tt ads

อาการไซนัสอักเสบเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย และมักรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ทั้งอาการคัดจมูก ปวดใบหน้า น้ำมูกไหลเรื้อรัง ไปจนถึงความรู้สึกอึดอัดที่ทำให้หายใจไม่สะดวก หลายคนอาจคิดว่าไซนัสเป็นเพียงหวัดธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วไซนัสมีสาเหตุและปัจจัยกระตุ้นที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก การเข้าใจว่า ไซนัสเกิดจากอะไร, สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อต้องเผชิญกับอาการ, และ วิธีรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้สามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ป้องกันการเกิดซ้ำ และลดโอกาสเรื้อรัง บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับโรคไซนัสอย่างละเอียด พร้อมแนะแนวทางดูแลและป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ไซนัสคืออะไร?

ไซนัสคือโพรงอากาศขนาดเล็กที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะ รอบดวงตา หน้าผาก โหนกแก้ม และฐานจมูก ภายในโพรงมีเยื่อบุบาง ๆ ที่สร้างเมือกเพื่อดักจับสิ่งสกปรกและเชื้อโรค ก่อนส่งน้ำมูกลงสู่ลำคออย่างเป็นปกติ

เมื่อเยื่อบุไซนัสเกิดการอักเสบจากไวรัส แบคทีเรีย ภูมิแพ้ หรือสิ่งระคายเคือง จะทำให้โพรงไซนัสบวม อุดตัน มีน้ำมูกค้าง และเกิดความดัน จนรู้สึกปวดตื้อ ๆ ที่ใบหน้า นี่คือภาวะที่เราเรียกว่า “ไซนัสอักเสบ”

ไซนัสเกิดจากสาเหตุอะไร?

โรคไซนัสอักเสบเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยอาจเกิดแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง สาเหตุสำคัญมีดังนี้

1. การติดเชื้อไวรัส (พบมากที่สุด)

กว่า 90% ของกรณีไซนัสเฉียบพลันเกิดจาก ไวรัสหวัด เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสทางเดินหายใจ หากร่างกายภูมิตกหรือมีน้ำมูกค้างในโพรงจมูกมากขึ้น การอักเสบจะตามมาและทำให้เกิดไซนัสได้ง่าย

2. การติดเชื้อแบคทีเรีย

หากอาการหวัดไม่ดีขึ้นภายใน 7–10 วัน การอักเสบอาจพัฒนาเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย น้ำมูกอาจมีสีเขียวหรือเหลืองเข้ม มีกลิ่นเหม็น และปวดใบหน้ารุนแรงขึ้น

3. ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ (Allergic Rhinitis)

ผู้ที่มีอาการแพ้ฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ หรือเชื้อรา มักมีเยื่อบุจมูกบวมเรื้อรัง ทำให้โพรงไซนัสระบายเมือกได้ไม่ดี เกิดการอุดตัน และนำไปสู่ไซนัสอักเสบเรื้อรังได้ง่าย

4. โครงสร้างจมูกผิดปกติ

เช่น

  • ผนังกั้นจมูกคด
  • เนื้องอกโพรงจมูก (Nasal polyp)
  • ช่องจมูกแคบโดยกำเนิด

เมื่อทางเดินอากาศไม่โล่ง น้ำมูกไม่ไหลออก ทำให้เกิดการคั่งและการอักเสบในไซนัส

5. สิ่งระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม

มลพิษทางอากาศ กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ ควันรถ หรือสารเคมีในที่ทำงาน สามารถทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคืองและบวม จนเกิดไซนัสอักเสบหรือกระตุ้นให้กำเริบได้ง่าย

6. การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว

อากาศเย็นจัดหรือร้อนจัด การเปลี่ยนจากห้องแอร์ออกสู่ภายนอกทันที ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและคัดแน่น เกิดการอุดตันของโพรงไซนัส

7. ภูมิคุ้มกันต่ำและโรคประจำตัวบางชนิด

เช่น

  • เบาหวาน
  • โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ใช้ยากดภูมิ

ทำให้ร่างกายต่อสู้เชื้อโรคได้ไม่ดี จึงติดเชื้อซ้ำ ๆ และเกิดไซนัสอักเสบได้บ่อยขึ้น

8. การว่ายน้ำหรือดำน้ำบ่อย

น้ำในสระอาจมีคลอรีนหรือแบคทีเรีย เมื่อเข้าจมูกจะทำให้ระคายเคืองหรือเกิดการติดเชื้อ

เป็นไซนัสไม่ควรทำอะไร?

ผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะจะทำให้อาการแย่ลงหรือหายช้ากว่าเดิม

1. ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงเกินไป

การสั่งแรงจะทำให้แรงดันดันน้ำมูกย้อนเข้าโพรงไซนัสมากขึ้น ทำให้เชื้อโรคกระจายและเพิ่มการอักเสบ

2. หลีกเลี่ยงควันบุหรี่และมลพิษ

ควันบุหรี่ทำให้เยื่อบุบวม ระคายเคือง และลดประสิทธิภาพการขับเมือก

3. ไม่ควรแคะจมูกหรือใช้คอตตอนบัดล้วงจมูก

อาจทำให้เยื่อบุจมูกถลอก ติดเชื้อเพิ่ม หรือทำให้จมูกบวมมากขึ้น

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอากาศแห้งจัด

อากาศแห้งทำให้เมือกข้น เหนียว ทำให้โพรงไซนัสอุดตัน

5. ไม่ควรนอนดึกหรือพักผ่อนไม่พอ

การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และอาการอักเสบจะเรื้อรัง

6. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือดำน้ำขณะกำลังมีอาการ

แรงดันน้ำอาจดันน้ำเข้าสู่จมูกและไซนัส ทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้น

7. ไม่ควรพึ่งพาสเปรย์ลดน้ำมูกติดต่อกันนาน ๆ

สเปรย์ลดบวมบางชนิดใช้ต่อเนื่องเกิน 3–5 วันจะทำให้เยื่อบุจมูก “ดื้อต่อยา” บวมมากขึ้นกว่าเดิม (Rebound congestion)

วิธีรักษาไซนัสให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง

การรักษาไซนัสอักเสบควรพิจารณาตามสาเหตุและความรุนแรงของอาการ สามารถแบ่งเป็นวิธีดูแลตัวเองที่บ้านและการรักษาทางการแพทย์

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นไซนัส

1. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Saline Nasal Irrigation)

เป็นวิธีที่แพทย์แนะนำมากที่สุด เพราะช่วย

  • ล้างน้ำมูก
  • ลดการอุดตัน
  • ลดปริมาณเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้
  • ทำให้โพรงไซนัสระบายได้ดีขึ้น

ควรทำวันละ 1–2 ครั้ง

2. ดื่มน้ำมากขึ้น

น้ำช่วยให้เมือกเหลว ระบายได้ดี ลดอาการคัดจมูกและปวดใบหน้า

3. ประคบอุ่นบริเวณใบหน้า

ช่วยลดอาการปวดจากแรงดันในโพรงไซนัส และช่วยให้เมือกไหลดีขึ้น

4. นอนหลับให้เพียงพอ

การนอน 7–9 ชั่วโมงช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น ลดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก

5. ใช้เครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier)

ช่วยแก้อากาศแห้ง ลดการคัดจมูกและเสริมการหายใจให้โล่งขึ้น

การรักษาโดยแพทย์

หากอาการเป็นต่อเนื่องหรือรบกวนชีวิต ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาแบบเจาะจง

1. ยาลดบวมของเยื่อบุจมูก (Decongestants)

ช่วยให้โพรงจมูกโล่ง ลดความดันในไซนัส แต่ต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

2. ยาต้านการอักเสบหรือสเตียรอยด์พ่นจมูก

เช่น Nasal Corticosteroids
ช่วยลดอาการบวมและลดการอุดตันได้ดี โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิแพ้หรือไซนัสเรื้อรัง

3. ยาปฏิชีวนะ (เฉพาะรายที่จำเป็น)

แพทย์จะให้เมื่อ

  • มีไข้
  • มีหนอง
  • อาการเกิน 10 วัน
  • สงสัยติดเชื้อแบคทีเรีย

การใช้ยาปฏิชีวนะควรใช้ตามคำสั่งแพทย์ ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ

4. ยาแก้แพ้ในผู้ที่มีภูมิแพ้ร่วมด้วย

เช่น Antihistamines เพื่อควบคุมอาการแพ้ ลดน้ำมูก และลดโอกาสเกิดไซนัสซ้ำ

5. การส่องกล้องล้างไซนัส (Endoscopic Sinus Irrigation)

แพทย์จะใช้กล้องเล็ก ๆ ล้างโพรงไซนัสเพื่อเอาน้ำมูก หนอง และสิ่งสกปรกออก เหมาะกับผู้ที่อุดตันมากและไม่ตอบสนองต่อยา

6. การผ่าตัดไซนัส (Functional Endoscopic Sinus Surgery – FESS)

ใช้ในกรณี

  • เป็นเรื้อรังเกิน 3 เดือน
  • โครงสร้างจมูกผิดปกติ
  • มีติ่งเนื้อในจมูก
  • หรือรักษาด้วยยาแล้วยังไม่ดีขึ้น

การผ่าตัดช่วยเปิดโพรงไซนัสให้กว้างขึ้นเพื่อระบายอากาศและเมือกได้ดีขึ้น

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นไซนัสซ้ำ

หลังรักษาหายแล้ว ควรดูแลตัวเองต่อเนื่องเพื่อลดการเกิดซ้ำ

1. ล้างจมูกเป็นประจำ

ช่วยให้โพรงจมูกสะอาด ไม่มีสารก่อภูมิแพ้สะสม

2. หลีกเลี่ยงฝุ่น ควัน และมลพิษ

สวมหน้ากากเมื่อออกนอกบ้าน

3. รักษาภูมิแพ้ให้ดี

หากมีภูมิแพ้ ควรพบแพทย์เพื่อควบคุมอาการอย่างต่อเนื่อง

4. ดื่มน้ำมากขึ้นทุกวัน

ช่วยให้เมือกไม่ข้นเกินไป

5. พักผ่อนเพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การนอนให้พอและเคลื่อนไหวสม่ำเสมอเป็นปัจจัยสำคัญในการ ดูแลระบบภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรง ลดโอกาสการติดเชื้อและลดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้:

  • อาการเกิน 10 วัน ไม่ดีขึ้น
  • ปวดใบหน้ามากหรือปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • มีไข้สูง
  • น้ำมูกมีกลิ่นเหม็นหรือน้ำมูกเป็นหนอง
  • มองเห็นภาพซ้อนหรือปวดรอบดวงตา
  • ปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ

อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อที่รุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน

สรุป

ไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ภูมิแพ้ หรือโครงสร้างจมูกที่ผิดปกติ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่ อากาศแห้ง และการสั่งน้ำมูกแรง เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้หายเร็วขึ้น

การรักษามีตั้งแต่การล้างจมูก การใช้ยา ไปจนถึงการผ่าตัดในกรณีเรื้อรัง การดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอและสังเกตอาการผิดปกติจะช่วยป้องกันไม่ให้ไซนัสกลับมาเป็นซ้ำอีก

tt ads