้ประกายเงาดุจไหมสวยงาม

 

2.ชนิดของผ้าปูที่นอนโรงแรม

ผ้าปูที่นอนสีขาวโรงแรมจะมีหลายสเปคผ้าขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าดังนี้

  • ผ้าtc180t ผ้าผสมระหว่างใยฝ้ายและโพลีเอสเตอร์  เนื้อผ้าจะแข็ง ทนต่อการซักล้างสูง
  • ผ้าc220t เป็นผ้าCotton 100% ผ้าไม่หดหรือย้วยหลังผ่านกระบวนการซัก
  • ผ้าc250t ผ้าใยฝ้ายแท้ มีโครงสร้าง 250 เส้น เส้นทอเรียบ ซักแล้วไม่หด เนื้อผ้าเย็นสบาย ใช้นานแค่ไหนก็ไม่เป็นขุย 
  • ผ้าc300t เป็นผ้าคอตตอนที่มีโครงสร้าง 300 เส้น / ตารางนิ้ว เนื้อผ้าแน่น จึงมีอายุการใช้งานได้นาน 
  • ผ้า Soft tex 360t เป็นผ้าผสม Polyester ที่นิยมใช้มากขึ้นในปัจจุบัน

 

3.ประเภทผ้าปูที่นอนตามมาตรฐานโรงแรม 

ผ้าปูแบบโรงแรมที่นิยมใช้กันมี 2 แบบ ดังนี้ ผ้าปูที่นอนแบบรัดมุม (Cover) และ ผ้าปูที่นอนไม่รัดมุม (Flat Sheet) 

ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทนิยมใช้เป็นผ้าปูสีขาวโรงแรมเพราะเนื่องจากกฏหมายกำหนดไว้เป็นมาตรฐานสำหรับชุดผ้าปูที่นอนโรงแรมที่มีคุณภาพ และผ้าต้องทนต่อการซักอุตสาหกรรม ทนต่อน้ำยาซักผ้าขาว สามารถทนต่อการซักในน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส 

 

วิธีปูผ้าปูที่นอนแบบโรงแรม

นอกจากการเลือกผ้าปูที่นอนให้ได้มาตรฐานโรงแรมแล้ว การปูผ้าปูที่นอนให้ตึงก็เป็นอีกมาตรฐานหนึ่งที่ขึ้นชื่อของธุรกิจที่พักและโรงแรม เพราะทำให้รู้สึกถึงความเรียบร้อย สะอาด มั่นใจได้ถึงการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนผืนใหม่ เพราะการปูที่นอนให้ตึงจะทำให้เห็นรอยได้ง่ายหากมีการใช้งาน ซึ่งการปูที่นอนแบบโรงแรมหลักๆเลยจะมี2แบบคือ การปูแบบผ้า3ผืนและการปูแบบดูเว่

 

1.วิธีปูผ้าปูที่นอนโรงแรมแบบผ้า3ผืน คือการปูผ้าแบบ3ชั้น ด้วยผ้าปูที่นอนแบบไม่รัดมุม โดยมีขั้นตอนดังนี้ 

 

  • ปูผ้าปูโรงแรมผืนล่างสุด ใช้ผ้าปูที่นอนไม่รัดมุม โดยเริ่มจากการคลี่และสบัดผ้าคลายออก จับส่วนปลายผ้าด้านหนึ่งแล้วโยนผ้าลงบนเตียงไปถึงหัวเตียง เน้นให้เส้นกลางรอยพับของผ้าอยู่กลางเตียง เพื่อให้ผ้าด้านซ้าย-ขวามีขนาดเท่ากัน แล้วสบัดผ้าคลี่ออกให้คลุมทั่วที่นอน ปล่อยปลายผ้าให้ได้สัดส่วนทั้งสี่มุม จากนั้นดึงผ้าปูที่นอนให้ตึงทุกด้าน เก็บผ้ามุมหัวเตียงทำมุม 45 องศา หรือ 90 องศา ตามขนาดผ้าและเตียง แล้วสอดปลายผ้าเข้าใต้ที่นอน ทำวิธีเดียวกันกับผ้าปลายเตียงให้ครบทั้ง 4มุม และสอดปลายผ้ารอบเตียงที่เหลือเข้าใต้ที่นอนให้หมด 
  • ปูผ้าปูที่นอนโรงแรมผืนที่สอง (bed sheet) ให้ปูผ้าเอาด้านในขึ้นโดยหงายด้านตะเข็บขึ้น (เพราะผ้าด้านในจะมีความนุ่มลื่นกว่าด้านนอก จึงต้องปูให้ด้านที่นุ่มสัมผัสกับผิวเมื่อนอนบนเตียง) ให้ปลายผ้าปูที่นอนพอดีกับด้านบนของเตียงนอน ดึงผ้าให้เรียบตึง แต่ปล่อยปลายผ้าไว้โดยไม่ต้องสอดเข้าใต้เตียง เพราะผ้าผืนนี้ไว้สำหรับห่มกับผ้านวม 
  • ปูผ้านวม (blanket) ปูทับบนผ้าผืนที่สอง โดยให้วางห่างจากด้านบนเตียงประมาณ 15 เซ็นติเมตร แล้วปูผ้าผ้าปูเตียงโรงแรมผืนที่สามทับลงบนผ้านวม เหมือนการปูผ้าผืนที่สองแต่ให้คว่ำตะเข็บผ้าลง 
  • พับและตกแต่ง พับผ้าปูทั้งสองจากส่วนด้านบนเตียงนอนประมาณ 15 เซ็นติเมตรเข้าหาผ้านวมและพับอีกรอบ จากนั้นสอดทั้งผ้าปูและผ้านวมสอดเหน็บเข้าใต้ปลายเตียง และสอดปลายผ้าปูเหน็บเข้าใต้ที่นอนตามความยาวเตียง แล้วดึงไปทางหัวเตียงให้ขนานไปกับที่นอน และปิดท้ายด้วยการเหน็บมุมผ้าเข้ากับผ้านวมสอดเก็บเข้าไปในใต้ที่นอนด้วยกัน จากนั้นอาจตกแต่งด้วยผ้าคาดเตียง หรือหมอนอิงต่างๆ แล้วแต่ไอเดีย เพื่อให้ดูโมเดิร์น และน่านอนมากขึ้น 

 

2.วิธีปูเตียงโรงแรมแบบ Duvet วิธีการปูเตียงแบบดูเว่คือการปูเตียงโรงแรมแบบผ้านวม(ปลอกดูเว่-ไส้นวม) จะมีอุปกรณ์หลักสำคัญ 5 อย่าง ได้แก่ ผ้ารองกันเปื้อน ผ้าปูที่นอนสําหรับโรงแรม ปลอกหมอน ดูเว่ และ หมอน โดยมีขั้นตอนในการปูดังต่อไปนี้

  • นำผ้ารองกันเปื้อน(bed pad) ปูบนที่นอน โดยผ้ารองนี้จะมีสายรัด4มุม สามารถสอดสายรัดเข้าที่นอนได้เลย 
  • นำผ้าปูที่นอนปูคลุมทับผ้ารองกันเปื้อน ซึ่งการปูผ้าแบบดูเว่จะใช้ผ้าปูที่นอนเพียง 1 ผืนเท่านั้น โดยวิธีการปูผ้าปูที่นอนจะเหมือนกับการปูที่นอนแบบผ้า 3 ผืน 
  • ปูผ้าดูเว่ เริ่มจากการนำปลอกดูเว่มาพลิกเอาด้านในไว้ด้านนอก วางผ้าดูเว่กางไว้บนที่นอน แล้วนำไส้นวมมาวางบนปลอกผ้าดูเว่ ปกติไส้นวมจะมีโลโก้ ให้นำโลโก้ของไส้นวมวางไว้ด้านล่างคือปลายเตียง ที่ปลอกดูเว่และไส้นวมจะมีเชือกหัวมุม ให้มัดเชือกปลอกดูเว่กับไส้นวมให้ทั้งสองติดกันทุกด้าน มัดโดยการขมวดปมให้สะดวกตอนแกะนำไปซัก เมื่อมัดครบทุกจุดแล้วให้ทำการกลับผ้าดูเว่ เพื่อนำไส้นวมเก็บเข้าไปในปลอกและเอาปลอกด้านนอกที่เรากลับด้านไว้ตอนแรกออกมาสู่ข้างนอก สบัดดูเว่เพื่อเป็นการจัดไส้นวมและปลอกให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ปูลงบนผ้าปูที่นอนและเก็บปลายผ้าหัวเตียงและปลายเตียงสอดใต้เตียงด้วยวิธีเดียวกันกับปูผ้าปูที่นอน แต่ไม่ต้องเก็บผ้าด้านข้าง ปล่อยชายด้านข้างไว้ทั้งสองข้าง พับผ้าดูเว่ตรงหัวเตียงประมาณ 1 ฝ่ามือ พับทบลงมา 2 ทบ แล้วรีดให้เรียบให้ดูดี 
  • นำหมอนใส่ปลอกหมอน แล้วนำหมอนจัดวางบนหัวเตียง 

 

เคล็ดลับการปูผ้าที่นอนแบบโรงแรมคือการเก็บปลายผ้าหัวเตียงทั้งสองด้านก่อน แล้วมาดึงปลายผ้าปลายเตียงให้ผ้าปูที่นอนเรียบตึง โดยอาจใช้หัวเข่าดันที่นอนและใช้มือทั้งสองดึงปลายผ้า เมื่อผ้าตึงดีจนพอใจแล้วก็เก็บปลายผ้าเหน็บใต้เตียง หลังจากนั้นก็เก็บขอบผ้าด้านข้างซ้าย-ขวาที่เหลือ

วิธีเลือกโรงงานผลิตผ้าปูที่นอนมาตรฐานโรงแรม6ดาว

ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทต่างๆจะต้องใช้ผ้าปูที่นอนจำนวนมากสำหรับห้องพัก จึงต้องสั่งซื้อหรือตัดกับโรงงานเย็บผ้าปูที่นอนเพื่อทำการขายส่งผ้าปูที่นอนโรงแรม และชุดผ้าปูที่นอนราคาโรงงานยังช่วยลดต้นทุนให้กับเจ้าของกิจการ โดยปัจจุบันโรงงานตัดเย็บผ้าปูที่นอนมีเยอะมาก และผ้าปูที่นอนราคาถูกจากโรงงานลายสวยงามก็มีให้เลือกทั่วไป การจะหาผ้าปูที่นอนราคาส่งจากโรงงานจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับผ้าปูที่นอนโรงแรม6ดาว จะต้องเลือกโรงงานทอผ้าปูที่นอนที่ได้มาตรฐานการผลิตเท่านั้นจึงจะได้สินค้าคุณภาพครบถ้วน ซึ่งการเลือกโรงงานผลิตผ้าปูที่นอนโรงแรมที่ได้มาตรฐานมีวิธีดังต่อไปนี้  

 

1.วัตถุดิบมีคุณภาพ เป็นผ้าที่มีการตัดเย็บปราณีตเรียบร้อย ดูสะอาด สวยงาม จำนวนเส้นในการทอยิ่งมากยิ่งดี ช่วยให้เนื้อผ้ามีความแน่นละเอียด ทนต่อการซักล้างทุกรูปแบบ ไม่เป็นขุยเป็นก้อนง่าย มีอายุการใช้งานยาวนาน ทำให้ไม่ต้องซื้อเปลี่ยนบ่อยๆ ดังนั้นการเลือกผ้าปูที่นอนราคาโรงงานที่ใช้วัตถุดิบเกรดเอในการผลิตเสมอ เป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว  

 

2.สามารถผลิตผ้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ทั้งขนาดมาตรฐานของชุดที่นอนโรงแรม ผ้าปูเตียง3.5ฟุต ผ้าปูเตียง5ฟุต ผ้าปูเตียง6ฟุตหรือไซส์ใหญ่พิเศษ เช่น เตียงกลม เตียง4ฟุต เตียง7ฟุต เป็นต้น

 

3.มีสเปคผ้าให้เลือกหลากหลาย โรงงานผลิตผ้าปูที่นอนที่ได้มาตรฐานจะต้องมีชนิดผ้าให้ลูกค้าได้เลือกหลากหลายแบบเพื่อตอบโจทย์ได้ทุกธุรกิจของลูกค้า  

 

4.กลุ่มลูกค้าและผลงาน โรงงานผ้าปูที่นอนโรงแรมขายส่งที่เชื่อถือได้และมีมาตรฐาน ควรมีลูกค้ากลุ่มหลักที่เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว รีสอร์ท วิลล่า ธุรกิจสปา โรงพยาบาล และเครือข่ายธุรกิจห้องพักทั่วประเทศและต่างประเทศ

 

5.ชื่อเสียง บริษัทหรือโรงงานผลิตผ้าปูที่นอนเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้า เมื่อคุณทำการค้นหาแหล่งขายผ้าปูที่นอนโรงแรมคุณภาพ ก็สามารถค้นหาได้อย่างง่ายดาย แสดงว่าเป็นโรงงานที่มีคุณภาพ จนมีการโฆษณากันแบบปากต่อปาก ทำให้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง 

 

6.การให้บริการ ให้คำแนะนำและข้อมูลกับลูกค้าตรงไปตรงมา เสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าเสมอให้บริการกับลูกค้าทุกระดับ มีบริการหลังการขายดีเยี่ยม รับผิดชอบและแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าทันทีเมื่อลูกค้าเจอปัญหาเกี่ยวกับสินค้า เช่น เนื้อผ้าหรือสีไม่ตรงสเปค ได้รับสินค้าผิดขนาด มีความล่าช้าในการจัดส่ง ฯลฯ  

 

7.ประสานงานและติดต่อได้สะดวก มีบริการติดต่อได้ทุกช่องทางเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น  พร้อมทั้งสามารถติดตามงานได้ทุกขั้นตอน 

 

8.การจัดส่งรวดเร็ว สามารถจัดส่งได้รวดเร็วตามกำหนดและทันใช้งาน ต้องไม่ล่าช้าจนส่งผลให้ธุรกิจมีความเสียหาย 

ชุดเครื่องนอนที่ได้คุณภาพเป็นหัวใจสำคัญธุรกิจห้องพัก โรงแรม รีสอร์ท ดังนั้นไม่ควรเลือกซื้อเพียงเพราะผ้าปูที่นอนโรงแรมราคาถูกเท่านั้น แต่ต้องเลือกที่คุณภาพเนื้อผ้าและแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าคุณจะมองหาผ้าปูที่นอนโรงแรมเพื่อใช้ประกอบในธุรกิจหรือนำไปใช้ในด้านอื่นๆก็ตาม เพราะคุณภาพการนอนที่ดีคือการได้หลับลึกอย่างเต็มที่ เหมือนเป็นการชาร์จพลังงานให้ร่างกาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่นและมีความพร้อมต่อการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การผ่าตัดถุงใต้ตา เป็นยังไง น่ากลัวมั้ย ?

รู้หรือไม่ ถุงใต้ตาเกิดจากอะไร ? หลายๆ คนมักมีความกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาถุงใต้ตา การเกิดถุงใต้ตานั้นมาจากไขมันที่สะสมกันจนทำให้ถุงใต้ตาหย่อยคล้อย ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดถุงไขมันใต้ตานั้นมากจากหลายสาเหตุ

ยกตัวอย่างเช่น ถุงใต้ตาเกิดจากการสะสมของไขมันบริเวณรอบๆ ดวงตา และมีการสะสมน้ำทั้งบริเวณใต้ตาล่างและหนังตาด้านบน ซึ่งเมื่อไขมันและน้ำมีการสะสมมากขึ้นจึงก่อให้เกิดเป็นถุงใต้ตา และทำให้หนังตาหย่อนคล้อย เป็นต้น

 

การผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน เพราะทางการแพทย์ถือเป็นการผ่าตัดเล็ก จึงไม่ต้องกังวล และราคาการผ่าตัดถุงใต้ตาในปัจจุบันก็ไม่แพง เพื่อให้ดวงตาได้กลับสวยงาม ดูเด่นอีกครั้งนั่นเองค่าาา

ก่อนการผ่าตัดถุงใต้ตาควรเตรียมตัวอย่างไร

คนไข้ควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตา สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจ ความดัน และเบาหวาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อให้แพทย์ประเมินก่อนและต้องได้รับคำอนุญาตจากแพทย์จึงเข้ารับการผ่าตัดได้ ควรงดรับประทานอาหารเสริม วิตามินบำรุงต่างๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตาประมาณ 2 สัปดาห์ และควรงดการดื่มสุราและสิ่งของมึนเมาก่อนเข้ารับการผ่าตัด 1-2 วัน และควรงดสูบบุหรี่ก่อนเข้ารับการผ่าตัด 1 เดือน

 

ขั้นตอนการผ่าตัดถุงใต้ตา

ก่อนทำการผ่าตัดแพทย์จะพูดคุยและให้คำปรึกษาแก่คนไข้ พร้อมทั้งทำการตรวจบริเวณชั้นตาเพื่อประเมินว่าควรแก้ไขและรักษาถุงใต้ตาอย่างไรให้สวยงามเหมาะสมตรงตามที่คนไข้ต้องการ เมื่อให้คำปรึกษากับคนไข้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มทำการผ่าตัด

ในการผ่าตัดถุงใต้ตาโดยทั่วไปจะใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะจุดตรงบริเวณที่จะทำการผ่าตัด เมื่อยาชาออกฤทธิ์แพทย์จะทำการผ่าตัดซึ่งวิธีการในการผ่าตัดถุงใต้ตาเพื่อนำไขมันถุงใต้ตาที่เป็นส่วนเกินออกนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคเฉพาะของแพทย์แต่ละท่าน เมื่อผ่าตัดเอาไขมันถุงใต้ตาออกแล้วแพทย์จะเย็บแผล ซึ่งจะใช้เทคนิคการเย็บแบบซ่อนรอยแผล เมื่อแผลหายและเข้าที่แล้วจะมองไม่เห็นรอยแผล เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วรอให้ยาชาหมดฤทธิ์ แพทย์จะอนุญาตให้คนไข้สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ทันที

หลังการผ่าตัดถุงใต้ตาควรดูแลอย่างไร

หลังการผ่าตัดคนไข้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานตามแพทย์สั่ง รวมไปถึงควรเข้าพบแพทย์ตามกำหนด เพื่อประมาณหลังการผ่าตัดถุงใต้ตา ซึ่งหลังการผ่าตัดถุงใต้ตาคนไข้ควรปฏิบัติดังนี้

  1. สองวันแรกหลังการผ่าตัดถุงใต้ตา หรือการผ่าตัดถุงไขมันใต้ตา คนไข้ควรประคบเย็นรอบดวงตาและหน้าผาก เพื่อช่วยลดอาการบวม
  2. สองวันแรกหลังการผ่าตัดไม่ควรให้แผลโดนน้ำ หากต้องการทำความสะอาดควรใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดแล้วเช็ดเบาๆ
  3. หลังการผ่าตัดถุงใต้ตาควรนอนยกศีรษะสูง จะช่วยลดอาการบวมได้ดียิ่งขึ้น
  4. หลังผ่าตัดถุงใต้ตาไม่ควรใช้สายตามาก ควรพักสายตามากๆ ในช่วงสามวันแรกหลังการผ่าตัด
  5. สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดถุงใต้ตาควรงดใส่คอนแทคเลนส์ และสวมแว่นแทน

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัด

หลายๆ ครั้งมักพบคำว่าถามว่า หลังจากผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาแล้วหนังตาจะปลิ้นหรือไม่ ? เป็นคำถามที่หลายๆ คนกังวล ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำตอบสำหรับคำถามนี้ว่า ความเสี่ยงนี้อาจเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีอายุมาก หรือผู้ที่มีหนังตาหรือเปลือกตาที่ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ก่อนแล้ว หากการผ่าตัดนั้นมีการตัดแต่งหนังตาล่างมากเกินไปก็จะมีโอกาสที่ทำให้หนังตาปลิ้นได้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งว่าควรเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจะเกิดขึ้นหลังผ่าตัด

ปัจจุบันผู้คนจำนวนมากที่เสพติดการศัลยกรรม หรือมีภาวะทางจิต เพราะไม่พอใจกับหน้าตาหรือหน้าตาของตน และถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของตนไม่ได้มีอะไรผิดปกติใด ๆ แต่ก็ยังไม่พอใจ คิดว่าหน้าไม่สวย จมูกเบี้ยวไป หรือจิตตกคิดว่าตัวเองอ้วนเกินไป คิดซ้ำไปซ้ำมา จนกลายเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจรวมถึงการปฏิสัมพันธุ์กับคนรอบข้าง ใครที่กำลังเข้าข่ายอาการเหล่านี้ คุณอาจกำลังป่วยโรค BDD หรือ Body Dysmorphic Disorder  

 

แพทย์และผู้เชี่ยวชาญเผยว่า มีผู้ป่วยโรค Body Dysmorphic Disorder เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้ป่วยเฉลี่ยร้อยละ 34 เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคนโสดที่มีช่วงอายุระหว่าง 15 – 35 ปี และอาการของโรคเริ่มพบได้ตั้งแต่วัยเด็กโตที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุ 13 – 15 ปี เป็นต้นไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไลฟ์สไตล์หนุนนำด้วยสื่อเทคโนโลยี สามารถเข้าถึงได้ง่าย และค่านิยมการโอ้อวดชีวิตตนเองบนสื่อแทบทุกแพลตฟอร์ม 

โรค Body Dysmorphic Disorder เป็นอย่างไร 

โรค BBD คือ โรคไม่ชอบรูปร่างหน้าตาตัวเองมากเกินปกติ ให้ความสนใจหน้าตาและรูปร่างของตัวเองมากเกินไป ส่องกระจกแทบตลอดเวลา แบบอาการย้ำคิดย้ำทำ ถามคนอื่นซ้ำ ๆ ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของตนเป็นอย่างไร กลัวตัวเองสวย ไม่หล่อ กังวลและใส่ใจคำพูดคนอื่นถึงรูปร่างหน้าตาของตัวเอง คอยเปรียบเทียบกับผู้อื่น และอยากเปลี่ยนแปลงหน้าตารูปร่างอยู่ตลอดเวลา มีความคิดวนเวียนแต่อยากทำศัลยกรรม แม้ว่าทำแล้วก็ยังรู้สึกไม่พอ จนบางคนเสพติดการศัลยกรรม หรือคนที่มีเงินไม่พอก็คิดแต่อยากทำ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือบางคนทุ่มเทกับการเสียเงิน เสียเวลาในการดูแลตัวเองมากเกินไป แต่ถ้าอาการห่วงภาพลักษณ์ตนเอง ส่องกระจก ดูแลตัวเองปกติ หรือการเสริมสวยเติมหล่อ อัพนิด เสริมหน่อย ผ่าบ้าง ทำแล้วพึงพอใจ และไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อการดำเนินชีวิตของตนเอง ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถือว่าเป็นเพียงแค่ความชอบส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่ได้เข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรค BBD

สังเกตอย่างไรว่ามีภาวะโรค BBD 

การสังเกตว่าเข้าข่ายของภาวะโรค BBD หรือไม่ ดูได้จากความถี่ของพฤติกรรมและอาการที่แสดงออก คอยสังเกตหน้าตา รูปร่างตัวเองบ่อยมากแค่ไหน ส่องกระจกแทบตลอดเวลา หรือมีความกังวลเกี่ยวกับหน้าตาและหุ่นตัวเองมาก คิดวนเวียนจนกระทบต่อการเรียน การงาน หรือกระทบต่อสุขภาพ เกิดความเครียด ไม่ค่อยกินอาหารเพราะกลัวอ้วน ไม่อยากเข้าสังคมหรือไม่อยากเจอผู้คนเพราะคิดว่าตัวเองขี้เหร่ และกังวลว่าคนอื่นจะวิจารณ์หน้าตาหรือหุ่นตัวเอง หรือใช้จ่ายเกินกำลังไปกับการศัลยกรรม คอร์สดูแลตัวเอง หรือเครื่องเวชสำอางแพง ๆ 

 

ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดโรค BBD หรือ โรคไม่มั่นใจในหน้าตาตัวเอง

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะ Body Dysmorphic Disorder ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานจิตใจของผู้ป่วย รู้สึกไม่มีคุณค่าในตนเอง ซึ่งอาจกระทบมาจากค่านิยมในสังคม สิ่งแวดล้อมที่เติบโต หรือความกดดันจากการถูกคาดหวัง รวมไปถึงสื่อสังคมในปัจจุบัน แม้ว่าอาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็มีส่วนเสริมการเป็นปัจจัยเกี่ยวข้อง จนกลายเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรค BBD 

 

โรค BBD รักษาได้ไหม 

โรคชอบดูถูกตัวเอง หรือ โรค BBD จัดว่าเป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง โดยอาการเบื้องต้นของโรคไม่ชอบหน้าตาตัวเองเกิดจากความวิตกกังวลในรูปลักษณ์ตนเองจนเกิดความเครียด และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต หากได้รับการปรึกษาเพื่อให้จิตแพทย์ทำการประเมินอาการและวินิจฉัยโรค เพื่อใช้แนวทางรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ก็จะช่วยรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคนี้ได้ 

 

วิธีการรักษาโรค BBD 

แนวทางการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะ BBD ในแต่ละเคสจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอาการและการตอบรับของตัวผู้ป่วย โดยแพทย์จะจัดกลุ่มยาคลายกังวลหรือยาต้านเศร้า ควบคู่ไปกับการบำบัดพฤติกรรม ให้คำแนะนำแก่คนรอบข้างในการช่วยฟื้นฟูจิตใจผู้ป่วยเห็นคุณค่าในตัวเอง 

หากไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเข้าข่ายมีภาวะ Body Dysmorphic Disorder หรือ คนใกล้ตัวอาจกำลังป่วยโรคนี้อยู่ อย่าอายที่จะไปปรึกษากับจิตแพทย์ เพื่อจะได้ให้แพทย์ทำการประเมิน วินิจฉัย และรักษาได้ทันท่วงที เพราะผู้ป่วยที่ไม่ได้รับรักษา อาการอาจลุกลามจนกลายเป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง อยากทำร้ายตัวเอง หรือนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ ดังตัวอย่างคนดัง ๆ ที่เรามักจะได้ยินข่าวกันบ่อย ๆ อาทิ ศิลปินระดับโลก ฉะนั้น หากไม่สบายใจหรือรู้ตัวว่าตนเองเข้าข่ายโรค BBD รีบไปพบแพทย์ดีที่สุด ลดโอกาสการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) หรือแฟนเพลงหลาย ๆ คนมักจะเรียกย่อ ๆ ว่า MJ ผู้ที่ได้รับสมญานาม The King of Pop ราชาเพลงป๊อบ นักร้องผิวสีขวัญใจคนทั่วโลก ก่อนที่จะเป็นตำนานและกลายเป็นตัวตลกของคนบางกลุ่ม 

 

จำได้ว่าไมเคิล แจ็คสัน มาไทยตอนที่คนเขียนยังเป็นเด็กนักเรียนตัวน้อย ๆ ได้มีโอกาสร่วมเวทีกับบทเพลง Heal the World ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต แต่กลับเป็นความรู้สึกประทับใจและไม่เคยลืมมาจวบจนเข้าวัยกลางคน และนั่นทำให้ MJ เป็นศิลปินป๊อบสากลคนแรกที่ชื่นชมและไม่เคยเปลี่ยนข้าง แม้ว่าจะมีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับเขามากมาย วันนี้จึงจะขอกล่าวถึงอดีตราชาเพลงป๊อบ ตำนานที่ใครก็กลบไม่ได้ 

ไมเคิล แจ็คสัน ประวัติที่น่าเศร้า 

ไมเคิล มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน (Michael Joseph Jackson) เรียกย่อ ๆ ว่า MJ หรือ Jacko (แจ็คโก้) เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1958 ที่อินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุตรชายของ โจเซฟ และ แคทเธอรีน โดย MJ เป็นลูกคนที่ 7 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 9 คน

 

ไมเคิล และพี่น้องของเขาเริ่มทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย อีกทั้งยังมีปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยไมเคิลมักจะถูก Joe Jackson หรือ โจเซฟ พ่อของเขาทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเป็นประจำ เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของเขา จนทำให้ไมเคิลเกิดภาวะทางจิตที่เรียกว่า โรค BDD หรือ Body Dysmorphic Disorder คือ โรคคิดหมกมุ่น เป็นภาวะทางจิตที่ผู้ป่วยกังวลกับรูปลักษณ์ของตนเองมากเกินไป อาจคิดว่าตนเองมีหน้าตาหรือรูปร่างที่น่าเกลียด อ้วนเกินไป ดำเกินไป ฯลฯ จนไม่สามารถยอมรับตัวตนในปัจจุบันได้ จนทำให้เกิดความทุกข์ เครียด วิตกกังวล คิดวนซ้ำซาก จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจทำให้มีข้อจำกัดต่าง ๆ ในสังคม รวมถึงความสัมพันธ์กับคนอื่นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ทำให้ไมเคิลมีภาวะซึมเศร้าตั้งแต่เด็ก แอบร้องไห้คนเดียวบ่อย ๆ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จิตใจเปราะบาง อ่อนไหวง่าย เพียงแค่เขามีสิวขึ้นตอนช่วงเข้าสู่วัยรุ่น MJ ก็ร้องไห้และมีอาการจิตตกอย่างรุนแรง 

ไมเคิล แจ็คสัน ผู้เขย่าวงการเพลงให้สั่นสะเทือน ด้วยยอดขายอัลบัมสูงที่สุดในประวัติการณ์ 

MJ ได้เป็นนักร้องนำวง The Jackson 5 ในขณะที่มีอายุเพียง 7 ปีเท่านั้น และเมื่อไมเคิล แจ็คสัน อายุ 11 ปี เขาก็ได้ออกอัลบั้ม “Got to be There” เป็นอัลบัมเดี่ยวชิ้นแรก แต่กลับเป็นปรากฏการณ์ สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการเพลงเป็นอย่างมาก เพราะเพลงของไมเคิลสามารถไต่ทะยานขึ้นชาร์ตสู่อันดับ 1 ได้สำเร็จถึง 3 เพลงด้วยกัน ก่อนที่จะตามมาด้วยผลงานชุด “Off the Wall” ที่ทำยอดขายได้มากกว่า 20 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก ตามมาด้วยอัลบัม “Thriller” ในปี พ.ศ.2525 ทุบสถิติของวงการเพลง ด้วยยอดจำหน่ายสูงถึง 60 ล้านชุด นับว่าเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงที่สุดในประวัติการณ์ และต่อมา ไมเคิลได้ออกอัลบัม “Bad” ในปี พ.ศ.2530 สร้างสถิติอัลบัมที่มีซิงเกิลขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในบิลบอร์ดมากที่สุด 

ไมเคิล แจ็คสัน ศัลยกรรมที่ไม่ต้องการ 

ไมเคิล แจ็คสัน เป็นบุคคลที่มีความอัจริยะทางด้านดนตรีสูง แถมยังมี Stage Performance เป็นเลิศ จนแฟนเพลงทั่วโลกยกให้เขาเป็น The King of Pop ผู้คนต่างชื่นชมและชื่นชอบในผลงานของเขา โดยเฉพาะความสามารถอันโดดเด่น ที่เป็นท่าเต้นประจำตัวของ ไมเคิล แจ็คสัน คือ ท่าลูบเป้า และ Moon Walk ท่า backslide เอกลักษณ์ของ MJ ราชาเพลงป๊อบ และอีกสิ่งที่กลายเป็นสิ่งทำให้เขาสะดุดตาและจดจำของแฟนเพลงมากขึ้น คือ ผิวขาวซีดจนแทบเป็นสีเผือก จมูกแหลม แก้มตอบ คางบุ๋ม ที่ต่างไปจากภาพอดีตนักร้องผิวสี กลายเป็นหนุ่มหน้าหวาน ที่มีสัดส่วนผิดรูปทรง ไม่สมดุล จนทำให้หลายคนเข้าใจเขาผิด กล่าวหาว่าเขาไม่ยอมรับในความเป็นคนผิวสีของตน เป็นเหตุให้ ไมเคิล แจ็คสัน ศัลยกรรม เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ จนรูปหน้าและสีผิวเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม 

 

หลังอัลบัม Thriller ในช่วงปี 1982 ที่สีผิวและอวัยวะบนใบหน้าของไมเคิลเริ่มมีการเปลี่ยนไป และเริ่มชัดเจนมากขึ้นตอนที่ออกอัลบัม Bad ในปี 1987 ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เคยชื่นชมในตัวไมเคิล แจ็คสัน กลับมาโจมตีเขาด้วยคำครหา คำดูถูก ล้อเลียน และสารพัดเท่าที่จะสรรหาคำพูดมาเย้ยหยันเขาได้ ผลักดันให้เขากลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนทั่วโลก แม้ว่า MJ จะปฏิเสธข้อกล่าวหา และยืนยันว่าเขาภาคภูมิใจในเชื้อชาติแอฟริกันของตนเอง แต่เหตุผลที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นหนุ่มผิวเผือก เกิดจากเพราะเขาป่วยด้วยโรคชนิดหนึ่ง แต่มันก็ไม่เป็นเหตุที่เพียงพอสำหรับกลุ่มคนที่โจมตีเขา จนกระทั่งเขาได้จากโลกนี้ไป และความจริงต่าง ๆ ได้ถูกเปิดเผย แต่มันก็สายเกินไป กับความโหดร้ายที่เขาได้รับอย่างไม่เป็นธรรม

ไมเคิล แจ็คสัน เป็นโรคอะไร 

สาเหตุของการศัลยกรรม จนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ ไมเคิล แจ็คสัน ป่วยด้วยโรคผิวหนัง เรียกว่า Vitiligo คือ โรคด่างขาว ซึ่งเขาป่วยและมีภาวะดังกล่าวตั้งแต่เริ่มมีอายุ 20 ปี ร่วมกับการมีภาวะ SLE (Lupus) เกิดจากระบบภูมิคุ้มร่างกายทำงานผิดปกติ จนส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของผิวหนัง ไวต่อแสงแดด จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมไมเคิลมักจะต้องกางร่ม สวมหมวก คลุมใบหน้า และสวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิดเสมอเมื่อต้องออกในที่แจ้งหรือมีแสงแดด จนทำให้มีข่าวลือผิดเพี้ยนว่า ไมเคิล แจ็คสัน เป็นแวมไพร์ (Vampire) และคนบางกลุ่มก็ดันหลงเชื่อเสียด้วย 

 

โรคด่างขาวคืออะไร และมีสาเหตุจากอะไร 

โรคด่างขาว คือ โรคที่ร่างกายสร้างสารไปทำลายเซลล์ Melanocyte ที่เป็นเซลล์สร้างเม็ดสี Melanin ตัวที่ทำหน้าที่ในการกำหนดสีผิว สีผม และสีดวงตา และเมื่อเซลล์ Melanocyte ถูกทำลาย ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นรอยด่างขาว สลับสีผิวดั้งเดิม 

 

สาเหตุของโรคด่างขาว เกิดจากกรรมพันธุ์ และโรคแพ้ภูมิบางอย่าง เช่น โรค SLE (ภูมิคุ้มกันบกพร่อง) โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคหนังแข็ง เป็นต้น ส่วนกรณีโรคด่างขาว ไมเคิล เกิดร่วมกับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จนทำให้สีผิวของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเข้าสู่การทำศัลยกรรมโดยที่เขาไม่ได้ต้องการแต่แรก 

 

สาเหตุที่ทำให้ ไมเคิล แจ็คสัน เสียชีวิตเพราะอะไร 

ไมเคิล แจ็คสัน เสียชีวิตในวันที่ 25 มิถุนายน ปี 2009 ในวัย 50 ปี ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งจากผลชันสูตรพบว่า ไมเคิล แจ็คสัน เสียเพราะร่างกายได้รับยานอนหลับชนิด Propofol ยาฉีด มากเกินขนาด และได้มีการเปิดเผยเบื้องหลังชีวิตของราชาเพลงป๊อบ Michael Jackson หลังเสียชีวิต เริ่มจากที่มีผลชันสูตรยืนยันว่า ไมเคิล มีภาวะโรคด่างขาวจริง อีกทั้งเขายังมีภาวะการติดยาแก้ปวดอย่างรุนแรง เนื่องจากเขาเคยประสบอุบัติเหตุจากการถ่ายโฆษณา Pepsi ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะที่เกิดจากแผลไฟไหม้ระดับ 3 จากความผิดพลาดของระบบไฟฟ้าทำให้เขาต้องพึ่งยาระงับประสาท และยาแก้ปวดชนิดรุนแรง จนเสพติดยาแก้ปวดในที่สุด และช่วงที่เขาเริ่มมีโปรเจค We are the World ไมเคิล ก็ต้องเผชิญกับภาวะการนอนไม่หลับ (Insomnia Disorder) และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่วมกับภาวะซึมเศร้า จนเขาต้องพึ่งยาแก้ปวดแทบตลอดเวลา และเสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น 

 

เบื้องหน้าของ Michael Jackson คือ ราชาเพลงป๊อบ ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก แต่เบื้องหลังและปมชีวิตของเขากลับเลวร้ายกว่าที่ใครจะคาดคิด สิ่งที่เขาต้องการสูงสุดในขณะที่ชีวิตกำลังก้าวสู่ความสำเร็จรุ่งโรจน์ หรือแม้แต่ช่วงที่ตกดิ่งลงเหว คือ การนอนหลับ แต่อนิจจา … เขาไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง จนกระทั่ง ไมเคิลก้าวสู่วัยที่ 50 ขวบปี ก็สามารถทำได้สำเร็จด้วยการนอนหลับไปตลอดกาล จากยาแก้ปวดที่เขาต้องพึ่งมันมาเกือบตลอดชีวิต น่าเศร้าที่ฉากหน้าเขาเป็นศิลปินระดับโลก แต่ชีวิตจริงเขากลับไม่มีใครคอยช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำ ในขณะที่เขาคอยมอบความสุข ความรื่นเริงให้กับแฟนเพลง แต่ในวันที่เขาพลาดล้ม และรู้สึกอ่อนแอ กลับมีแต่การเหยียบซ้ำ และรุมเยาะเย้ย กล่าวหาว่าเขาเป็นคนลวงโลก นี่หรือคือสิ่งตอบแทนที่ ไมเคิล แจ็คสัน ควรได้รับ 

 

ไมเคิล แจ็คสัน The King of Pop ตลอดกาล 

ไมเคิล แจ็คสัน ได้จากโลกนี้ไปพร้อมกับหัวใจที่บอบช้ำและแตกสลาย จากความโหดร้ายของผู้คนที่เคยคลั่งไคล้เขา กลายเป็นความเกลียดชังและกล่าวร้ายป้ายสี ตลอดชีวิตของเขา ไม่เคยได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบคนมีความสุขจริง ๆ เลยสักครั้ง เด็กน้อยอัจริยะเจ้าของบทเพลงดังที่ยังคงเป็นตำนาน นับไม่ถ้วน และชายผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กหลายคนทั่วโลก (รวมถึงผู้เขียน) ด้วยบทเพลง “Heal the World” แม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านการได้รับความเข้าใจจากผู้คน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จในที่สุด คือ ได้นอนหลับ เสียที ต่อไปนี้ MJ ไม่ต้องถูกกดดัน ไม่ต้องแบกรับกับความอยุติธรรม ที่เขาไม่สมควรถูกกระทำอีกต่อไป ขอไว้อาลัยให้กับ Michael Jackson ผู้เป็น The King of Pop ตลอดกาล 

กิจวัตร 10 อย่าง มีบัญญัตไว้ในพระไตรปิฎก เป็นกิจวัตรพระบวชใหม่ ใช้เป็นบทฝึกภิกษุสงฆ์ในชีวิตประจำวัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างนิสัย 4 ของสมณะแทนนิสัยฆราวาส

กิจวัตร 10 ประการ คือ ข้อปฏิบัติที่พึงทำให้เป็นนิสัย เพื่อเป็นเกราะป้องกันตนไม่ให้เกิดความเสียหายขณะฝึกฝนให้เป็นสมณะและบรรลุธรรม ซึ่งมาจาก 2 คำรวมกัน คือ “กิจ” และ “วัตร”

กิจ หมายถึง สิ่งที่พึงกระทำ สิ่งที่ต้องทำ
วัตร หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ควรทำให้เป็นนิสัย

10 กิจวัตรของสงฆ์มีอะไรบ้าง

1. ลงอุโบสถ
2. บิณฑบาตเลี้ยงชีพ
3. ทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนา
4. กวาดวิหาร ลานพระเจดีย์
5. รักษาผ้าครอง
6. อยู่ปริวาสกรรม
7. โกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ
8. ศึกษาสิกขาบท และ อุปัชถากอุปัชฌาย์อาจารย์
9. เทศนาบัติ คือ ปลงอาบัติ แสดงอาบัติ
10. พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง 4

อานิสงส์และประโยชน์ของกิจวัตร 10 อย่าง

ประโยชน์ของการลงอุโบสถ

ส่งเสริมพระวินัย
สร้างความสามัคคี
มีความบริสุทธิ์
มุกตกนิสัย คือ พ้นนิสัย
เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คน
เป็นตัวอย่างที่ดีให้ถือปฏิบัติตาม

ประโยชน์ในการบิณฑบาต

เจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า
ได้บริหารร่างกาย
ได้ระลึกถึงพระคุณของมารดา
เห็นทุกข์จากการแสวงหาอาหาร
สงเคราะห์ทานกุศล
เป็นเนื้อนาบุญดำรงตนให้ดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนา

ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า
เข้าใจศาสนพิธี
มีจิตเป็นกุศล
ทำตนให้กล้าหาญ
เป็นที่เคารพศรัทธา
รักษาพระสัทธรรม

ประโยชน์ของการกวาดวิหาร ลานเจดีย์

บริหารร่างกาย
บริเวณสถานที่สะอาด
ปราศจากโรคภัย
คลายเครียด
ขจัดความเกียจคร้าน
คงไว้ซึ่งศรัทธา

ประโยชน์แก่การรักษาผ้าครอง

ทำให้ตื่นเช้า
เอาใจใส่ในกิจวัตร
ฝึกจิตใจ
มีสุขภาพดี
มีความจำดีเยี่ยม
เตรียมตารางชีวิต

ประโยชน์ในการอยู่ปริวาส

ได้ปฏิบัติตามกิจวัตร
ได้กำจัดอาบัติโทษ
ได้โปรดญาติโยม
ได้ข่มมานะ ละทิฐิ
ได้ปิติปราโมทย์
ได้เผยแผ่ศาสนาพระพุทธศาสนา

ประโยชน์ของการโกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ

ประหยัดเครื่องใช้
ขจัดความสกปรก
ย่อย่องธรรมเนียมภิกษุ

ประโยชน์ของการศึกษาสิกขาบทและอุปัชถากอุปัชฌาย์อาจารย์

เข้าใจหลักของตน
พ้นจากความสงสัย
ป้องกันภัยจากอาบัติ
รู้คุณ กตัญญู
มีเคารพครูอาจาย์

ประโยชน์ของการแสดงเทศนาบัติ

เป็นผู้ไม่ประมาท
ปราศจากมลทิน
มีศีลบริสุทธิ์
หยุดความวิปฏิสาร
แสดงอาบัติ (ครุกาบัติ)

ประโยชน์ของการพิจาณาปัจจเวกขณะ

ไม่เป็นหนี้ชาวบ้าน
ฉันอาหารไม่มีโทษ
เป็นประโยชน์แก่กรรมฐาน

ผู้คนในสังคมปัจจุบัน มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคจิตเวชกันได้ง่ายและเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัวว่าตนเองป่วย ซึ่งสาเหตุของการป่วยโรคจิตเวชเหล่านี้ มักมีหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สังคม และประสบการณ์ในชีวิต รวมถึงสารเคมีในร่างกายที่ผิดปกติ และส่วนมากเรามักจะคุ้นเคยหรือได้ยินกับโรคจิตเวชประเภท โรคซึมเศร้า หรือ ไบโพลาร์ แต่ยังมีอีก 5 โรคทางจิตเวชแปลก ๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยิน หรือไม่คิดว่าจะมีโรคแบบนี้อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยหลายรายไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังป่วยด้วยโรคเหล่านี้อยู่ จะมีโรคอะไรบ้าง ลองมาดูกันหน่อยดีกว่า เรากำลังมีอาการเหล่านี้อยู่บ้างหรือเปล่านะ 

  1. โรค PTSD (Post – Traumatic Stress Disorder) 

โรค PTSD หรือ โรคเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งเกิดหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์น่ากลัว หรือมีความอันตรายแก่ชีวิต โดยเหตุการณ์เหล่านั้นยังฝังใจ ทำให้มีอาการของโรค PTSD คือ รู้สึกเหมือนเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ มีความเครียด ตื่นตระหนก หวาดผวา หรือฝันร้ายถึงเหตุการณ์นั้นอยู่บ่อย ๆ จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและจิตใจ บางรายอาจพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปยังสถานที่ ๆ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือไม่พูดถึง และอาจมีอารมณ์ที่ไม่คงที่ ซึ่งค่อนข้างเป็นไปในทางลบ จนทำให้มีอาการหวาดวิตก ตื่นตระหนกตกใจง่ายกว่าปกติ นอนหลับยาก และอาจมีอาการหรือโรคร่วมอื่น ๆ เช่น หันไปพึ่งแอลกอฮอล์จนติดการดื่มเหล้า หรือมีอาการโรคซีมเศร้า เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีอาการยังไม่มาก หรือรู้ตัวว่าป่วยโรค PTSD  เร็ว และเข้ารับการรักษา ทำการบำบัดกับนักจิตวิทยาได้เร็ว ก็จะช่วยควบคุมอาการได้ดี และรักษาให้หายได้ 

  1. โรคความผิดปกติในการใช้สาร 

โรคความผิดปกติในการใช้สาร ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Substance – Used Disorder คือ โรคที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการใช้สารใดสารหนึ่งได้ แม้จะรู้ถึงโทษของการใช้สารนั้นก็ตาม และอาจมีการพยายามเลิกในการใช้สารนั้น ๆ แต่สุดท้ายก็หาสารมาใช้ และอาจใช้มากขึ้นกว่าเดิม จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ โดยผู้ใช้สารส่วนใหญ่มักจะมีอาการ หรือภาวะทางจิตอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือ PTSD ซึ่งมีความเครียด วิตกกังวลจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เป็นต้น ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว แต่สามารถกลับไปเป็นซ้ำได้อีก ดังนั้น การให้กำลังใจ และคำชื่มชมจากผู้คนรอบข้างในขณะที่ทำการรักษา จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้

  1. โรคสมาธิสั้น 

โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD  (Attention – Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะการทำงานของสมองบกพร่อง โดยมักจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม หากคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ เด็กที่เกิดมาก็จะมีโอกาสของการเป็นโรคสมาธิสั้นได้มากกว่าครอบครัวทั่วไป 4 – 5 เท่า นอกจากนี้ สาเหตุอาจเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน เช่น มารดาสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น การรักษาผู้ป่วยสมาธิสั้น จะใช้ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นสมองเพื่อทำให้มีสมาธิและนิ่งมากขึ้น 

  1. โรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง 

โรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง หรือที่เรียกว่า Borderline Personality Disorder คือ ผู้ที่มีภาวะอารมณ์ไม่คงที่ กลัวการถูกทิ้ง กลัวตัวเองไม่มีค่า มีอารมณ์รุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ ไม่สามารถอยู่ในความสัมพันธ์กับใครได้นาน ชอบทำร้ายตนเอง หรือมีความคิดฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่างเปล่า และไม่มีความหมายที่จะอยู่ต่อ ซึ่งมักจะพบผู้ป่วยโรคจิตเวชประเภทนี้ในวัยรุ่นมากกว่าวัยอื่น เนื่องจากเป็นวัยที่ต้องการความยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ต้องการมีตัวตน จึงเป็นวัยที่รู้สึกอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าจากแวดล้อมได้ง่ายนั่นเอง 

  1. โรคพฤติกรรมการกินผิดปกติ

โรคการกินผิดปกติ เรียกอีกอย่างว่า Eating Disorder คือ ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมการกินที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยในผู้ป่วยบางรายเกิดจากการกังวลในเรื่องของน้ำหนักตัว กลัวอ้วน กลัวน้ำหนักขึ้น จนทำให้เลือกทานแต่อาหารไร้ไขมัน อาหารพลังงานต่ำ อาหารที่ไม่มีคุณภาพ หรือการรู้สึกผิดที่ทานอาหารมากแล้วต้องการนำออกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น การทำให้อาเจียน การโหมออกกำลังกายอย่างหนัก จนอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะความตึงเครียด ขาดสารอาหารบางชนิด และอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าร่วมด้วยในผู้ป่วยบางราย ซึ่งการรักษอาจต้องใช้การบำบัดทางจิต ควบคู่ไปกับการทานยา และอยู่ใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย รวมไปถึงการดูแลด้านโภชนาการ 

 

โรคจิตเวช แม้ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยหรือมีภาวะผิดปกติทางจิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ จนขยายไปกระทบต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้คน และอาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาความรุนแรงได ้หากไม่ได้รับการรักษาหรือเยียวยาด้วยวิธีที่เหมาะสม ดังนั้น การคอยหมั่นสังเกตความรู้สึกและพฤิตกรรมของตน รวมไปถึงของคนใกล้ชิด จะช่วยให้รู้เท่าทัน และสามารถทำการรักษาได้เร็ว ทำให้มีโอกาสหายเป็นปกติได้อย่างถาวร เพราะเราทุกคนสามารถเป็นโรคทางจิตเวชได้โดยไม่รู้ตัว 

 

หลายคนรู้ว่ากระเทียมมีสรรพคุณทางยามากมาย และได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพออกมาเผยว่าการกินกระเทียมสดดีต่อสุขภาพและช่วยต่อต้านโรค บรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลายโรค ทั้งเชื่อว่ากินกระเทียมลดไขมันในเลือดได้ หรือกินกระเทียมสดลดความอ้วน ลดความดัน และอีกมากมาย แต่ถึงแม้ว่ากระเทียมมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้ากินกระเทียมมากเกินไปเกิดโทษได้ อีกทั้งผู้ป่วยโรคบางชนิดห้ามกินกระเทียม เพราะอาจกระตุ้นโรคที่เป็นอยู่ให้กำเริบได้ แล้วโรคอะไรบ้างที่ห้ามกินกระเทียม และกินกระเทียมมากเกินไปมีโทษอย่างไร 

สรรพคุณของกระเทียมมีอะไรบ้าง 

ก่อนอื่นเรามาดูสรรพคุณของกระเทียมกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง 

  • ขับลม 
  • ขับเหงื่อ
  • ขับเสมหะ
  • ขับปัสสาวะ
  • ขับระดู
  • แก้จุกเสียด 
  • แก้ท้องอืด 
  • แก้อาหารไม่ย่อย
  • แก้หวัด คัดจมูก 
  • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต 
  • ต้านอนุมูลอิสระ 
  • ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • ต้านการอักเสบ
  • บำรุงธาตุ 
  • รักษาแผล แก้ปัญหาโรคผิวหนัง 
  • รักษาโรคกลากเกลื้อน 
  • แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย 
  • ลดความดันโลหิต 
  • ลดไขมันในเลือด 

 

โทษของกระเทียมเมื่อกินมากเกินไป 

แม้ว่ากระเทียมจะมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ แต่ถ้ากินกระเทียมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน เนื่องจากสารในกระเทียมจะไปยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด อาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัวช้า ทำให้เลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดบาดแผล

ใครบ้างที่ต้องระมัดระวังในการกินกระเทียม 

  • ผู้ที่มีอาการแพ้กระเทียม รวมถึงคนที่แพ้สารในกระเทียม 
  • ผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ และผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมมีสรรพคุณช่วยลดความดัน หากกินกระเทียมร่วมกับยาลดความดัน หรือกินกระเทียมมากเกินไป อาจยิ่งกระตุ้นให้ความดันต่ำมากกว่าเดิม 
  • ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ ควรระมัดระวังในการกินกระเทียม เพื่อไม่เพิ่มกรดแก๊สในกระเพาะอาหารจากการกินกระเทียมมากเกินไป จนก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร หรือมีอาการแสบท้อง 
  • ผู้มีอาการโรคกรดไหลย้อน เพราะกรดแก๊สในกระเทียมจะกระตุ้นให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกกำเริบได้ 
  • ผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ทานยาลดน้ำตาลในเลือด ควรงดการกินยาร่วมกับสารสกัดกระเทียม เพราะจะยิ่งไปลดระดับน้ำตาลให้ต่ำลงมากเกินไป 
  • ผู้ที่เตรียมตัวจะผ่าตัด ควรหยุดกินกระเทียมก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะสารในกระเทียมมีส่วนในการทำให้เลือดแข็งตัวช้า จึงเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุดหลังผ่าตัด 
  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs บางชนิด เพราะยาในกลุ่มโรคนี้มักมีฤทธิ์ต่อการแข็งตัวของเลือด 
  • ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด จะยิ่งทำให้เลือดออกมากขึ้น 
  • ผู้ที่มีภาวะตาแดง เพราะฤทธิ์ร้อนของกระเทียม จะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการมากขึ้น 
  • หญิงตั้งครรภ์ มารดาให้นมบุตร สามารถกินกระเทียมที่เป็นอาหารได้ แต่ไม่ควรกินสารสกัดจากกระเทียมมากเกินไป เพราะจะส่งผลข้างเคียงต่อเด็กได้