ช่วงนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนฟ้าคะนอง เราเคยได้แนะนำการป้องกันตนเองในช่วงอากาศร้อนจัดกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาแนะวิธีการป้องกัน “ฟ้าผ่า” กันบ้าง เพราะช่วงนี้มีผนตกหนักหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากอิทธิพลร่องมรสุม และหลาย ๆ พื้นที่อาจเจอกับฝนฟ้าคะอง ลมกรรโชกแรง อาจมีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดขึ้นได้ เราจึงต้องระวังอันตรายจากฟ้าผ่าเป็นพิเศษ เนื่องจากความรุนแรงของฟ้าผ่าทำให้เสียชีวิตได้ 

 

สาเหตุฟ้าผ่าเกิดจากอะไร 

ฟ้าผ่า ภาษาอังกฤษเรียกว่า Thunder คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุอิเล็กตรอนภายในก้อนเมฆเดียวกัน หรือระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆ หรือ ระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน ที่มีความต่างกันระหว่างขั้วบวกและขั้วลบ เช่น ด้านล่างของก้อนเมฆก้อนหนึ่งมีประจุลบ เคลื่อนผ่านพื้นดินที่มีประจุบวก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น กลายเป็นฟ้าผ่าลงบนพื้นดินในบริเวณนั้น หรือ ด้านบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งมีประจุลบ และด้านบนก้อนเมฆใกล้ ๆ กันมีประจุบวก เมื่อเคลื่อนที่ใกล้กัน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า กลายเป็นฟ้าผ่าระหว่างก้อนเมฆซึ่งเรามักจะมองไม่เห็น แต่สำหรับนักบินหลายคนเลยทีเดียวที่มีโอกาสได้เห็นฟ้าผ่าแบบนั้น 

วิธีป้องกันฟ้าผ่า 

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะมีลมกรรโชก ฝนฟ้าคะนอง รีบเข้าหลบในที่ปลอดภัย 
  • อยู่ให้ห่างจากเสาไฟฟ้าแรงสูง สายไฟ หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และข้างตึกสูง ๆ  
  • อย่ายืนใต้ต้นไม้สูง รวมทั้งบริเวณใกล้ต้นไม้สูง อย่าอยู่ในที่สูง หรือใกล้ที่สูง ๆ 
  • หากอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะเกิดฟ้าคะนอง หาที่หลบไม่ทัน ให้นั่งชันเข่า เขย่งเท้า โดยให้เท้าแตะสัมผัสพื้นให้น้อยที่สุด และซุกศีรษะเข้าระหว่างเข่า
  • เลี่ยงการสัมผัสน้ำ เพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้า 
  • หากอยู่ในรถขณะเกิดฟ้าผ่า ปิดกระจกให้สนิท ห้ามสัมผัสตัวถังรถเด็ดขาด
  • ห้ามนอนราบกับพื้น หรือนั่งราบไปกับพื้น เพราะกระแสไฟฟ้าอาจวิ่งมาตามพื้น
  • ถอดเครื่องประดับหรือวัตถุต่าง ๆ ที่เป็นโลหะออกจากร่างกายให้หมด เพราะโลหะเป็นสื่อนำไฟฟ้า 
  • อย่าสัมผัส หรือ ให้ร่างกายโดนวัตถุที่เป็นโลหะทุกชนิด ขณะที่มีฝนฟ้าคะนอง หรือ ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ 
  • หากอยู่ภายในอาคาร ขณะฟ้าร้อง ฟ้าผ่า อย่าอยู่ใกล้ประตู หรือ หน้าต่างที่เป็นโลหะ 
  • อยู่ให้ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถอดสาย เพราะอาจเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรจนเกิดประกายไฟ 
  • ถอดสายไฟอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้หมด รวมถึงสายอากาศ สายโทรศัพท์ สายโมเด็ม ก่อนเกิดฝนฟ้าคะนอง (เมื่อเริ่มมีลมแรง หรือ มีเสียงฟ้าร้อง) อย่าทำเมื่อขณะเกิดฟ้าคะนอง 
  • อยู่ให้ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถอดสายทุกชนิด 
  • ไม่ควรถือร่มที่มีปลายเหล็กแหลมในที่โล่ง เพราะเสี่ยงต่อการล่อสายฟ้า อาจทำให้ฟ้าผ่าได้ 
  • ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือในที่โล่งแจ้ง ขณะฟ้าคะนอง มีฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ลมกรรโชกแรง และอาจฟ้าผ่าได้  
https://ihealzy.com/

 

อาการของคนถูกฟ้าผ่า 

  • ปากซีด ริมฝีปากเขียว 
  • สีหน้าซีดเซียว หรือ สีเขียวคล้ำ
  • ชีพจรบริเวณคอเต้นเบา หรือ เต้นช้ามาก 
  • ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมาก หรือ ไม่เคลื่อนไหว
  • ม่านตาขยายค้าง ไม่หดเล็กลง 
  • หมดสติ ไม่รู้สึกตัว 

การปฐมพยาบาลคนถูกฟ้าผ่า 

  • สังเกตบริเวณโดยรอบยังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้าใช่ ให้รีบเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยเข้าที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันตัวเราเองถูกฟ้าผ่า
  • โทรแจ้งขอความช่วยเหลือ สายด่วน 1669 
  • ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ เราสามารถให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันที เพราะคนถูกฟ้าผ่าจะไม่มีกระแสไฟหลงเหลือ ต่างจากคนถูกไฟช็อต ไฟดูด 
  • สังเกตอาการของคนถูกฟ้าผ่า หากบาดเจ็บ หมดสติ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ให้รีบทำการปั๊มหัวใจด้วยวิธี CPR ทันที เพื่อช่วยเรียกสัญญาณชีพกลับมา จนกว่าเจ้าหน้าที่ หรือรถพยาบาลฉุกเฉินมารับตัวผู้ประสบภัยฟ้าผ่า 

เมื่อความร้อนในเมืองไทยสูงปรี๊ดแตะ 40 องศาเซลเซียส แถมดวงอาทิตย์ไม่ปราณีเมตตาแก่ใครทั้งนั้น บางพื้นที่อากาศร้อนจัดจนวัดได้เกือบ 50 องศาฯ ทำให้ทั้งคนและสัตว์ดิ้นรนหาที่พึ่งหนีร้อนกันทุกวิถีทาง ซึ่งมีการคาดว่าหน้าร้อนปีนี้ ประเทศไทยคงหนีสภาพอากาศร้อนจัดเช่นนี้ไม่พ้นตลอดเดือนเมษายน หรืออาจยาวต่อเนื่องอีกหลายเดือน เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนที่นับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน ดังนั้นเราต้องหาวิธีคลายร้อน และป้องกันอาการฮีทสโตรกที่อาจเกิดขึ้นตามมา

นักวิจัยชาวญี่ปุ่น โทชิอากิ อิจิโนเสะ (Ichinose Toshiaki) จากสถาบันแห่งชาติเพื่อการศึกษาสิ่งแวดล้อมได้ค้นพบว่า สีเสื้อผ้าที่เลือกสวมใส่นั้นมีส่วนสำคัญ และสามารถช่วยคลายร้อยลงได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดย โทชิอากิ กล่าวว่า พวกเขาได้ทำการทดสอบนำเสื้อผ้าทั้งหมด 9 สี ได้แก่ สีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน สีเขียวเข้ม สีเขียว สีแดง สีเหลือง และสีขาว สวมใส่ทับหุ่น จากนั้นนำไปวางไว้กลางแดดเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที ก่อนจะนำไปตรวจสอบหาปริมาณการดูดซับความร้อนของเสื้อผ้าแต่ละสี เพื่อหาเสื้อสีที่ดูดความร้อนน้อยที่สุด และเสื้อสีอะไรดูดกลืนความร้อนมากที่สุด 

เสื้อสีอะไรไม่ดูดความร้อน และ เสื้อสีอะไรดูดความร้อนมากที่สุด 

หลังจากทำการทดสอบผลปรากฏว่า เสื้อสีขาว ใส่แล้วให้ความร้อนน้อยที่สุด หรือซับความร้อนได้น้อยสุด เนื่องจากเป็นสีสะท้อนแสง โดยให้ความร้อนตามสภาพอากาศในเวลานั้น โดยมีเสื้อสีอื่น ๆ ที่เหลือตามมา ซึ่งเรียงลำดับตามความร้อนน้อยที่สุด ไปจนถึงเสื้อสีที่ใส่แล้วร้อนมากที่สุด ได้แก่

  • เสื้อสีขาว
  • เสื้อสีเหลือง 
  • เสื้อสีแดง 
  • เสื้อสีม่วง 
  • เสื้อสีน้ำเงิน 
  • เสื้อสีเขียว 
  • เสื้อสีเขียวเข้ม 
  • เสื้อสีดำ ดูดความร้อนมากที่สุด 

โดยเสื้อสีดำมีอุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าเสื้อทุกสีที่ใช้ในการทดสอบ ดังนั้นในช่วงเวลาที่อากาศร้อน ๆ แสงแดดแผดเผาเหมือนกำลังซ้อมอยู่ในนรกเช่นนี้ ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ๆ เข้าไว้ และควรเป็นผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่กักเก็บเหงื่อ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าเรยอน ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศในเมืองไทย เก็บเสื้อผ้าหนา ๆ แนวแฟชั่นเมืองหนาวใส่ตู้ เข้ากรุไปก่อน เพื่อความสบายตัว และป้องกันไม่ให้เกิดฮีทสโตรกท่ามกลางอากาศร้อนดุดันไม่เกรงใจใครเช่นนี้ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสื้อผ้า เป็น 1 ใน ปัจจัย 4 ของคนเรา จากเครื่องนุ่งห่มที่จำเป็น สู่ความสวยงามของแฟชั่น และ เอกลักษณ์ของแบรนด์ธุรกิจ รวมถึงลักษณะกิจการอาชีพ ด้วยความหลากหลายในการใช้งานที่แตกต่างกันนี่เอง จึงมีการผลิตเนื้อผ้าแต่ละชนิดขึ้นมา เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อการใช้งานมากที่สุด 

ปัจจุบันเนื้อผ้า (fabric) ที่นำมาใช้ตัดเย็บเสื้อผ้า ชุดยูนิฟอร์ม กระเป๋า รองเท้า มีหลากหลายมาก เช่น 

  • ผ้าลินิน  (Linen)
  • ผ้าฝ้าย  (Cotton)
  • ผ้าไหม  (Silk) 
  • ผ้าซาติน (Satin) 
  • ผ้าใยสังเคราะห์ (Polyester) / ผ้า (Nylon) 
  • ผ้าใยผสม : ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม ฝ้าย ,ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม ลินิน , ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม วิสโคส และ ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผสม ลูเร็กซ์  เป็นต้น 

 

หากเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นหรือชุดลำลอง การเลือกเนื้อผ้าหรือดีไซน์ก็จะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล แต่สำหรับชุดแต่งกายหรือแบบฟอร์มสำหรับองค์กรและธุรกิจ ย่อมขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแบรนด์นั้น ๆ ที่จะต้องมีการเลือกสรรให้ดีที่สุด ทั้งในรูปแบบ ดีไซน์ และเนื้อผ้า เป็นไปในลักษณะทางเดียวกัน และส่งเสริมให้กับภาพลักษณ์ขององค์กร เพราะมีงานวิจัยว่า ชุดยูนิฟอร์ม มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าและบริการในแบรนด์ ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้า และความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร เพราะชุดยูนิฟอร์มช่วยสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นมืออาชีพ และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียกได้ว่าองค์กรและแบรนด์ต่าง ๆ สามารถสร้างกำไร และเครดิตชื่อเสียงได้อย่างคุ้มค่าจากยูนิฟอร์มที่ดีนั่นเอง 

ชุดยูนิฟอร์มแต่ละองค์กร แต่ละสถานที่ก็จะมีความแตกต่างกันไป ของรูปแบบดีไซน์ และลักษณะเนื้อผ้า แต่ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้เนื้อผ้าที่มีความคงทน ดูแลง่าย ยับยาก คงรูปทรง น้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ค่อนข้างดี และแห้งเร็ว เพราะยูนิฟอร์มจะต้องใช้ใส่กันแทบตลอดวัน และหมุนเวียนใส่ทุกวัน ดังนั้นเนื้อผ้าที่จะนำมาตัดเป็นชุดยูนิฟอร์ม หรือแม้แต่ผ้ากันเปื้อนที่จะต้องใช้ทุกวันในธุรกิจการค้า จะต้องมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ และอำนวยความสะดวกให้กับผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่มักจะเป็น “ผ้าโพลีเอสเตอร์”

 

ผ้าโพลีเอสเตอร์คืออะไร

หลาย ๆ คนอาจไม่แน่ใจว่า ผ้าโพลีเอสเตอร์ เป็นยังไง เคยได้ยินและเคยเห็นป้ายแท็กบนเสื้อผ้า แต่ไม่รู้แตกต่างจากผ้าชนิดอื่น ๆ ยังไง ผ้าโพลีเอสเตอร์ คือ เส้นใยสังเคราะห์ ที่ผลิตผ่านกระบวนการเคมี 

ผ้าโพลีเอสเตอร์ (Polyester) คือเส้นใยสังเคราะห์ที่ผลิตจากพลาสติก (PET) เพื่อทดแทนการใช้เส้นใยธรรมชาติ ที่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเป็นปฏิกริยาจากกระบวนการเคมี Ethylene Glycol และ กรด Terephthalic เส้นใยโพลีเอสเตอร์จึงมีความเหนียว ทนทาน  และดูแลง่าย เป็นที่นิยมในการนำไปผลิตเป็นสิ่งทอหลากหลายรูปแบบ ทั้งรองเท้า กระเป๋า และเสื้อผ้า เช่น ยูนิฟอร์ม เสื้อผ้ากีฬา สูท เป็นต้น แต่ถึงแม้ว่าผ้าโพลีเอสเตอร์จะถูกผลิตจากพลาสติก แต่ก็สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และนำกลับมารีไซเคิล เพื่อวนต่อการใช้ใหม่ได้ จากเส้นด้ายหรือเศษผ้า จึงนับว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

Multi color fabric texture samples

 

คุณสมบัติของผ้าโพลีเอสเตอร์

นอกจากความเหนียว ทนทาน และดูแลง่ายแล้ว ผ้าโพลีเอสเตอร์ ยังมีความยืดหยุ่น สัมผัสนุ่ม ไม่ยับง่าย ทนความร้อน น้ำหนักเบา เนื้อผ้าแห้งเร็วเพราะไม่ดูดซับความชื้น ไม่อมน้ำ ทำให้ไม่เกิดเชื้อรา ระบายอากาศได้ดี ทำให้สวมใส่สบาย และมีความหดตัวน้อยกว่าผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น การดูแลรักษาผ้าโพลีเอสเตอร์ ไม่ยุ่งยาก ซักมือและซักเครื่องได้ตามปกติ สามารถทำความสะอาดได้ด้วย ผงซักฟอก สารฟอกขาว หรือ สบู่ และเนื่องจากผ้าโพลีเอสเตอร์ยับยาก จึงไม่จำเป็นต้องรีด หรือรีดด้วยไฟอ่อนๆ ก็เพียงพอ  

 

และเนื่องจากผ้าที่มีส่วนผสมของโพลีเอสเตอร์ เป็นผ้าชนิดเดียวที่สามารถนำมาพิมพ์ลายผ้าระบบซับลิเมชั่น (Sublimation) จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการนำมาตัดเป็นฟอร์มพนักงาน เสื้อผ้าแฟชั่น ผ้าพันคอ ชุดกีฬา เสื้อผ้าออกกำลังกาย เสื้อช็อป และชุดเสื้อผ้าที่ต้องสกรีนชื่อองค์กร แบรนด์ ทีม เป็นต้น 

 

Sublimation หรือ การพิมพ์ผ้าระบบซับลิเมชั่น คือ การพิมพ์ภาพลงบนกระดาษด้วยน้ำหมึกซับลิเมชั่น โดยเริ่มจากพิมพ์ภาพลงบนกระดาษซับลิเมชั่น จากนั้นนำกระดาษที่พิมพ์ไปวางบนเสื้อ แล้วรีดด้วยความร้อนหรือเครื่องรีดโรล โดยการกดทับเพื่อถ่ายเทน้ำหมึกจากกระดาษลงบนเนื้อผ้า ซึ่งเนื้อผ้าที่ใช้ในการพิมพ์ซับลิเมชั่นจะต้องมีส่วนผสมของใยสังเคราะห์ Polyester และหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเส้นใยธรรมชาติ อย่าง ผ้าฝ้าย มาใช้ 

ผ้าโพลีเอสเตอร์ถูกนำไปผลิตหรือผสมกับวัสดุอื่น ๆ เพื่อให้ได้คุณสมบัติและผิวสัมผัสที่แตกต่างกัน และให้ตรงกับประเภทงานที่จะนำไปใช้ ได้อย่างหลากหลายขึ้น เนื้อผ้าที่ทำจากโพลีเอสเตอร์ จึงมีมากมายในวงการถักทอ เช่น 

 

  • ผ้าโซล่อน เป็นผ้าเนื้อหนาปานกลาง มีการทอลายทั้งสองด้าน มีส่วนผสมของ Polyester 100% จึงทำให้ผ้าชนิดนี้ เหมาะกับงานสรีน Sublimation นิยมนำไปตัดเย็บที่หลากหลาย ทั้ง เสื้อ กางเกง เสื้อกาวน์ ชุดสูท ผ้าคลุมต่างๆ เช่น ผ้าคลุมตัว ผ้าปูโต๊ะ ผ้ากันเปื้อน หรือแม้แต่การตัดทำชุดคอสเพลย์ เพราะคุณสมบัติของผ้าโซล่อนคือ อยู่ทรง เน้นท์สีอะคริลิคได้ สามารถทำให้แข็งได้โดยเคลือบแป้งให้หนา และยังสามารถทำให้ผ้าพริ้วหรือนิ่มได้ ด้วยการลดการเคลือบแป้งให้น้อยลง 

 

  • ผ้าลีวาย เป็นผ้าเนื้อหนาปานกลาง มีเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ผสมค่อนข้างมาก ทำให้มีคุณสมบัติที่ดี คือ ฝุ่นไม่ติดเนื้อผ้า สามารถซักทำความสะอาดคราบสิ่งสกปรกออกได้ง่าย แม้จะเลอะคราบเลือดก็ตาม ยับยาก แทบไม่ต้องรีด แต่ถ้าต้องการจะรีด ต้องใช้ไฟอ่อน หริอหาผ้าอื่นมาทับก่อนรีด เพราะไม่เช่นนั้นผ้าจะขึ้นเงา ดูแลรักษาง่าย แต่ไม่ซับเหงื่อ มีสีให้เลือกพอสมควร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโทนสีสุภาพทั่วไป หรือออกไปค่อนข้ามสีเข้ม 

 

  • ผ้าโอซาก้า ผ้าโฟร์เวย์ เนื้อผ้าสวย ไม่แนบเนื้อ สวมสบาย มีน้ำหนักทิ้งตัว ไม่ยับง่าย 

 

  • ผ้าร่ม มีลักษณะเนื้อบางเบา แนบผิว ไม่ซับน้ำ ไม่อุ้มน้ำ แห้งเร็ว เนื้อเส้นด้ายทอแน่น กันฝุ่นได้ดี ซึ่งเรามักจะเห็นผ้าร่มนี้ได้ทั่วไป จากผ้าเสื้อกันลม ชุดกันฝน หรือนำไปทำร่ม 

ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของผ้าแต่ละชนิดที่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์ มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งานนี้เอง การ ผู้ประกอบการต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจการทอผ้า หรือผู้รับเหมาตัดเย็บชุด จะต้องมีความรู้ลักษณะ คุณสมบัติ ความแตกต่างของเนื้อผ้า และการนำผ้ามาใช้ให้เหมาะกับงาน เพราะหากนำชนิดผ้าที่มีคุณสมบัติซับน้ำได้ดี ไปทำผ้ากันเปื้อน นั่นเป็นการใช้งานผ้าที่ผิด และทำให้เกิดความเสียหายได้ ไหนๆก็พูดถึงผ้ากันเปื้อนแล้ว หากธุรกิจใดที่ต้องใช้ผ้ากันเปื้อนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นระบบองค์ใหญ่ หรือธุรกิจขนาดเล็ก ที่กำลังมองหาชนิดของผ้า เพื่อนำมาใช้สั่งตัดทำผ้ากันเปื้อน สำหรับประกอบในกิจการของตน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้เนื้อผ้าชนิดใดดี เรามีเนื้อผ้า 3 ชนิด ที่เหมาะสำหรับการทำผ้ากันเปื้อนมากๆ และยังเป็นที่นิยมเป็นอันดับต้นๆ ในการทำผ้ากันเปื้อน ได้แก่ 

 

1.ผ้าโซล่อน (Solon fabric)

เนื้อผ้าโซล่อน หนาปานกลาง ประกอบไปด้วยเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ( Polyester 100%) โดยมีการทอ เป็นลายทั้งสองด้าน และสามารถทำให้ผ้ามีความแข็งมาก หรือให้มีความพริ้ว อ่อนนุ่ม ก็ได้ จากลักษณะการเคลือบแป้ง หากต้องการให้ผ้าแข็ง ก็เคลือบแป้งให้หนา แต่ถ้าต้องการให้ผ้าพริ้วและนุ่ม ก็ลดการเคลือบแป้งให้น้อยลง อีกทั้งผ้าโซล่อนคุณสมบัติไม่ซับน้ำ จึงเหมาะกับการใช้งานในครัวได้ดี ที่อาจจะต้องมีการโดนน้ำได้ง่าย 

 

2.ผ้าโอซาก้า (Osaka fabric) 

ผ้าโอซากา หรือ ผ้าโฟร์เวย์ ผ้าทอที่มีลักษณะกึ่งแข็ง เป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ 100% เช่นกัน เนื้อผ้าสวย ไม่แนบเนื้อ สวมสบาย มีน้ำหนักทิ้งตัว ไม่ยับง่าย ไม่รีด สวมใส่ได้ง่าย มีความทนทาน ไม่ซีดจางง่าย แม้จะสวมใส่บ่อยแค่ไหนก็ตาม 

 

3.ผ้าโทเร (Toray fabric)

ผ้าโทเร เป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ผสม ระหว่าง Polyester 65% และ Cotton 35% มีชนิดเส้นด้าย 190 เส้น และ 210 เส้น ซึ่งจะนิยมเรียกชื่อตามจำนวนเส้นที่ทอ ด้วยการเรียกว่า ผ้าโทเร 190 และผ้าโทเร 210 โดยผ้าโทเร 190 จะมีจำนวนเส้นด้ายทอน้อยกว่าและบางกว่าผ้าโทเร 210 แต่เนื่องจากผ้าโทเรจะเป็นผ้าที่ค่อนข้างบาง จึงเหมาะกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว 

Cotton flower on the table

 

ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างของเนื้อผ้าที่ได้รับนิยม สำหรับนำมาใช้ตัดเป็นผ้ากันเปื้อน หรือแม้แต่ชุดฟอร์ม ที่ต้องการความทนทาน อยู่ทรง ยับยาก แต่ดูแลง่าย สวมใส่สบาย ที่ผลิตมาจากผ้าโพลีเอสเตอร์ แต่ถ้าต้องการศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ เพื่อนำมาใช้ประกอบในการตัดสินใจ สำหรับธุรกิจหรือองค์กร สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านผ้า ที่คร่ำหวอดในวงการผ้ามาอย่างยาวนานอย่าง ช้างสีฟ้า รับรองว่าจะได้คำแนะนำที่ดีที่สุดในเรื่องของเนื้อผ้าอย่างแน่นอน 

 

เชื่อว่าเจ้าของกิจการโรงแรม-รีสอร์ทและผู้ที่กำลังจะเปิดธุรกิจที่พักหรือสปา คงประสบปัญหาไม่น้อยกับการเลือกผ้าปูที่นอนสีขาวแบบโรงแรมและผ้าคลุมเตียงโรงแรมอย่างไรให้ได้มาตรฐาน เป็นผ้าปูเกรดโรงแรมคุณภาพสูงไว้บริการลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบริการของทุกกิจการที่พัก บทความนี้เราจึงมีวิธีการเลือกผ้าปูที่นอนแบบโรงแรมมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ทราบ

 

ชุดผ้าปูโรงแรมมีมาตรฐานดูจากอะไร

1.ชุดผ้าปูที่นอนโรงแรมนิยมใช้สีขาว

โรงแรมและรีสอร์ทส่วนใหญ่เลือกใช้ผ้าปูที่นอนโรงแรมสีขาว เพราะดูสะอาดตา mix & match ได้ทุกสไตล์การตกแต่งและเฟอร์นนิเจอร์อื่นๆ และยังแสดงถึงความสะอาด แต่ถ้าต้องการเพิ่มความหรูหราสำหรับผ้าปูโรงแรม5ดาวบางแห่งก็อาจเลือกใช้ผ้าปูที่นอนลายริ้วโรงแรมเพราะให้ประกายเงาดุจไหมสวยงาม

 

2.ชนิดของผ้าปูที่นอนโรงแรม

ผ้าปูที่นอนสีขาวโรงแรมจะมีหลายสเปคผ้าขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าดังนี้

  • ผ้าtc180t ผ้าผสมระหว่างใยฝ้ายและโพลีเอสเตอร์  เนื้อผ้าจะแข็ง ทนต่อการซักล้างสูง
  • ผ้าc220t เป็นผ้าCotton 100% ผ้าไม่หดหรือย้วยหลังผ่านกระบวนการซัก
  • ผ้าc250t ผ้าใยฝ้ายแท้ มีโครงสร้าง 250 เส้น เส้นทอเรียบ ซักแล้วไม่หด เนื้อผ้าเย็นสบาย ใช้นานแค่ไหนก็ไม่เป็นขุย 
  • ผ้าc300t เป็นผ้าคอตตอนที่มีโครงสร้าง 300 เส้น / ตารางนิ้ว เนื้อผ้าแน่น จึงมีอายุการใช้งานได้นาน 
  • ผ้า Soft tex 360t เป็นผ้าผสม Polyester ที่นิยมใช้มากขึ้นในปัจจุบัน

 

3.ประเภทผ้าปูที่นอนตามมาตรฐานโรงแรม 

ผ้าปูแบบโรงแรมที่นิยมใช้กันมี 2 แบบ ดังนี้ ผ้าปูที่นอนแบบรัดมุม (Cover) และ ผ้าปูที่นอนไม่รัดมุม (Flat Sheet) 

ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทนิยมใช้เป็นผ้าปูสีขาวโรงแรมเพราะเนื่องจากกฏหมายกำหนดไว้เป็นมาตรฐานสำหรับชุดผ้าปูที่นอนโรงแรมที่มีคุณภาพ และผ้าต้องทนต่อการซักอุตสาหกรรม ทนต่อน้ำยาซักผ้าขาว สามารถทนต่อการซักในน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส 

 

วิธีปูผ้าปูที่นอนแบบโรงแรม

นอกจากการเลือกผ้าปูที่นอนให้ได้มาตรฐานโรงแรมแล้ว การปูผ้าปูที่นอนให้ตึงก็เป็นอีกมาตรฐานหนึ่งที่ขึ้นชื่อของธุรกิจที่พักและโรงแรม เพราะทำให้รู้สึกถึงความเรียบร้อย สะอาด มั่นใจได้ถึงการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนผืนใหม่ เพราะการปูที่นอนให้ตึงจะทำให้เห็นรอยได้ง่ายหากมีการใช้งาน ซึ่งการปูที่นอนแบบโรงแรมหลักๆเลยจะมี2แบบคือ การปูแบบผ้า3ผืนและการปูแบบดูเว่

 

1.วิธีปูผ้าปูที่นอนโรงแรมแบบผ้า3ผืน คือการปูผ้าแบบ3ชั้น ด้วยผ้าปูที่นอนแบบไม่รัดมุม โดยมีขั้นตอนดังนี้ 

 

  • ปูผ้าปูโรงแรมผืนล่างสุด ใช้ผ้าปูที่นอนไม่รัดมุม โดยเริ่มจากการคลี่และสบัดผ้าคลายออก จับส่วนปลายผ้าด้านหนึ่งแล้วโยนผ้าลงบนเตียงไปถึงหัวเตียง เน้นให้เส้นกลางรอยพับของผ้าอยู่กลางเตียง เพื่อให้ผ้าด้านซ้าย-ขวามีขนาดเท่ากัน แล้วสบัดผ้าคลี่ออกให้คลุมทั่วที่นอน ปล่อยปลายผ้าให้ได้สัดส่วนทั้งสี่มุม จากนั้นดึงผ้าปูที่นอนให้ตึงทุกด้าน เก็บผ้ามุมหัวเตียงทำมุม 45 องศา หรือ 90 องศา ตามขนาดผ้าและเตียง แล้วสอดปลายผ้าเข้าใต้ที่นอน ทำวิธีเดียวกันกับผ้าปลายเตียงให้ครบทั้ง 4มุม และสอดปลายผ้ารอบเตียงที่เหลือเข้าใต้ที่นอนให้หมด 
  • ปูผ้าปูที่นอนโรงแรมผืนที่สอง (bed sheet) ให้ปูผ้าเอาด้านในขึ้นโดยหงายด้านตะเข็บขึ้น (เพราะผ้าด้านในจะมีความนุ่มลื่นกว่าด้านนอก จึงต้องปูให้ด้านที่นุ่มสัมผัสกับผิวเมื่อนอนบนเตียง) ให้ปลายผ้าปูที่นอนพอดีกับด้านบนของเตียงนอน ดึงผ้าให้เรียบตึง แต่ปล่อยปลายผ้าไว้โดยไม่ต้องสอดเข้าใต้เตียง เพราะผ้าผืนนี้ไว้สำหรับห่มกับผ้านวม 
  • ปูผ้านวม (blanket) ปูทับบนผ้าผืนที่สอง โดยให้วางห่างจากด้านบนเตียงประมาณ 15 เซ็นติเมตร แล้วปูผ้าผ้าปูเตียงโรงแรมผืนที่สามทับลงบนผ้านวม เหมือนการปูผ้าผืนที่สองแต่ให้คว่ำตะเข็บผ้าลง 
  • พับและตกแต่ง พับผ้าปูทั้งสองจากส่วนด้านบนเตียงนอนประมาณ 15 เซ็นติเมตรเข้าหาผ้านวมและพับอีกรอบ จากนั้นสอดทั้งผ้าปูและผ้านวมสอดเหน็บเข้าใต้ปลายเตียง และสอดปลายผ้าปูเหน็บเข้าใต้ที่นอนตามความยาวเตียง แล้วดึงไปทางหัวเตียงให้ขนานไปกับที่นอน และปิดท้ายด้วยการเหน็บมุมผ้าเข้ากับผ้านวมสอดเก็บเข้าไปในใต้ที่นอนด้วยกัน จากนั้นอาจตกแต่งด้วยผ้าคาดเตียง หรือหมอนอิงต่างๆ แล้วแต่ไอเดีย เพื่อให้ดูโมเดิร์น และน่านอนมากขึ้น 

 

2.วิธีปูเตียงโรงแรมแบบ Duvet วิธีการปูเตียงแบบดูเว่คือการปูเตียงโรงแรมแบบผ้านวม(ปลอกดูเว่-ไส้นวม) จะมีอุปกรณ์หลักสำคัญ 5 อย่าง ได้แก่ ผ้ารองกันเปื้อน ผ้าปูที่นอนสําหรับโรงแรม ปลอกหมอน ดูเว่ และ หมอน โดยมีขั้นตอนในการปูดังต่อไปนี้

  • นำผ้ารองกันเปื้อน(bed pad) ปูบนที่นอน โดยผ้ารองนี้จะมีสายรัด4มุม สามารถสอดสายรัดเข้าที่นอนได้เลย 
  • นำผ้าปูที่นอนปูคลุมทับผ้ารองกันเปื้อน ซึ่งการปูผ้าแบบดูเว่จะใช้ผ้าปูที่นอนเพียง 1 ผืนเท่านั้น โดยวิธีการปูผ้าปูที่นอนจะเหมือนกับการปูที่นอนแบบผ้า 3 ผืน 
  • ปูผ้าดูเว่ เริ่มจากการนำปลอกดูเว่มาพลิกเอาด้านในไว้ด้านนอก วางผ้าดูเว่กางไว้บนที่นอน แล้วนำไส้นวมมาวางบนปลอกผ้าดูเว่ ปกติไส้นวมจะมีโลโก้ ให้นำโลโก้ของไส้นวมวางไว้ด้านล่างคือปลายเตียง ที่ปลอกดูเว่และไส้นวมจะมีเชือกหัวมุม ให้มัดเชือกปลอกดูเว่กับไส้นวมให้ทั้งสองติดกันทุกด้าน มัดโดยการขมวดปมให้สะดวกตอนแกะนำไปซัก เมื่อมัดครบทุกจุดแล้วให้ทำการกลับผ้าดูเว่ เพื่อนำไส้นวมเก็บเข้าไปในปลอกและเอาปลอกด้านนอกที่เรากลับด้านไว้ตอนแรกออกมาสู่ข้างนอก สบัดดูเว่เพื่อเป็นการจัดไส้นวมและปลอกให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ปูลงบนผ้าปูที่นอนและเก็บปลายผ้าหัวเตียงและปลายเตียงสอดใต้เตียงด้วยวิธีเดียวกันกับปูผ้าปูที่นอน แต่ไม่ต้องเก็บผ้าด้านข้าง ปล่อยชายด้านข้างไว้ทั้งสองข้าง พับผ้าดูเว่ตรงหัวเตียงประมาณ 1 ฝ่ามือ พับทบลงมา 2 ทบ แล้วรีดให้เรียบให้ดูดี 
  • นำหมอนใส่ปลอกหมอน แล้วนำหมอนจัดวางบนหัวเตียง 

 

เคล็ดลับการปูผ้าที่นอนแบบโรงแรมคือการเก็บปลายผ้าหัวเตียงทั้งสองด้านก่อน แล้วมาดึงปลายผ้าปลายเตียงให้ผ้าปูที่นอนเรียบตึง โดยอาจใช้หัวเข่าดันที่นอนและใช้มือทั้งสองดึงปลายผ้า เมื่อผ้าตึงดีจนพอใจแล้วก็เก็บปลายผ้าเหน็บใต้เตียง หลังจากนั้นก็เก็บขอบผ้าด้านข้างซ้าย-ขวาที่เหลือ

วิธีเลือกโรงงานผลิตผ้าปูที่นอนมาตรฐานโรงแรม6ดาว

ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทต่างๆจะต้องใช้ผ้าปูที่นอนจำนวนมากสำหรับห้องพัก จึงต้องสั่งซื้อหรือตัดกับโรงงานเย็บผ้าปูที่นอนเพื่อทำการขายส่งผ้าปูที่นอนโรงแรม และชุดผ้าปูที่นอนราคาโรงงานยังช่วยลดต้นทุนให้กับเจ้าของกิจการ โดยปัจจุบันโรงงานตัดเย็บผ้าปูที่นอนมีเยอะมาก และผ้าปูที่นอนราคาถูกจากโรงงานลายสวยงามก็มีให้เลือกทั่วไป การจะหาผ้าปูที่นอนราคาส่งจากโรงงานจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับผ้าปูที่นอนโรงแรม6ดาว จะต้องเลือกโรงงานทอผ้าปูที่นอนที่ได้มาตรฐานการผลิตเท่านั้นจึงจะได้สินค้าคุณภาพครบถ้วน ซึ่งการเลือกโรงงานผลิตผ้าปูที่นอนโรงแรมที่ได้มาตรฐานมีวิธีดังต่อไปนี้  

 

1.วัตถุดิบมีคุณภาพ เป็นผ้าที่มีการตัดเย็บปราณีตเรียบร้อย ดูสะอาด สวยงาม จำนวนเส้นในการทอยิ่งมากยิ่งดี ช่วยให้เนื้อผ้ามีความแน่นละเอียด ทนต่อการซักล้างทุกรูปแบบ ไม่เป็นขุยเป็นก้อนง่าย มีอายุการใช้งานยาวนาน ทำให้ไม่ต้องซื้อเปลี่ยนบ่อยๆ ดังนั้นการเลือกผ้าปูที่นอนราคาโรงงานที่ใช้วัตถุดิบเกรดเอในการผลิตเสมอ เป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว  

 

2.สามารถผลิตผ้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ทั้งขนาดมาตรฐานของชุดที่นอนโรงแรม ผ้าปูเตียง3.5ฟุต ผ้าปูเตียง5ฟุต ผ้าปูเตียง6ฟุตหรือไซส์ใหญ่พิเศษ เช่น เตียงกลม เตียง4ฟุต เตียง7ฟุต เป็นต้น

 

3.มีสเปคผ้าให้เลือกหลากหลาย โรงงานผลิตผ้าปูที่นอนที่ได้มาตรฐานจะต้องมีชนิดผ้าให้ลูกค้าได้เลือกหลากหลายแบบเพื่อตอบโจทย์ได้ทุกธุรกิจของลูกค้า  

 

4.กลุ่มลูกค้าและผลงาน โรงงานผ้าปูที่นอนโรงแรมขายส่งที่เชื่อถือได้และมีมาตรฐาน ควรมีลูกค้ากลุ่มหลักที่เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว รีสอร์ท วิลล่า ธุรกิจสปา โรงพยาบาล และเครือข่ายธุรกิจห้องพักทั่วประเทศและต่างประเทศ

 

5.ชื่อเสียง บริษัทหรือโรงงานผลิตผ้าปูที่นอนเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้า เมื่อคุณทำการค้นหาแหล่งขายผ้าปูที่นอนโรงแรมคุณภาพ ก็สามารถค้นหาได้อย่างง่ายดาย แสดงว่าเป็นโรงงานที่มีคุณภาพ จนมีการโฆษณากันแบบปากต่อปาก ทำให้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง 

 

6.การให้บริการ ให้คำแนะนำและข้อมูลกับลูกค้าตรงไปตรงมา เสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าเสมอให้บริการกับลูกค้าทุกระดับ มีบริการหลังการขายดีเยี่ยม รับผิดชอบและแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าทันทีเมื่อลูกค้าเจอปัญหาเกี่ยวกับสินค้า เช่น เนื้อผ้าหรือสีไม่ตรงสเปค ได้รับสินค้าผิดขนาด มีความล่าช้าในการจัดส่ง ฯลฯ  

 

7.ประสานงานและติดต่อได้สะดวก มีบริการติดต่อได้ทุกช่องทางเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น  พร้อมทั้งสามารถติดตามงานได้ทุกขั้นตอน 

 

8.การจัดส่งรวดเร็ว สามารถจัดส่งได้รวดเร็วตามกำหนดและทันใช้งาน ต้องไม่ล่าช้าจนส่งผลให้ธุรกิจมีความเสียหาย 

ชุดเครื่องนอนที่ได้คุณภาพเป็นหัวใจสำคัญธุรกิจห้องพัก โรงแรม รีสอร์ท ดังนั้นไม่ควรเลือกซื้อเพียงเพราะผ้าปูที่นอนโรงแรมราคาถูกเท่านั้น แต่ต้องเลือกที่คุณภาพเนื้อผ้าและแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าคุณจะมองหาผ้าปูที่นอนโรงแรมเพื่อใช้ประกอบในธุรกิจหรือนำไปใช้ในด้านอื่นๆก็ตาม เพราะคุณภาพการนอนที่ดีคือการได้หลับลึกอย่างเต็มที่ เหมือนเป็นการชาร์จพลังงานให้ร่างกาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่นและมีความพร้อมต่อการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การผ่าตัดถุงใต้ตา เป็นยังไง น่ากลัวมั้ย ?

รู้หรือไม่ ถุงใต้ตาเกิดจากอะไร ? หลายๆ คนมักมีความกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาถุงใต้ตา การเกิดถุงใต้ตานั้นมาจากไขมันที่สะสมกันจนทำให้ถุงใต้ตาหย่อยคล้อย ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดถุงไขมันใต้ตานั้นมากจากหลายสาเหตุ

ยกตัวอย่างเช่น ถุงใต้ตาเกิดจากการสะสมของไขมันบริเวณรอบๆ ดวงตา และมีการสะสมน้ำทั้งบริเวณใต้ตาล่างและหนังตาด้านบน ซึ่งเมื่อไขมันและน้ำมีการสะสมมากขึ้นจึงก่อให้เกิดเป็นถุงใต้ตา และทำให้หนังตาหย่อนคล้อย เป็นต้น

 

การผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน เพราะทางการแพทย์ถือเป็นการผ่าตัดเล็ก จึงไม่ต้องกังวล และราคาการผ่าตัดถุงใต้ตาในปัจจุบันก็ไม่แพง เพื่อให้ดวงตาได้กลับสวยงาม ดูเด่นอีกครั้งนั่นเองค่าาา

ก่อนการผ่าตัดถุงใต้ตาควรเตรียมตัวอย่างไร

คนไข้ควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตา สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจ ความดัน และเบาหวาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อให้แพทย์ประเมินก่อนและต้องได้รับคำอนุญาตจากแพทย์จึงเข้ารับการผ่าตัดได้ ควรงดรับประทานอาหารเสริม วิตามินบำรุงต่างๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตาประมาณ 2 สัปดาห์ และควรงดการดื่มสุราและสิ่งของมึนเมาก่อนเข้ารับการผ่าตัด 1-2 วัน และควรงดสูบบุหรี่ก่อนเข้ารับการผ่าตัด 1 เดือน

 

ขั้นตอนการผ่าตัดถุงใต้ตา

ก่อนทำการผ่าตัดแพทย์จะพูดคุยและให้คำปรึกษาแก่คนไข้ พร้อมทั้งทำการตรวจบริเวณชั้นตาเพื่อประเมินว่าควรแก้ไขและรักษาถุงใต้ตาอย่างไรให้สวยงามเหมาะสมตรงตามที่คนไข้ต้องการ เมื่อให้คำปรึกษากับคนไข้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มทำการผ่าตัด

ในการผ่าตัดถุงใต้ตาโดยทั่วไปจะใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะจุดตรงบริเวณที่จะทำการผ่าตัด เมื่อยาชาออกฤทธิ์แพทย์จะทำการผ่าตัดซึ่งวิธีการในการผ่าตัดถุงใต้ตาเพื่อนำไขมันถุงใต้ตาที่เป็นส่วนเกินออกนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคเฉพาะของแพทย์แต่ละท่าน เมื่อผ่าตัดเอาไขมันถุงใต้ตาออกแล้วแพทย์จะเย็บแผล ซึ่งจะใช้เทคนิคการเย็บแบบซ่อนรอยแผล เมื่อแผลหายและเข้าที่แล้วจะมองไม่เห็นรอยแผล เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วรอให้ยาชาหมดฤทธิ์ แพทย์จะอนุญาตให้คนไข้สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ทันที

หลังการผ่าตัดถุงใต้ตาควรดูแลอย่างไร

หลังการผ่าตัดคนไข้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานตามแพทย์สั่ง รวมไปถึงควรเข้าพบแพทย์ตามกำหนด เพื่อประมาณหลังการผ่าตัดถุงใต้ตา ซึ่งหลังการผ่าตัดถุงใต้ตาคนไข้ควรปฏิบัติดังนี้

  1. สองวันแรกหลังการผ่าตัดถุงใต้ตา หรือการผ่าตัดถุงไขมันใต้ตา คนไข้ควรประคบเย็นรอบดวงตาและหน้าผาก เพื่อช่วยลดอาการบวม
  2. สองวันแรกหลังการผ่าตัดไม่ควรให้แผลโดนน้ำ หากต้องการทำความสะอาดควรใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดแล้วเช็ดเบาๆ
  3. หลังการผ่าตัดถุงใต้ตาควรนอนยกศีรษะสูง จะช่วยลดอาการบวมได้ดียิ่งขึ้น
  4. หลังผ่าตัดถุงใต้ตาไม่ควรใช้สายตามาก ควรพักสายตามากๆ ในช่วงสามวันแรกหลังการผ่าตัด
  5. สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดถุงใต้ตาควรงดใส่คอนแทคเลนส์ และสวมแว่นแทน

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัด

หลายๆ ครั้งมักพบคำว่าถามว่า หลังจากผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาแล้วหนังตาจะปลิ้นหรือไม่ ? เป็นคำถามที่หลายๆ คนกังวล ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำตอบสำหรับคำถามนี้ว่า ความเสี่ยงนี้อาจเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีอายุมาก หรือผู้ที่มีหนังตาหรือเปลือกตาที่ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ก่อนแล้ว หากการผ่าตัดนั้นมีการตัดแต่งหนังตาล่างมากเกินไปก็จะมีโอกาสที่ทำให้หนังตาปลิ้นได้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งว่าควรเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจะเกิดขึ้นหลังผ่าตัด

เชื่อว่าหลายคนมักจะได้ยินกันว่าเป็นโรคเก๊าท์ ห้ามกินไก่ จริงหรือมั่ว วันนี้ doo-den จะมาชวนทุกคนค้นหาคำตอบกันค่ะ 

โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร 

โรคเก๊าท์ (Gout) เกิดจากข้อต่อหรือเนื้อเยื่อรอบข้อมีการอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยมีสาเหตุมาจากมีกรดยูริก (Uric acid) ในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จนกรดยูริกกลายเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างมาก ซึ่งปกติร่างกายจะขับกรดยูริกออกผ่านทางไต เพราะกรดยูริกถือว่าเป็นของเสียสำหรับร่างกาย และการที่ร่างกายมีกรดยูริกสูงเกินไปเกิดได้จากหลายปัจจัย จนก่อให้เกิดภาวะโรคเก๊าท์ อาหาร พันธุกรรม หรือความผิดปกติในอวัยวะของร่างกาย เช่น ไต เป็นต้น 

โรคเก๊าท์มีอาการอย่างไร 

โดยโรคเก๊าท์อาการเบื้องต้นที่สามารถสังเกตได้ คือ มีอาการอักเสบบริเวณข้อต่อแบบเฉียบพลันบ่อย ๆ หรือมีอาการตึง บวม แดง และรู้สึกแสบร้อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักจะเกิดอาการที่ข้อต่อกระดูกฝ่าเท้า หรือ โคนนิ้วหัวแม่เท้า และแม้แต่หลังหูก็สามารถเป็นได้เช่นกัน อาการของโรคเก๊าท์ที่พบได้บ่อย คือ ปวดแสบปวดร้อน เจ็บปวดรุนแรง ผิวหนังรอบ ๆ ข้อบวมแดงและแวววาวมากขึ้น โดยความรุนแรงของอาการจะอยู่ในช่วง 4 – 12 ชั่วโมงแรก ซึ่งจะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก และอาการเหล่านี้อาจยาวนานต่อเนื่อง 1 – 3 วัน หรือ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ 

โรคเก๊าท์ห้ามกินอะไร 

อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารจำพวกที่มีสารพิวรีนมากกว่า 150 มิลลิกรัม เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารพิวรีน จะมีการสลายให้กลายเป็นกรดยูริก จนเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการเก๊าท์กำเริบนั่นเอง แล้วอาหารอะไรบ้างที่คนเป็นเก๊าท์คนเลี่ยง … 

  • ไต 
  • ตับ 
  • ไส้ตัน
  • เนื้อเป็ด 
  • เนื้อไก่
  • ไข่ปลา
  • ปลาทู
  • ปลาซาร์ดีน 
  • หอยเชลล์
  • กะปิจากปลาไส้ตัน
  • น้ำปลา
  • น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น
  • น้ำต้มเนื้อ 
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

อาหารอะไรที่คนเป็นเก๊าท์กินได้ 

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ สามารถรับประทานได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 0 – 50 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่ามีปริมาณน้อยมาก โดยสามารถทานอาหารเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น ข้าว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี ไข่ นม กะทิ เนย น้ำมันหมู ผักและผลไม้ทุกชนิด ข้าวโพด เกาลัด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมไปถึงขนมหวานและเบเกอรี่ต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ทอยหยอด ขนมปัง เค้ก คุกกี้ หรือแม้แต่เครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ หรือ โกโก้ เป็นต้น 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 50 – 150 กรัม เพราะถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่สูงมาก ลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่ออาการเก๊าท์กำเริบ สามารถทานได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น เนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อวัว ปู กุ้ง ส่วนเครื่องในสัตว์ อย่าง กระเพาะ และ ผ้าขี้ริ้ว สามารถทานได้ และพืชผักจำพวก หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ดอกกะหล่ำ เห็ด ชะอม และ ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเนื้อไก่จะเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง แต่เนื้อไก่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดการเป็นเก๊าท์ เพียงแต่เนื้อไก่มีสารพิวรีนสูง ผู้ที่เป็นเก๊าท์จึงควรระมัดระวังในการทานไก่ โดยควรทานไก่ในปริมาณที่จำกัด แต่ถ้าไม่แน่ใจก็อาจหลีกเลี่ยงไม่ทานเลย เปลี่ยนไปทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำแทน จะช่วยลดโอกาสความเสี่ยงที่ก่อให้อาการเก๊าท์กำเริบได้ค่ะ 

บีทรูท คือ พืชชนิดหนึ่งที่นิยมทานในส่วนของรากที่อยู่ใต้ดิน และส่วนที่เป็นของหัวบีทรูท กินดิบ นำไปดอง ปรุงอาหาร เครื่องดื่ม หรือนำไปเพิ่มสีสันให้กับอาหาร และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงการนำบีทรูทใช้เป็นยารักษาโรค ด้วยบีทรูทอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินบี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมงกานีส โฟเลต และไฟเบอร์สูง 

 

วันนี้แอดมินจะมาชวนทุกคนรู้ถึงสรรพคุณของบีทรูท มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทานบีทรูท โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง 

ลักษณะของบีทรูท 

หัว : หัวใต้ดิน ทรงกลมป้อม อวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง 

ใบ : ใบเดี่ยวรูปหัวใจ เรียงสลับ มีก้านยาว 

ดอก : ดอกลักษณะเดี่ยว เป็นช่อขนาดเล็กสีเขียวอ่อน 

ผล : ผลมีขนาดเล็ก 

บีทรูทมีสารสีแดง Betanin (บีทานิน) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ทำให้สรรพคุณบีทรูทช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ต่อต้านการเกิดมะเร็ง ลดการเติบโตของเนื้องอก ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมดีขึ้น อีกทั้งบีทรูทมี Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ซึ่งเป็นสารสีม่วง มีค่า pH 7-8 สภาพเป็นเบส โดยสารสีแดง pH มากกว่า 11 มีสภาพความเป็นกรด ในขณะที่สีน้ำเงินที่เป็นสารแอนโทไซยานิน ค่า pH น้อยกว่า 3 ทำให้บีทรูทมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและลดอาการอัมพาต 

ประโยชน์ของบีทรูท 

สรรพคุณของบีทรูทด้านภูมิคุ้มกัน 

  • เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ
  • ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย 
  • เสริมสร้างกำลังและความแข็งแรงให้กับร่างกาย 
  • ลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย 
  • ล้างสารพิษในร่างกาย 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบเลือด

  • ลดการอุดตันในหลอดเลือด
  • ลดความดันเลือด
  • บำรุงหลอดเลือด
  • เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตเลือด
  • ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  • แก้อาการเลือดประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ลดการสะสมไขมัน

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบำรุงหัวใจ 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านโรคมะเร็ง 

  • ต่อต้านการเกิดมะเร็ง
  • ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง 
  • ลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย 

  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ขับปัสสาวะ 
  • เป็นยาระบายอ่อน ๆ 
  • บำรุงไตและถุงน้ำดี

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบรรเทาอาการ

  • แก้อาการไอ เจ็บคอ ขับเสมหะ 
  • ลดอาการบวม

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านความงาม 

  • รักษาระบบน้ำเหลืองเสีย
  • รักษาสิวหนอง สิวอักเสบ

 

สรรพคุณทางยาของบีทรูท 

ดื่มน้ำบีทรูทคั้นในช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. ก่อนรับประทานอาหาร ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ 

 

ดื่มน้ำบีทรูทในช่วงเวลา 21.00 – 22.00 น. ดื่มน้ำบีทรูทก่อนนอน ช่วย detox ร่างกาย ล้างสารพิษ บำรุงไต ถุงน้ำดี แก้เจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ ลดอาการบวม 

 

ประโยชน์ของบีทรูทด้านอื่น ๆ 

บีทรูทสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้หลากหลายเมนู เช่น เส้นพาสต้าบีทรูท สลัดน้ำบีทรูท สาคูไส้บีทรูท ขมมเค้ก พุดดิ้งนมสดบีทรูท ไอศกรีม หรือจะนำไปหมักทำเป็นไวน์ สมูทตี้ ซึ่งบีทรูทปั่นกับอะไรก็อร่อย และนำไปดองทำเป็นน้ำส้มสายชู หรือนำไปแกะสลัก ใช้ตกแต่งอาหาร และทำเป็นสีผสมอาหารจากธรรมชาติได้อีกด้วย 

การทำน้ำบีทรูทง่าย ๆ ที่นอกเหนือจากการนำไปปั่นสมูทตี้ 

  • ปอกเปลือกบีทรูทแล้วนำไปล้างให้สะอาด 
  • หั่นบีทรูทเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่เครื่องปั่นแยกกาก หรือปั่นปกติแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ 
  • นำน้ำบีทรูทที่กรองใส่หม้อตั้งไฟ 
  • เติมน้ำตาลทราย ½ ถ้วย 
  • เติมเกลือ ⅓ ช้อนชา 
  • ชิมได้รสตามชอบ 
  • ปิดไฟเมื่อน้ำบีทรูทพอเริ่มเดือดเล็กน้อยหรือแค่พออุ่น
  • ดื่มตอนยังอุ่น ๆ หรือตั้งให้เย็นแล้วดื่ม หรือเติมน้ำแข็งตามชอบ 

ใคร ๆ ก็รู้ว่าประโยชน์ของไข่ไก่ อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ทำเมนูไหนก็อร่อย แถมราคาถูก หลายคนที่มักจะซื้อไข่ยกแผง แต่เมื่อจะปรุงอาหารทีไรก็นึกได้แต่เมนูเบสิค วันนี้เราจะมาชวนเปลี่ยนเมนูไข่แบบเดิม ๆ ให้เป็นเมนูไข่สุดว้าว ทำง่าย ทานได้บ่อย ไม่มีเบื่อ และเพิ่มเติมคือความอร่อย ฟิน แถมทำขายก็ไอเดียเก๋ เริสแน่นอน 

  1. ไข่กระทะทรงเครื่อง

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • หมูสับ 60 กรัม 
  • ไส้กรอก 40 กรัม 
  • หมูยอ 30 กรัม 
  • กุนเชียงทอด 30 กรัม
  • ข้าวโพด 15 กรัม 
  • ถั่วลันเตา 15 กรัม 
  • แครอท 15 กรัม 
  • ต้นหอม 2 กรัม
  • น้ำมันพืช 30 มิลลิลิตร 
  • เครื่องปรุงรส ( เช่น ซอสถั่วเหลือง , อุไมซอส)

 

วิธีทำ 

  • ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย 
  • นำหมูสับลงไปรวน และปรุงรสด้วยซอสที่เตรียมไว้
  • ตักหมูขึ้นพัก
  • หั่นไส้กรอก หมูยอ และกุนเชียงจัดใส่จานเตรียมสำหรับเสิร์ฟ
  • ตั้งกระทะใส่น้ำมัน 
  • ตอกไข่ไก่ลงไปในกระทะ ทอดจนไข่สุกแล้วปิดไฟ
  • ลวกแครอท ถั่วลันเตา และข้าวโพดให้พอสุก
  • ตักผักลวกขึ้นจัดลงบนกระทะที่เล็กที่เตรียมไว้ ดามด้วยหมูสับ ไส้กรอก และกุนเชียง 
  • โรยด้วยต้นหอม
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ตุ๋นญี่ปุ่นไข่ปลาแซลมอน 

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง 
  • แซลมอนหั่นเต๋า 30 กรัม
  • กุ้งขาวลวก 
  • ไข่ปลาแซลมอนเล็กน้อย 
  • เห็ดหอม 
  • เม็ดแปะก๊วย
  • ขึ้นฉ่าย 
  • เครื่องปรุง (ซอส หรือน้ำซุปดาชิเข้มข้น คิดโคแมน) 
  • น้ำสะอาด 100 มิลลิลิตร 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ใส่ชาม ตึไข่ให้เข้ากัน 
  • เติมเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงผสมกับไข่ให้เข้ากัน
  • กรองไข่ผ่านกระชอนเพื่อให้ไข่มีเนื้อเนียน 
  • เตรียมหม้อนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือด ด้วยไฟอ่อน 
  • นำแซลมอนใส่ถ้วยไข่ตุ๋น จากนั้นเทไข่ตามลงไป แล้วปิดปากถ้วยด้วยฟอยล์ 
  • นึ่งประมาณ 10 – 15 นาที จนไข่สุก
  • นำแปะก๊วย กุ้งขาวลวก ไข่ปลาแซลมอน และขึ้นฉ่ายตกแต่งหน้าไข่ตุ๋นให้สวยงาม 
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ดองโชยุ 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 5 – 6 ฟอง 
  • มันหมูแข็ง 2 ถ้วย 
  • น้ำกระเทียมดอง 45 กรัม 
  • กระเทียมซอย 2 กลีบ 
  • พริกจินดา 3 – 4 เม็ด 
  • มิริน 15 กรัม 
  • ซอสถั่วเหลือง โชยุ 150 กรัม 
  • ข้าวสวย 2 ถ้วย 
  • กระเทียมเจียว และ ต้นหอมซอย (สำหรับเสิร์ฟ) 

 

วิธีทำ 

  • ผสม โชยุ น้ำกระเทียมดอง และ มิริน เข้าด้วยกัน 
  • ตามด้วยพริกและกระเทียมซอย 
  • แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว แล้วนำเฉพาะไข่แดงใส่ลงไปดอง 
  • นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 6 ชั่วโมง 
  • เจียวกากหมูจนกรอบ แล้วสะเด็ดน้ำมันพักไว้ 
  • ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย 
  • นำไข่ขาวที่แยกไว้เพียงเล็กน้อยใส่ลงไปยีในกระทะให้พอสุก 
  • ใส่ข้าวลงไปผัด
  • แบ่งกากหมูส่วนหนึ่งลงไปผัดกับข้าว 
  • ตักข้าวเสิร์ฟพร้อมกับไข่ดอง กากหมู กระเทียมเจียว และต้นหอมซอยที่เตรียมไว้ 

  1. ไข่ม้วนญี่ปุ่น 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 2 – 3 ฟอง 
  • ทูน่าในน้ำเกลือ 50 กรัม 
  • ไข่ปลา 1 ช้อนโต๊ะ 
  • กะหล่ำปลีซอย 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ใบชิโสะ 3 – 4 ใบ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา 
  • มายองเนส 1 ½ ช้อนโต๊ะ 
  • คิคโคแมน ชิโร ดาชิ 2 ช้อนโต๊ะ (หรือซอสถั่วเหลืองที่มี) 
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ไก่ใส่ชาม 
  • เติมน้ำตาลทราย ชิโรดาชิ และน้ำสะอาดแล้วตีให้เข้ากัน และกรองด้วยกระชอน
  • ตั้งกระทะที่จะทำไข่ม้วน 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะให้บาง ๆ 
  • เมื่อกระทะเริ่มอุ่น ให้ใส่ไข่ที่กรองไว้แล้วลงไปให้พอเคลือบกระทะ
  • รอจนไข่เริ่มสุก ม้วนไข่เข้าหาตัว แล้วดันออกไป 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะอีกรอบ แล้วใส่ไข่ลงในกระทะ ทำซ้ำ ๆ จนไข่หมด 
  • วางไข้ม้วนลงบนเสื่อห่อซูชิ 
  • ม้วนจัดทรงแล้วตั้งพักไว้ 
  • ทำหน้าทูน่า ด้วยการกรองน้ำทูน่าออก 
  • เติมมายองเนสลงไปคลุกเคล้ากับทูน่าให้เข้ากัน 
  • นำใบชิโสะจัดรองลงบนจานเสิร์ฟ
  • หั่นไข่ม้วนเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วจัดลงบนจาน
  • วางกะหล่ำปลีซอยลงไปเล็กน้อย ตามด้วยทูน่า 
  • ตกแต่งด้วยไข่ปลา
  • พร้อมเสิร์ฟ 

 

ฤดูฝนแบบนี้ เป็นฤดูของเห็ดหลายชนิด ทั้งเห็ดเพาะและเห็ดป่า ทำให้ชาวบ้านนิยมเข้าป่าไปเก็บเห็ดเพื่อนำมาประกอบอาหาร หรือนำไปขายในตลาดท้องถิ่น แต่ก็มักมีเห็ดพิษปะปนมากับเห็ดเหล่านั้นด้วย ทำให้หลายคนเกิดอาหารเป็นพิษจากการเผลอกินเห็ดพิษเข้าไป Details

การพัฒนาตนเองหรือปรับปรุงบางสิ่งบางอย่าง จากสิ่งที่คุ้นเคยให้กลายเป็นคนใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับบางคน แต่ก็อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับบางคนเช่นกัน Details