เชื่อว่าหลายคนมักจะได้ยินกันว่าเป็นโรคเก๊าท์ ห้ามกินไก่ จริงหรือมั่ว วันนี้ doo-den จะมาชวนทุกคนค้นหาคำตอบกันค่ะ 

โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร 

โรคเก๊าท์ (Gout) เกิดจากข้อต่อหรือเนื้อเยื่อรอบข้อมีการอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยมีสาเหตุมาจากมีกรดยูริก (Uric acid) ในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จนกรดยูริกกลายเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างมาก ซึ่งปกติร่างกายจะขับกรดยูริกออกผ่านทางไต เพราะกรดยูริกถือว่าเป็นของเสียสำหรับร่างกาย และการที่ร่างกายมีกรดยูริกสูงเกินไปเกิดได้จากหลายปัจจัย จนก่อให้เกิดภาวะโรคเก๊าท์ อาหาร พันธุกรรม หรือความผิดปกติในอวัยวะของร่างกาย เช่น ไต เป็นต้น 

โรคเก๊าท์มีอาการอย่างไร 

โดยโรคเก๊าท์อาการเบื้องต้นที่สามารถสังเกตได้ คือ มีอาการอักเสบบริเวณข้อต่อแบบเฉียบพลันบ่อย ๆ หรือมีอาการตึง บวม แดง และรู้สึกแสบร้อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักจะเกิดอาการที่ข้อต่อกระดูกฝ่าเท้า หรือ โคนนิ้วหัวแม่เท้า และแม้แต่หลังหูก็สามารถเป็นได้เช่นกัน อาการของโรคเก๊าท์ที่พบได้บ่อย คือ ปวดแสบปวดร้อน เจ็บปวดรุนแรง ผิวหนังรอบ ๆ ข้อบวมแดงและแวววาวมากขึ้น โดยความรุนแรงของอาการจะอยู่ในช่วง 4 – 12 ชั่วโมงแรก ซึ่งจะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก และอาการเหล่านี้อาจยาวนานต่อเนื่อง 1 – 3 วัน หรือ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ 

โรคเก๊าท์ห้ามกินอะไร 

อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารจำพวกที่มีสารพิวรีนมากกว่า 150 มิลลิกรัม เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารพิวรีน จะมีการสลายให้กลายเป็นกรดยูริก จนเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการเก๊าท์กำเริบนั่นเอง แล้วอาหารอะไรบ้างที่คนเป็นเก๊าท์คนเลี่ยง … 

  • ไต 
  • ตับ 
  • ไส้ตัน
  • เนื้อเป็ด 
  • เนื้อไก่
  • ไข่ปลา
  • ปลาทู
  • ปลาซาร์ดีน 
  • หอยเชลล์
  • กะปิจากปลาไส้ตัน
  • น้ำปลา
  • น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น
  • น้ำต้มเนื้อ 
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

อาหารอะไรที่คนเป็นเก๊าท์กินได้ 

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ สามารถรับประทานได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 0 – 50 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่ามีปริมาณน้อยมาก โดยสามารถทานอาหารเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น ข้าว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี ไข่ นม กะทิ เนย น้ำมันหมู ผักและผลไม้ทุกชนิด ข้าวโพด เกาลัด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมไปถึงขนมหวานและเบเกอรี่ต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ทอยหยอด ขนมปัง เค้ก คุกกี้ หรือแม้แต่เครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ หรือ โกโก้ เป็นต้น 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 50 – 150 กรัม เพราะถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่สูงมาก ลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่ออาการเก๊าท์กำเริบ สามารถทานได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น เนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อวัว ปู กุ้ง ส่วนเครื่องในสัตว์ อย่าง กระเพาะ และ ผ้าขี้ริ้ว สามารถทานได้ และพืชผักจำพวก หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ดอกกะหล่ำ เห็ด ชะอม และ ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเนื้อไก่จะเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง แต่เนื้อไก่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดการเป็นเก๊าท์ เพียงแต่เนื้อไก่มีสารพิวรีนสูง ผู้ที่เป็นเก๊าท์จึงควรระมัดระวังในการทานไก่ โดยควรทานไก่ในปริมาณที่จำกัด แต่ถ้าไม่แน่ใจก็อาจหลีกเลี่ยงไม่ทานเลย เปลี่ยนไปทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำแทน จะช่วยลดโอกาสความเสี่ยงที่ก่อให้อาการเก๊าท์กำเริบได้ค่ะ 

บีทรูท คือ พืชชนิดหนึ่งที่นิยมทานในส่วนของรากที่อยู่ใต้ดิน และส่วนที่เป็นของหัวบีทรูท กินดิบ นำไปดอง ปรุงอาหาร เครื่องดื่ม หรือนำไปเพิ่มสีสันให้กับอาหาร และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงการนำบีทรูทใช้เป็นยารักษาโรค ด้วยบีทรูทอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินบี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมงกานีส โฟเลต และไฟเบอร์สูง 

 

วันนี้แอดมินจะมาชวนทุกคนรู้ถึงสรรพคุณของบีทรูท มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทานบีทรูท โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง 

ลักษณะของบีทรูท 

หัว : หัวใต้ดิน ทรงกลมป้อม อวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง 

ใบ : ใบเดี่ยวรูปหัวใจ เรียงสลับ มีก้านยาว 

ดอก : ดอกลักษณะเดี่ยว เป็นช่อขนาดเล็กสีเขียวอ่อน 

ผล : ผลมีขนาดเล็ก 

บีทรูทมีสารสีแดง Betanin (บีทานิน) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ทำให้สรรพคุณบีทรูทช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ต่อต้านการเกิดมะเร็ง ลดการเติบโตของเนื้องอก ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมดีขึ้น อีกทั้งบีทรูทมี Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ซึ่งเป็นสารสีม่วง มีค่า pH 7-8 สภาพเป็นเบส โดยสารสีแดง pH มากกว่า 11 มีสภาพความเป็นกรด ในขณะที่สีน้ำเงินที่เป็นสารแอนโทไซยานิน ค่า pH น้อยกว่า 3 ทำให้บีทรูทมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและลดอาการอัมพาต 

ประโยชน์ของบีทรูท 

สรรพคุณของบีทรูทด้านภูมิคุ้มกัน 

  • เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ
  • ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย 
  • เสริมสร้างกำลังและความแข็งแรงให้กับร่างกาย 
  • ลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย 
  • ล้างสารพิษในร่างกาย 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบเลือด

  • ลดการอุดตันในหลอดเลือด
  • ลดความดันเลือด
  • บำรุงหลอดเลือด
  • เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตเลือด
  • ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  • แก้อาการเลือดประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ลดการสะสมไขมัน

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบำรุงหัวใจ 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านโรคมะเร็ง 

  • ต่อต้านการเกิดมะเร็ง
  • ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง 
  • ลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย 

  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ขับปัสสาวะ 
  • เป็นยาระบายอ่อน ๆ 
  • บำรุงไตและถุงน้ำดี

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบรรเทาอาการ

  • แก้อาการไอ เจ็บคอ ขับเสมหะ 
  • ลดอาการบวม

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านความงาม 

  • รักษาระบบน้ำเหลืองเสีย
  • รักษาสิวหนอง สิวอักเสบ

 

สรรพคุณทางยาของบีทรูท 

ดื่มน้ำบีทรูทคั้นในช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. ก่อนรับประทานอาหาร ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ 

 

ดื่มน้ำบีทรูทในช่วงเวลา 21.00 – 22.00 น. ดื่มน้ำบีทรูทก่อนนอน ช่วย detox ร่างกาย ล้างสารพิษ บำรุงไต ถุงน้ำดี แก้เจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ ลดอาการบวม 

 

ประโยชน์ของบีทรูทด้านอื่น ๆ 

บีทรูทสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้หลากหลายเมนู เช่น เส้นพาสต้าบีทรูท สลัดน้ำบีทรูท สาคูไส้บีทรูท ขมมเค้ก พุดดิ้งนมสดบีทรูท ไอศกรีม หรือจะนำไปหมักทำเป็นไวน์ สมูทตี้ ซึ่งบีทรูทปั่นกับอะไรก็อร่อย และนำไปดองทำเป็นน้ำส้มสายชู หรือนำไปแกะสลัก ใช้ตกแต่งอาหาร และทำเป็นสีผสมอาหารจากธรรมชาติได้อีกด้วย 

การทำน้ำบีทรูทง่าย ๆ ที่นอกเหนือจากการนำไปปั่นสมูทตี้ 

  • ปอกเปลือกบีทรูทแล้วนำไปล้างให้สะอาด 
  • หั่นบีทรูทเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่เครื่องปั่นแยกกาก หรือปั่นปกติแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ 
  • นำน้ำบีทรูทที่กรองใส่หม้อตั้งไฟ 
  • เติมน้ำตาลทราย ½ ถ้วย 
  • เติมเกลือ ⅓ ช้อนชา 
  • ชิมได้รสตามชอบ 
  • ปิดไฟเมื่อน้ำบีทรูทพอเริ่มเดือดเล็กน้อยหรือแค่พออุ่น
  • ดื่มตอนยังอุ่น ๆ หรือตั้งให้เย็นแล้วดื่ม หรือเติมน้ำแข็งตามชอบ 

ใคร ๆ ก็รู้ว่าประโยชน์ของไข่ไก่ อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ทำเมนูไหนก็อร่อย แถมราคาถูก หลายคนที่มักจะซื้อไข่ยกแผง แต่เมื่อจะปรุงอาหารทีไรก็นึกได้แต่เมนูเบสิค วันนี้เราจะมาชวนเปลี่ยนเมนูไข่แบบเดิม ๆ ให้เป็นเมนูไข่สุดว้าว ทำง่าย ทานได้บ่อย ไม่มีเบื่อ และเพิ่มเติมคือความอร่อย ฟิน แถมทำขายก็ไอเดียเก๋ เริสแน่นอน 

  1. ไข่กระทะทรงเครื่อง

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • หมูสับ 60 กรัม 
  • ไส้กรอก 40 กรัม 
  • หมูยอ 30 กรัม 
  • กุนเชียงทอด 30 กรัม
  • ข้าวโพด 15 กรัม 
  • ถั่วลันเตา 15 กรัม 
  • แครอท 15 กรัม 
  • ต้นหอม 2 กรัม
  • น้ำมันพืช 30 มิลลิลิตร 
  • เครื่องปรุงรส ( เช่น ซอสถั่วเหลือง , อุไมซอส)

 

วิธีทำ 

  • ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย 
  • นำหมูสับลงไปรวน และปรุงรสด้วยซอสที่เตรียมไว้
  • ตักหมูขึ้นพัก
  • หั่นไส้กรอก หมูยอ และกุนเชียงจัดใส่จานเตรียมสำหรับเสิร์ฟ
  • ตั้งกระทะใส่น้ำมัน 
  • ตอกไข่ไก่ลงไปในกระทะ ทอดจนไข่สุกแล้วปิดไฟ
  • ลวกแครอท ถั่วลันเตา และข้าวโพดให้พอสุก
  • ตักผักลวกขึ้นจัดลงบนกระทะที่เล็กที่เตรียมไว้ ดามด้วยหมูสับ ไส้กรอก และกุนเชียง 
  • โรยด้วยต้นหอม
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ตุ๋นญี่ปุ่นไข่ปลาแซลมอน 

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง 
  • แซลมอนหั่นเต๋า 30 กรัม
  • กุ้งขาวลวก 
  • ไข่ปลาแซลมอนเล็กน้อย 
  • เห็ดหอม 
  • เม็ดแปะก๊วย
  • ขึ้นฉ่าย 
  • เครื่องปรุง (ซอส หรือน้ำซุปดาชิเข้มข้น คิดโคแมน) 
  • น้ำสะอาด 100 มิลลิลิตร 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ใส่ชาม ตึไข่ให้เข้ากัน 
  • เติมเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงผสมกับไข่ให้เข้ากัน
  • กรองไข่ผ่านกระชอนเพื่อให้ไข่มีเนื้อเนียน 
  • เตรียมหม้อนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือด ด้วยไฟอ่อน 
  • นำแซลมอนใส่ถ้วยไข่ตุ๋น จากนั้นเทไข่ตามลงไป แล้วปิดปากถ้วยด้วยฟอยล์ 
  • นึ่งประมาณ 10 – 15 นาที จนไข่สุก
  • นำแปะก๊วย กุ้งขาวลวก ไข่ปลาแซลมอน และขึ้นฉ่ายตกแต่งหน้าไข่ตุ๋นให้สวยงาม 
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ดองโชยุ 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 5 – 6 ฟอง 
  • มันหมูแข็ง 2 ถ้วย 
  • น้ำกระเทียมดอง 45 กรัม 
  • กระเทียมซอย 2 กลีบ 
  • พริกจินดา 3 – 4 เม็ด 
  • มิริน 15 กรัม 
  • ซอสถั่วเหลือง โชยุ 150 กรัม 
  • ข้าวสวย 2 ถ้วย 
  • กระเทียมเจียว และ ต้นหอมซอย (สำหรับเสิร์ฟ) 

 

วิธีทำ 

  • ผสม โชยุ น้ำกระเทียมดอง และ มิริน เข้าด้วยกัน 
  • ตามด้วยพริกและกระเทียมซอย 
  • แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว แล้วนำเฉพาะไข่แดงใส่ลงไปดอง 
  • นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 6 ชั่วโมง 
  • เจียวกากหมูจนกรอบ แล้วสะเด็ดน้ำมันพักไว้ 
  • ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย 
  • นำไข่ขาวที่แยกไว้เพียงเล็กน้อยใส่ลงไปยีในกระทะให้พอสุก 
  • ใส่ข้าวลงไปผัด
  • แบ่งกากหมูส่วนหนึ่งลงไปผัดกับข้าว 
  • ตักข้าวเสิร์ฟพร้อมกับไข่ดอง กากหมู กระเทียมเจียว และต้นหอมซอยที่เตรียมไว้ 

  1. ไข่ม้วนญี่ปุ่น 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 2 – 3 ฟอง 
  • ทูน่าในน้ำเกลือ 50 กรัม 
  • ไข่ปลา 1 ช้อนโต๊ะ 
  • กะหล่ำปลีซอย 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ใบชิโสะ 3 – 4 ใบ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา 
  • มายองเนส 1 ½ ช้อนโต๊ะ 
  • คิคโคแมน ชิโร ดาชิ 2 ช้อนโต๊ะ (หรือซอสถั่วเหลืองที่มี) 
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ไก่ใส่ชาม 
  • เติมน้ำตาลทราย ชิโรดาชิ และน้ำสะอาดแล้วตีให้เข้ากัน และกรองด้วยกระชอน
  • ตั้งกระทะที่จะทำไข่ม้วน 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะให้บาง ๆ 
  • เมื่อกระทะเริ่มอุ่น ให้ใส่ไข่ที่กรองไว้แล้วลงไปให้พอเคลือบกระทะ
  • รอจนไข่เริ่มสุก ม้วนไข่เข้าหาตัว แล้วดันออกไป 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะอีกรอบ แล้วใส่ไข่ลงในกระทะ ทำซ้ำ ๆ จนไข่หมด 
  • วางไข้ม้วนลงบนเสื่อห่อซูชิ 
  • ม้วนจัดทรงแล้วตั้งพักไว้ 
  • ทำหน้าทูน่า ด้วยการกรองน้ำทูน่าออก 
  • เติมมายองเนสลงไปคลุกเคล้ากับทูน่าให้เข้ากัน 
  • นำใบชิโสะจัดรองลงบนจานเสิร์ฟ
  • หั่นไข่ม้วนเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วจัดลงบนจาน
  • วางกะหล่ำปลีซอยลงไปเล็กน้อย ตามด้วยทูน่า 
  • ตกแต่งด้วยไข่ปลา
  • พร้อมเสิร์ฟ 

 

ฤดูฝนแบบนี้ เป็นฤดูของเห็ดหลายชนิด ทั้งเห็ดเพาะและเห็ดป่า ทำให้ชาวบ้านนิยมเข้าป่าไปเก็บเห็ดเพื่อนำมาประกอบอาหาร หรือนำไปขายในตลาดท้องถิ่น แต่ก็มักมีเห็ดพิษปะปนมากับเห็ดเหล่านั้นด้วย ทำให้หลายคนเกิดอาหารเป็นพิษจากการเผลอกินเห็ดพิษเข้าไป Details

การพัฒนาตนเองหรือปรับปรุงบางสิ่งบางอย่าง จากสิ่งที่คุ้นเคยให้กลายเป็นคนใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับบางคน แต่ก็อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับบางคนเช่นกัน Details

ใครที่ชื่นชอบทานอาหารอินเดีย หรืออยากลองทานอาหารอินเดียดูบ้าง อาจรู้มาบ้างแล้วว่า อาหารอินเดียนิยมใช้เครื่องเทศเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร และมีเมนูแกงคล้ายกับของไทย แต่แกงไทยของเราจะกินคู่กับข้าวเป็นหลัก ในขณะที่ชาวอินเดียนิยมกินแกงกับแผ่นแป้งที่ทำจากธัญพืชต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ Details

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง สุภาษิตไทยที่ไม่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ เข้าใจกันดี เพราะจะมีไม่กี่คนหรอกที่เป็นลูกรักพระเจ้า ใบหน้าครบเครื่อง ไม่ต้องแต่งเติมอะไรก็ตื่นมาสวยเลย แต่ยังมีผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยที่ตรงกันข้าม ต้องอาศัยกลบคอนซีลเลอร์ ทารองพื้น กรีดอายไลเนอร์ ปัดแก้ม เติมลิป หรือ เขียนคิ้วสักหน่อย ถึงจะเสกสรรให้ใบหน้ามีชีวิตชีวา ไม่ดูเหมือนคนป่วย หรือเป็นซอมบี้ขาดสารอาหาร 

 

แต่… ผู้หญิงทุกคนใช่ว่าจะ Expert มือโปรฯ ในการแต่งหน้าเสียเมื่อไร เพราะปัญหาร้อยแปดที่มีต่างกันไป ไหนจะสภาพผิว หน้ามันเยิ้ม แต่งหน้าไม่ติด แต่งแล้วเป็นคราบ เป็นขุยหรือแตกร่อง  หน้าไม่เรียบ เมคอัพหลุดล่อน ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ใช้เวลาแต่งหน้าเป็นชั่วโมง แต่ make up หลุดง่ายเพียงไม่กี่นาทีต่อมา ใครจะไม่เซ็งใช่ไหมล่ะ ต้องคอยซับ คอยเติม บางทีก็ไม่สะดวกคอยแต่งบ่อย ๆ แล้วรู้ไหมทำไมถึงแต่งหน้าไม่ค่อยติด หรือแต่งหน้าแล้วต้องเติมบ่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปหาสาเหตุกันดีกว่าค่ะ

 

พักผ่อนไม่พอ นอนน้อยเกินไป 

การนอนน้อยเกินไป โดยเฉพาะการนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพผิวของเราด้วย เพราะผิวไม่ได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและอ่อนแอลง ดังนั้นเมื่อแต่งหน้า เครื่องสำอางไม่เกาะผิวจึงเซ็ตตัวยาก เป็นสาเหตุทำให้เมคอัพหลุดได้ง่าย ดังนั้น การพักผ่อนให้เพียงพอกับร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ หากอยากมีสุขภาพผิวดี แต่งหน้าสวย เมคอัพอยู่ทั้งวัน และไม่ต้องเติมหน้าบ่อย ๆ ควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมง ได้ทั้งผิวแข็งแรงและสุขภาพดี 

ผิวหน้าแห้ง ผิวขาดการบำรุง 

ปัญหาแต่งหน้าไม่ค่อยติดส่วนใหญ่มักพบในคนที่มีสภาพผิวแห้ง ผิวหน้าลอก ผิวขาดความชุ่มชื้น หน้าเป็นขุย อันเนื่องมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันน้อยเกินไป ทำให้ใบหน้าขาดความชุ่มชื้น หรืออาจเกิดจากผิวขาดการบำรุง ทำให้ผิวแห้งกร้าน แต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางเกาะติดผิวยาก ทำให้เมคอัพไม่คงทน หลุดได้หลุดดี วิธีแก้ไขปัญหาผิวหน้าแห้งแต่งหน้าไม่ติด ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่หันมาใส่ใจในการบำรุงผิว รักษาความชุ่มชื้นให้กับใบหน้าด้วยการใช้สกินแคร์ มอยส์เจอรไรเซอร์ การมาส์กหน้าก่อนนอนหรือก่อนแต่งหน้า และดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 7 – 8 แก้ว / วัน เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น แต่งหน้าติดได้ตลอดวัน 

บำรุงผิวมากเกินไป 

แน่นอนว่าการบำรุงผิวสามารถช่วยให้ผิวแต่งหน้าติดทน แต่ถ้าโบกครีมมากเกินพิกัด ใช้ครีมบำรุงมากเกินพอดี โปะแต่ละทีนึกว่าโบกปูนก่ออิฐ นอกจากจะไม่ได้ผลดีแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เพราะปริมาณครีมที่ทาใบหน้าเยอะเกินไป จะไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังสู่ผิวชั้นในได้ ทำให้ผิวไม่ได้รับการบำรุงจากครีมเต็มที่ กลายเป็นการทาครีมแบบไม่ได้คุณภาพ แถมยังทำให้เนื้อครีมที่โบก ๆ ลงไปนั้น ไปสะสมตามรูขุมขน ก่อให้เกิดความมันบนใบหน้า และเมื่อแต่งหน้า เครื่องสำอางก็จะไปรวมกันจนกลายเป็นคราบ และไปอุดตันตามรูขุมขนจนเกิดสิวตามมาในที่สุด ดังนั้เ ควรใช้ครีมบำรุงในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรใช้ครีมประมาณ 1 ข้อนิ้วในแต่ละจุดบนใบหน้า หรืออ่านและใช้ในปริมาณตามข้อบ่งใช้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ และควรรอให้เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวเสียก่อนจึงค่อยแต่งหน้า 

ได้ยินเสียงคนบ่น “ทำไมชีวิตไม่มีความสุขเลย”  “ทำไมหาความสุขยากจัง”  “ยุคนี้คนไม่มีความสุขกันเลย” และ บลา ๆ ๆ วันนี้เราเลยขออนุญาตนำแนวทางความคิดของคนมีความสุขว่าเขาเป็นกันแบบไหน ทำยังไงถึงมีความสุขได้ง่าย ๆ กับสิ่งรอบตัว โดยเราได้นำหัวข้อของคนมีความสุขจากบทความของคุณนิรตติ์ เห็นว่าหัวมันตรงกับเนื้อหาที่เราเคยได้ศึกษามาบ้าง จึงขอยกมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน เพื่อจะได้รู้ว่า เออ เราก็มีความสุขได้ไม่ยากนะ ถ้าทำให้ได้ 5 ข้อ ดังต่อไปนี้ 

 

  1. Let it go ปล่อยมันไป 

เพราะอะไรที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ การที่จะไปจมปลักกับอดีต ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาด ทุกข์กับมันจนไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ หรือการหลงติดอยู่กับความสุข ความสำเร็จที่ผ่านไปแล้วก็เช่นกัน ทุกสิ่งมันจบไปแล้ว สิ่งที่ต้องโฟกัสคือปัจจุบัน เราสามารถนำสิ่งที่ผ่านมาในอดีตมาใช้เป็นบทเรียน นำมาปรับปรุงแก้ไข หรือเป็นแนวทางในการดำเนินกับชีวิต ณ ปัจจุบัน เพื่อเป็นสะพานแห่งความสำเร็จต่อไปในอนาคต และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อมองย้อนกลับมา เพราะทุกวินาทีที่เรานั่งจมอยู่กับอดีต เราได้หายใจทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ โดยไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเลยสักนิด แล้วจะหาความสุขได้อย่างไร 

 

  1. Get a move on ก้าวต่อไป 

คนที่มีความสุข นอกจากจะไม่มัวแต่จมอยู่กับอดีต แต่เขาจะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่จบไปแล้ว หรือสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้วมาเป็นอุปสรรค และเหนี่ยวรั้งสเต็ปต่อไปในชีวิตของเขา ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเจอกับความผิดหวัง ความเจ็บปวด หรือสูญเสียอีกสักกี่ครั้ง เขาก็จะให้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ในชีวิต โดยไม่เสียเวลาคร่ำครวญ ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น เพราะตราบใดลมหายใจยังมี นั่นหมายถึงก้าวต่อไปที่ต้องมีเช่นกัน การมุ่งไปข้างหน้าจึงเป็นสิ่งที่คนมีความสุขพึงกระทำ โดยจะไม่ยอมเสียเวลากับอดีต 

 

  1. Follow your heart ทำตามหัวใจ 

ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินไปหากได้ลงมือทำ แต่จะประสบผลสำเร็จแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น คนมีความสุขจะทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ทำในสิ่งที่อยากทำ ไปในที่ต้องการจะไป เพราะคนมีความสุขเข้าใจได้ง่า สิ่งที่จะกักขังเราไม่ให้มีอิสระได้ คือ เงื่อนไขและขีดจำกัดที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง และแม้ว่าทุกสิ่งจะไม่ง่าย แต่การตัดสินใจของเรา คือ จุดเริ่มต้นของการเดินทาง 

 

  1. Think positive คิดบวก 

ชีวิตของคนเราย่อมมีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น ทั้งทำให้เรามีความสุข ทุกข์ใจ ดีใจ หรือเสียใจ ด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่คนมีความสุขเขานิยมทำกัน คือ การเชื่อมโยงทุกสิ่งกับความคิดที่เป็น positive คิดบวกอยู่เสมอ หาเหตุและผลของสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้และมองหาข้อดีของมัน แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์แย่ ๆ ในชีวิต เช่น ไปเที่ยวแล้วหลงทาง แม้จะเสียเวลาและผิดแผนเดิม แต่ถ้าคิดบวกจะเห็นถึงข้อดี ทำให้รู้จักสถานที่ใหม่ ๆ เห็นอะไรใหม่ ๆ เพิ่มประสบการณ์ หรือโชคร้ายไฟไหม้บ้าน แต่สมาชิกในครอบครัวรอดชีวิตทุกคน แม้ว่าข้าวของเสียหาย แต่ของนอกกายยังสามารถหาใหม่ได้ หากไม่ยึดติดกับวัตถุมากเกินไป แต่ชีวิตคนที่รักทุกคนปลอดภัย อันนี้สำคัญกว่า คนที่คิดบวกจะไม่จมอยู่แต่กับความทุกข์มากจนเกินไป แต่จะมองหาสาเหตุ หาทางป้องกันและแก้ไข เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอีกในอนาคต ทำให้คนคิดบวกสามารถมีความสุขได้ง่ายกว่าคนคิดลบที่มัวแต่จมอยู่กับความโศกเศร้า หรือมัวแต่โกรธแค้น จนไม่สามารถมองเห็นความสวยงามของชีวิต 

 

  1. Carelessness ไม่ใส่ใจ 

ชีวิตของคนเราไม่ได้ยืนยาวมากนัก คนมีความสุขจึงให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข โดยไม่แคร์อะไรที่ไม่จำเป็น ไม่สนว่าใครจะคิดว่าตนเป็นอย่างไร ตราบใดที่ไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อน การกระทำของตนไม่ได้ไปกระทบกับชีวิตใคร ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ เพราะชีวิตเป็นของเรา และชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะมัวแต่จมอยู่กับการใส่ใจคนอื่นจนทำร้ายความสุขของตนเอง คนมีความสุขจึงใช้ชีวิตให้เป็นของขวัญ ไม่ใช่ใช้ชีวิตลงโทษตัวเอง ด้วยการใส่ใจคนอื่นมากกว่าใส่ใจตนเอง 

 

 5 ข้อนี้ คือ สิ่งที่คนมีความสุขเขาทำกัน แล้วคุณล่ะ พร้อมจะกลายเป็นคนมีความสุขหรือยัง ?

เจ้าปลาเนื้อส้ม จัดเรียงสวยบนจาน ชวนน่ารับประทาน นิยมกินดิบและปรุงสุก นำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย แต่เมนูยอดฮิตคงหนีไม่พ้น ซูชิ หรือ ซาชิมิ  เอ่ยมาแค่นี้ทุกคนย่อมนึกถึง ปลาแซลมอน ปลายอดนิยมของคนไทย แล้วทำไมคนไทยส่วนใหญ่จึงชอบรับประทานปลาแซลมอน ทั้งที่ประเทศไทยมีปลาหลากหลายชนิดให้เลือกทาน มีความสดกว่า และราคาถูกกว่า เพราะไม่ต้องเสียเวลารอและเสียค่าจัดส่งนำเข้าประเทศ แต่ ปลาแซลมอนก็ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอันดับต้น ๆ อยู่ดี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น 

คุณค่าทางโภชนาการจากปลาแซลมอน

จากฐานข้อมูลคุณค่าโภชนาการอาหารของของกระทรวงการเกษตรสหรัฐ เนื้อปลาแซลมอนปรุงสุก ปริมาณ 85 กรัม มีสารอาหาร

กระทรวงการเกษตรสหรัฐได้จัดทำข้อมูลคุณค่าโภชนาการอาหาร ในเนื้อปลาแซลมอนปรุงสุก (ปลาแซลมอนตามธรรมชาติ) ปริมาณ 85 กรัม จะประกอบไปด้วยสารอาหาร ดังนี้ 

 

  • กรดไขมันโอเมก้า 3 
  • โปรตีน 19.93 กรัม 
  • ไขมัน 3.65 กรัม 
  • พลังงาน 118 กิโลแคลอรี 
  • วิตามิน D 64% 
  • วิตามิน B12 177% 
  • เซเลเนียม 59% 
  • ไนอะซิน 48% 
  • ฟอสฟอรัส 39% 
  • ไทอะมีน 5% 

กินปลาแซลมอนได้ประโยชน์อะไรบ้าง 

แหล่งกรดไขมัน โอเมก้า 3 

ปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 จำนวนมาก ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยบำรุงประสาท พัฒนาสมองและการจดจำ ป้องกันโรคความจำเสื่อม โรครูมาตอยด์ และลดระดับคอลเลสเตอรอลในร่างกาย 

 

บำรุงสายตา 

ปลาแซลมอนอุดมไปด้วย วิตามิน A และ DHA ซึ่งเป็นกรดในจอประสาทตา ช่วยบำรุงสายตา บรรเทาอาการตาแห้ง 

 

เสริมภูมิคุ้มกัน 

วิตามิน D ในปลาแซลมอนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค โดยวิตามินดี จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม รวมไปถึงสารอาหารอื่น ๆ ได้ดี นอกจากนี้ วิตามิน D ยังมีส่วนในการช่วยลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหาย และ สามารถลดความรุนแรงของอาการโคลิด 19 ได้อีกด้วย 

 

มวลกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง 

ปลาแซลมอนมีวิตามิน D และโปรตีนสูง ช่วยให้กล้ามเนื้อความแข็งแรง กระชับ และเสริมสร้างกระดูก โดยในแซลมอน 100 กรัม มีโปรตีนเกือบ 20 กรัม 

 

ช่วยเพิ่มพลัง กระปรี้กระเปร่า บรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า 

วิตามิน B12 และไนอะซิน ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย ขจัดความอ่อนเพลีย และอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหรือเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี 

ส่งเสริมการทำงานของต่อมไทรอยด์ 

ปลาแซลมอนมีเซเลเนียมสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ช่วยปรับฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ให้มีความสมดุล มีส่วนช่วยในกระบวนการสืบพันธุ์ และการสังเคราะห์ DNA ภายในร่างกายอีกด้วย 

 

มีสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องดูแลเซลล์ร่างกาย 

สารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ชื่อว่า Astaxanthin เป็นสารสำคัญในการช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย และยืดอายุเซลล์ไม่ให้เสื่อมสภาพ 

 

ดีต่อสุขภาพหัวใจ 

จากการศึกษาและวิจัยพบว่า ผู้ที่ทานปลาแซลมอนผ่านการปรุงสุกเป็นประจำ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง เนื่องจากกรดโอเมก้า 3 ในปลาแซลมอนมีส่วนช่วยในการปกป้อง และดูแลของอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด และ โรคหัวใจล้มเหลวได้ 

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้เห็นได้ว่า ปลาแซลมอน นอกจากจะมีความอร่อย กินเพลินเกินห้ามใจ ยังมีประโยชน์ต่อสุขาภาพมากมาย แต่จะให้ดีควรกินปลาแซลมอนผ่านการปรุงสุกจะดีกว่าปลาแซลมอนดิบ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคจากพยาธิ เพราะปลาแซลมอนดิบแม้จะมีโอเมก้าสูง และรสชาติอาจถูกลิ้นบางคนมากกว่า แต่ปลาแซลมอนดิบอาจมีพยาธิตัวกลม หรือพยาธิตัวตืด ที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเราได้เช่นกัน 

รู้หรือไม่ วันที่ 30 มีนาคม ของทุกปี ถูกจัดให้เป็น “วันไบโพลาร์โลก” แถมยังตรงกับวันเกิด ศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง “แวนโก๊ะ” (Vincent Van Gogh) ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไบโพลาร์เช่นกัน 

เราจึงมาชวนทุกคนให้รู้จักกับ ไบโพลาร์ โรคอารมณ์ 2 ขั้ว ซึ่งมีผู้ป่วยโรคนี้ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ให้มากขึ้น เพื่อจะได้รับมือ ทำการรักษา และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไร้ทัศนคติทางลบ 

วันไบโพลาร์โลกมีความเป็นมาอย่างไร 

วันไบโพลาร์โลก หรือ World Bipolar Day (WBD) เกิดขึ้นจากไอเดียขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับโรคไบโพลาร์โดยตรง ซึ่งมี 3 องค์กรด้วยกัน ได้แก่ Asian Netwotk of Bipolar Disorder (ANBD) , International Society for Bipolar Disorder (ISBD) และ International Bipolar Foundation (IBPF) โดยมีจุดประสงค์รณรงค์ให้คนทั่วโลกได้เข้าใจถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของผู้ป่วยไบโพลาร์ เพื่อขจัดความเข้าใจผิดของผู้คนรอบข้าง และลดความอับอายของผู้ป่วย ให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างไร้อคติ รวมไปถึงการร่วมมือระหว่างประเทศทั่วโลกเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยไบโพลาร์ที่นับวันยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ  

โรคไบโพลาร์คืออะไร 

โรคไบโพลาร์ คือ โรคทางสมองที่มีความปรับเปลี่ยนทางอารมณ์อย่างรวดเร็ว เกิดจากความผิดปกติของสื่อประสาทที่ไม่สมดุล ส่งผลต่อการทำงานของสารเคมีในสมอง โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ ถ้าจะพูดกันให้เข้าใจง่าย ๆ โดยคนปกติทั่วไปจะมีหลากหลายอารมณ์ เสียใจ ดีใจ โกรธ เศร้า และมีปุ่มสวิตซ์กดปรับเปลี่ยนโหมดอารมณ์ตามความเหมาะสมต่อสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบ แต่เมื่อปุ่มสวิตซ์นั้นเสียหรือทำงานผิดปกติ ระบบสวิตซ์รวน ทำให้โหมดอารมณ์เปลี่ยนไปมาและสวิงมากผิดปกติกว่าอารณ์ขึ้น-ลงของคนทั่วไป  

 

โรคไบโพลาร์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Bipolar Disorder โรคอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนส่งผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวันและผู้คนรอบข้าง จนอาจทำให้สภาพจิตใจผู้ป่วยแย่ลงและมีอาการของโรคเลวร้ายลงเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการรักษาและขาดความเข้าใจจากคนใกล้ชิดและสังคม  

 

ผู้ป่วยไบโพลาร์อาการไม่มีรูปแบบแน่นอน อารมณ์สวิงขึ้น-ลงได้ง่าย อารมณ์ดีอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ เปลี่ยนเป็นร้องไห้ เศร้า เสียใจ หรือก้าวร้าว ชวนทะเลาะ โดยไม่มีเหตุผล บางครั้งอารมณ์เปลี่ยนไปมาในช่วงวันเดียวกัน แต่บางครั้งก็อาจอยู่ในช่วงอารมณ์ดี หรือหงุดหงิดง่ายนานเป็นสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือน 

 

อาการของโรคไบโพลาร์ 

เมื่อผู้ป่วยไบโพลาร์มีอารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ มักมีลักษณะดังนี้ 

  • พูดเร็ว พูดมาก พูดไม่หยุด 
  • สำคัญตนเหนือกว่าและเก่งกว่าใคร 
  • คิดเร็ว สมองแล่น เปลี่ยนใจเร็ว 
  • ไม่หลับ ไม่นอน กระสับกระส่าย นอนน้อยแต่ไม่เพลีย 
  •  มีโครงการหลากหลาย แต่มักล้มเลิกเสียก่อน
  • ทำพลาดบ่อยครั้งเพราะการตัดสินใจที่ไม่ดี เช่น การลงทุน การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย 
  • สมาธิลดลง เปลี่ยนเรื่องไวตามสิ่งเร้า 

 

เมื่อผู้ป่วยไบโพลาร์มีภาวะซึมเศร้า เข้าสู่โหมดลบ มักมีลักษณะดังนี้ 

  • หมดกำลังใจ ไร้ความหวัง ท้อแท้  
  • ร้องไห้ง่าย ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ 
  • รู้สึกเหงา เหมือนอยู่ลำพังในโลกใบนี้ 
  • รู้สึกเศร้า หม่นหมอง หดหู่ อยากอยู่คนเดียว  
  • หมดความสนใจในสิ่งที่เคยเป็นกิจกรรมโปรด 
  • มีความคิดลบ คิดช้า ไม่มีสมาธิ 
  • รู้สึกไร้ค่า ไม่มีใครต้องการ 
  • ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ทำร้ายตนเอง หรือพยายามฆ่าตัวตาย 


การวินิจฉัย 

สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเอง หรือคนใกล้ชิดมีอารมณ์ขึ้น-ลง หรือผิดปกติกว่าคนทั่วไปดังที่กล่าวมา จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ควรพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าเข้าข่ายของอาการโรคไบโพลาร์หรือไม่ ยิ่งได้รับการรักษาเร็วและถูกวิธี ยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้เร็ว โดยการวินิจฉัยของแพทย์จะทำการซักประวัติและพูดคุยกับผู้ป่วย ประกอบกับการตรวจร่างกายและสภาพจิตใจด้วยแบบสอบถาม จากนั้นจะทำการประเมินและสรุปผล อิงด้วยข้อมูลที่ได้ทั้งจากตัวผู้ป่วยและญาติ รวมไปถึงการสังเกตพฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ป่วย โรคประจำตัว และประวัติการใช้ยา ที่อาจส่งผลข้างเคียงจนก่อให้เกิดภาวะไบโพลาร์ 

 

วิธีการรักษาโรคไบโพลาร์ 

แนวทางหลัก ๆ ในการรักษาอาการไบโพลาร์ คือ การให้คำปรึกษา แนะแนวทางในการดูแลตนเอง ร่วมกับการใช้ยาทางจิตเวชเพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมองและควบคุมอารมณ์ โดยทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์เจ้าของไข้ จะมุ่งเน้นในทางด้านใดเป็นหลัก ส่วนในรายผู้ป่วยไบโพลาร์ที่มีอาการรุนแรง มีแนวโน้มอาจก่อเหตุอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น ทางแพทย์อาจพิจารณาให้รับผู้ป่วยรักษาอาการที่โรงพยาบาล เพื่อได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และด้วยที่โรคไบโพลาร์มีอัตราสูงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ แพทย์จึงมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยทานยาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี หรือขึ้นอยู่กับระดับอาการของโรคในผู้ป่วย 

ผู้ป่วยและญาติควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้ 

  • ดูแลสุขภาพร่างกายทั่วไป เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ งดการดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด 
  • ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ ฟังเพลง สวดมนต์ นั่งสมาธิ ปลูกต้นไม้ 
  • หมั่นสังเกตอารมณ์ของตนเอง หากรู้สึกว่าตนอาจมีอาการไบโพล่าเบื้องต้น รีบไปพบแพทย์ ก่อนจะลุกลามสู่โรคไบโพล่าร์ระยะสุดท้ายจนรักษาหายยาก 
  • แจ้งให้คนใกล้ชิดทราบเพื่อช่วยสังเกตอาการของตนและพาไปพบแพทย์ 
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 

 

ญาติและคนใกล้ชิดผู้ป่วยไบโพลาร์ ควรปฏิบัติตัวดังนี้ 

  • เรียนรู้และทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติเป็นอาการป่วย ไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงของผู้ป่วย 
  • ช่วยสังเกตอาการของผู้ป่วย เรียนรู้อาการเริ่มแรกของโรค และรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ก่อนที่จะมีอาการรุนแรงขึ้น 
  • ช่วยเตือนให้ผู้ป่วยทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด 
  • ช่วยควบคุมพฤติกรรมและการใช้จ่ายที่เสียงต่ออันตราย 
  • พูดคุย ทำความเข้าใจ และให้กำลังใจผู้ป่วยเสมอ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกหมดหวังหรือกำลังใจ 

 

โรคไบโพลาร์เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม กระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคมและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งเป็นอาการป่วยที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่ความผิดทางนิสัยโดยแท้ ดังนั้น การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจในผู้ป่วยไบโพลาร์ ไม่ตัดสิน ไม่แบ่งแยก ไม่ผลักไส ไม่มองว่าผิดแปลก และให้กำลังใจผู้ป่วย จะช่วยให้อาการของโรคในผู้ป่วยหายได้เร็วขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข